รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 279 คนดัง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 279 คนดัง

ตอนที่ 279 คนดัง

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูใบหน้ายิ้มแย้มของโจวเยว่แล้วเงียบงันไปครู่ใหญ่

ภายใต้แสงสีเหลืองของหลอดไฟ เธอสลัดความคิดเรื่องอื่นๆ ทิ้งไปจนหมดสิ้น จากนั้นก็พูดพึมพำกับตัวเอง

“ฉันเคยอ่านเอกสารที่ได้มาจากนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างแห่งหนึ่ง พวกมันมีทั้งไดอารี่ส่วนตัว ทั้งบันทึกการผลิต ทั้งเอกสารการจัดสรรวัตถุปัจจัย

“จากที่อ่านมา ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้เห็นกลุ่มของผู้คนที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดในช่วงกลียุคภายใต้สภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ต้องอาศัยแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด พื้นที่เพาะปลูกที่ให้ผลผลิตต่ำ เมืองและหมู่บ้านก็ถูกทิ้งร้าง

“ฉันรับรู้ความรู้สึกยามที่พวกเขายินดีปรีดาเมื่อได้พบแหล่งน้ำสะอาด มีชิปกรองให้น้ำบริสุทธิ์ รับรู้ความรู้สึกยามที่พวกเขาภาคภูมิใจเมื่อได้อาบเหงื่อต่างน้ำ ลงแรงขุดคูคลอง วางรากฐานการเพาะปลูกสำหรับปีถัดๆ ไป รับรู้ความรู้สึกยามที่พวกเขาเกิดความสุขใจเมื่อเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตดี หรือล่าสัตว์มาได้เพียงพอ รับรู้ความรู้สึกยามที่พวกเขาโล่งใจหลังจากที่สละชีพจนสามารถปกป้องนิคมได้สำเร็จ

“เมื่ออ่านเอกสารพวกนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนได้ร่วมอยู่กับพวกเขา ได้แบ่งปันประสบการณ์ความพึงพอใจหลังจากที่สร้างสิ่งต่างๆ มากมายด้วยมือเปล่า

โจวเยว่ได้ยินแล้วก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปที่ซากศพนั้น พูดเจือรอยยิ้ม

“ต่อมาเกิด ‘โรคไร้ใจ’ ระบาดขึ้น เพียงชั่วข้ามคืนก็มีคนจำนวนมากสูญเสียสติปัญญา กลายเป็นสัตว์ร้ายเข้าจู่โจมทำร้ายสหายพวกพ้องที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา

“นิคมที่ผู้คนมากมายร่วมแรงร่วมใจก่อสร้างขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยถูกทำลายลงไปในชั่วพริบตา มีเพียงเอกสารบางส่วนเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่เพื่อบอกว่าพวกเขาต้องดิ้นรนขวนขวายและพยายามอย่างหนักขนาดไหน

“หากว่าพวกเราไปพบช้ากว่านี้อีกหน่อย บางทีข้อมูลพวกนั้นอาจปลิวหายไปกับสายลมแล้วก็ได้

“อืม… ยังมีโรคระบาด ยังมีสภาพอากาศแปรปรวน ยังมีความอดอยากแร้นแค้น ยังมีการต่อต้านอย่างสุดกำลังเพื่อป้องกันการรุกรานจากกลุ่มโจรและกองกำลังใหญ่ แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ก็ยังดีกว่ามากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ ‘โรคไร้ใจ’ แพร่ระบาดกระทันหัน เพราะนั่นไม่มีวิธีใดๆ ที่จะรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

โจวเยว่อ้าปากแต่ก็ไม่ทราบจะพูดอะไรดี จึงได้แต่เอ่ย “สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย” ออกมา

แล้วในตอนนี้เธอก็ได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือของเจี่ยงไป๋เหมียน

“ดังนั้นฉันจึงตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะต้องทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิด ‘โรคไร้ใจ’ และกลไกที่ทำให้เกิดโรคให้กระจ่าง จะต้องค้นหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วทุกความเพียรพยายามที่ทุ่มเทไปจะกลายเป็นเสียเปล่า

“ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่ความฝันก็ตาม แต่ก่อนที่จะตื่น ฉันจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อเปลี่ยนแปลงมันให้ได้”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะเยาะตัวเองออกมา

“การสร้างระเบียบขึ้นมาใหม่เอย การฟื้นฟูการผลิตเอย การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเอย เรื่องพวกนี้ก็เป็นส่วนสำคัญในการกอบกู้โลกทั้งนั้น แต่ว่ากองกำลังใหญ่ต่างๆ ก็ลงมือในด้านนี้ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะต้องไปห่วงกังวลอะไร

“พวกเราจึงทำได้เพียงแต่ตั้งเป้าหมายที่ฟังแล้วเหมือนเรื่องเพ้อฝันแบบนี้เท่านั้นแหละ”

ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็เงยหน้ามองโจวเยว่ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“แล้วคุณอยากจะมาช่วยมนุษยชาติกับพวกเราไหมล่ะ”

หากเป็นคนอื่นได้ยินแบบนี้ ก็คงจะแอบเย้ยหยันอยู่ในใจไปแล้ว ทว่าโจวเยว่ผู้ซึ่งยึดมั่นในแนวคิดว่า ‘สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย’ ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ทางพวกเราเองก็ช่วยมนุษยชาติเหมือนกัน

“เป้าหมายของเราก็คือทำให้ทุกคนศรัทธาในองค์เทพี ‘มายาฉาย’ รับใช้พระองค์ ทำให้พระองค์พึงพระทัย สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์ก็จะทำให้หลุดพ้นจากฝันมายา เข้าไปสู่โลกใหม่ที่ไร้ซึ่ง ‘โรคไร้ใจ’ ไร้ซึ่งสงคราม ไร้ซึ่งโรคระบาด ไร้ซึ่งความอดอยากหิวโหย”

เป็นเพราะโจวเยว่ไม่ได้หัวเราะเยาะปณิธานความตั้งใจของเธอ ดังนั้นเจี่ยงไป๋เมียนจึงไม่ได้เอ่ยคำพูดจำพวก ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ หรือ ‘อย่าไปฝากความหวังกับผู้ครองกาลที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงหรือเปล่า’ อะไรทำนองนั้น เธอพูดเจือรอยยิ้ม

“งั้นก็มาดูกันว่าระหว่างพวกเรา ใครจะประสบความสำเร็จก่อนกัน”

“จะแข่งกันไหมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าช่วยตั้งคำถามให้

โจวเยว่สั่นศีรษะ พูดอย่างยิ้มแย้ม

“ไม่ว่าใครจะประสบความสำเร็จ ก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น ไม่ต้องแข่งกันหรอก”

พูดแล้วเธอก็ทอดถอนใจด้วยอารมณ์

“ด้วยความแข็งแกร่งที่พวกคุณแสดงออกมาก็เห็นได้ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องการหาอาหารบนแดนธุลี สามารถไปลงหลักปักฐานกับกองกำลังใหญ่ที่ไหนสักแห่งก็ได้ อย่างเช่นทาร์นัน เพื่อจะได้มีชีวิตที่มั่นคง”

“แต่อาจมีสักวันที่พวกเขาป่วยด้วย ‘โรคไร้ใจ’” เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า “และก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวฉัน ไม่มีทางป้องกัน ไม่มีวิธีรักษา และยิ่งบอกไม่ได้ว่าใครจะ ‘โชคดี’ ขึ้นมา”

บางทีอาจเป็นเพราะความกลัวที่ไม่แน่ชัดนี้เอง จึงทำให้ภายในกองกำลังใหญ่หลายแห่งที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องปัจจัยขั้นต้นอย่างอาหารและเครื่องนุ่งห่มไปได้แล้ว ได้พัฒนาไปเป็นศาสนิกชนของนิกายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิกายที่เปิดเผยหรือนิกายลับที่ซ่อนตัวก็ตาม

บนแดนธุลีนั้นราวกับไม่มีกลุ่มชนใดที่มีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยได้อย่างแท้จริง

หากต้องการจะหาให้ได้สักแห่ง เช่นนั้นเหล่าพนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็พอจะฝืนนับได้อยู่

โจวเยว่อับจนคำพูดไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะพูดขึ้น

“ฉันเพียงแค่อยากจะแสดงความชื่นชมต่อความแข็งแกร่งของพวกคุณเท่านั้นเอง”

“คุณดูออกด้วยเหรอ” ซางเจี้ยนเย่า ‘ประหลาดใจ’

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วกล่าวเสริมอีกประโยค

“แต่ดูเหมือนว่าพวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

นอกจากเรื่องที่พวกเขาทำให้คนในบาร์ ‘พิราบไพร’ หมดสติ จะได้ไม่ต้องรับผลกระทบจากภาพหลอนจนลงมือเข่นฆ่ากันเองแล้ว ก็มีแค่เรื่องที่ทำหน้าที่ปกป้องด่านป้องกันตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ให้ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ บุกฝ่าเข้ามาได้ นอกจากนี้แล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไม่ได้แสดงฝีมืออะไรออกมาอีกเลย

โจวเยว่ตอบอย่างกันเอง

“การได้เห็นภาพหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วยังรอดมาได้ การที่ทำให้ ‘เขา’ สร้างภาพหลอนที่มาจากโลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่ได้ การที่สามารถคาดเดาและตีความข้อมูลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของสิ่งนี้ได้ การเลือกอยู่รั้งท้ายเพื่อสังเกตการณ์โดยไม่หวาดกลัวอันตราย ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งบอกได้ว่าพวกคุณนั้นมีมันสมอง และยังมีความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก”

‘เขา’ ที่พูดถึงนั้นหมายถึง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น

“ก็แค่เดาไปเรื่อยเปื่อยสะเปะสะปะ และพวกเราก็แค่พวกบ้าบิ่นมุทะลุ” ซางเจี้ยนเย่าบอกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น

“ทีมที่บ้าบิ่น มุทะลุ ไร้สมอง ไม่มีทางรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้หรอก” โจวเยว่กวาดสายตามองเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ในฐานะเจ้าอารามหนานเคอ ผู้เป็น ‘นักบวชแดนฝัน’ ของ ‘นิกายมังกรพยับ’ ยังนับว่ามีสายตามองคนเป็นอยู่บ้าง เพียงแค่จำหน้าคนไม่ได้เท่านั้นเอง

“นั่นเป็นเพราะชื่อพวกเราเป็นมงคลน่ะ” ซางเจี้ยนเย่ามีทฤษฎีซึ่งมีความสอดคล้องในเชิงตรรกะของตัวเอง

เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามกลั้นหัวเราะ รอดูว่าโจวเยว่จะตอบเช่นไร

มุมปากโจวเยว่กระตุกเล็กน้อย หลังจากคิดไปคิดมาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงต่อเขาต่อไป

ไม่เห็นต้องจริงจังเสียหน่อย

ทั้งสามคนบางครั้งก็นิ่งเงียบ บางครั้งก็พูดคุยกันสองสามประโยค คอยเฝ้าศพ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ เอาไว้จนกระทั่งฟ้าเริ่มสาง

เมื่อเห็นว่าลานโล่งของอารามเต๋าค่อยๆ ปรากฏเค้าโครงขึ้นมาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหมายเลข

“ฮัลโหล” เสียงทุ้มนุ่มหูเจือเสียงสังเคราะห์ของเกอนาวาดังขึ้นจากปลายสาย

“ผู้การเกอนาวา ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายแล้ว คุณส่งคนมารับงานต่อได้เลย” พูดจบเจี่ยงไป๋เหมียนก็เสริมอีกประโยค “อ้อ บางทีเรื่องที่พวกเราเจอมาอาจเป็นภาพลวงตาก็ได้ ถ้ายังไงระหว่างทางพวกคุณก็ระวังไว้หน่อย อย่าละเลยเรื่องกระจก”

เกอนาวานิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะตอบ

“ทราบแล้ว”

* * * * *

เวลา 9 นาฬิกา หลังจากยืนยันได้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นตายแล้วจริงๆ และทาร์นันจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตาอีกต่อไป เหล่าชาวบ้านร้านถิ่น นักล่าต่างถิ่น และพวกคาราวานที่อพยพไปริมฝั่งตะวันตกเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ทยอยเดินทางกลับมาริมฝั่งตะวันออกพร้อมวัตถุปัจจัยที่นำติดตัวไป

เมื่อพวกเขาเห็นซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนออกมาจากอารามหนานเคอ ทุกคนก็ผงกศีรษะให้เป็นการแสดงความเคารพ

พวกเขาได้ยินมาว่านักล่าซากอารยะสองคนนี้กับเจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่ อยู่รั้งท้ายเพื่อสังเกตการณ์และกำจัด ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ยังช่วยคนในบาร์ไว้ด้วย

“ตอนนี้พวกคุณกลายเป็นคนดังในทาร์นันไปแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเปิดประตูรถจี๊ป เข้าไปนั่งที่เบาะหลังเสร็จ หลงเยว่หงก็หันหน้ากลับมายิ้มให้

เขานั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ

ซางเจี้ยนเย่าเน้นคำ

“พวกเราต่างหาก”

“ใช่ ใช่ ทีมเฉียนไป๋ของพวกเรากลายเป็นคนดังของทาร์นันแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจเป็นอย่างดีว่าความหมายของซางเจี้ยนเย่าคืออะไร

ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่อดพูดเบาๆ ออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้

“ทำไมถึงยังเป็นทีมเฉียนไป๋อยู่ล่ะ”

เนื่องจากเธอมักจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองนั้นต่ำต้อยที่สุดในทีม

“เพราะเธอเป็น ‘นักล่าชั้นกลาง’ เพียงคนเดียวในทีมไง” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม

จากนั้นเธอกับซางเจี้ยนเย่าก็เล่าเรื่องที่ประสบพบเจอมาเมื่อคืนนี้ โดยเน้นที่สามเรื่องคือ ‘จิตสำนึกติดเชื้อ’ ‘503’ และ ‘คนไร้ใจขั้นสูงกระโดดตึกฆ่าตัวตาย’

เล่าจนถึงตอนท้าย เจี่ยงไป๋เหมียนก็อดรำพึงรำพันออกมาไม่ได้

“ฉันอยากจะเข้าร่วมนิกายไหนสักแห่ง ลองดูว่ามิสซาของพวกเขาจะทำให้ฉันตื่นรู้ได้หรือเปล่า

“ความลับที่ซ่อนอยู่หลังประตู ‘503’ ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ นั่นต้องไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้แน่ๆ”

ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่ซางเจี้ยนเย่าเท่านั้นที่มีโอกาสจะเข้าไปสำรวจสถานที่แห่งนั้นในภายภาคหน้า

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็เสนออย่างจริงจัง

“งั้นทีมเราไปเข้าร่วม ‘นิกายเตาหลอม’ รับบัพติศมากันไหม”

ซาวน่าท่าทางน่าสนใจเหมือนกันนะ… เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มหวั่นไหว

ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ใช่พวกที่มีใจเลื่อมใสศรัทธา โดยหลักแล้วแค่ต้องการจะตื่นรู้เท่านั้นเอง ไม่ได้รู้สึกศรัทธาต่อ ‘ทวารแผดเผา’ แม้แต่น้อย

“ก็แค่ทำไปตามพิธี…” ไป๋เฉินขับรถไปก็พูดเบาๆ ออกมา

หลงเยว่หงซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับได้ยินเข้าก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย เอ่ยเสียงอ่อย

“ต้องรายงานให้บริษัทรู้ก่อนไหม”

“ฮ่า แค่ล้อเล่นน่ะ ล้อเล่น” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแห้งๆ

ไป๋เฉินเปลี่ยนเรื่องถาม

“แล้วคุณเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้เกอนาวาฟังแล้วหรือยัง”

“เปล่า ไม่ได้เล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้า “พวกเราหารือกับเจ้าอารามโจวแล้ว ตกลงกันว่าจะเล่าแค่สถานการณ์ทั่วไปเท่านั้น จะไม่พูดถึงเรื่องจิตสำนึกติดเชื้อซึ่งเกิดจากโลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่ กับข้อมูลที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ พยายามส่งมาให้ว่าเป็นอะไร”

“อืม” หลงเยว่หงคาดไว้ก่อนแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความลับของ ‘นิกายมังกรพยับ’

แล้วตอนนี้เขาก็ได้ยินซางเจี้ยนเย่าพูดเสียงต่ำ

“พวกเราจะถูกปิดปากไหม”

หลงเยว่หงตกตะลึงทันที รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“ถ้าเป็นนิกายอื่น ฉันก็รู้สึกว่าวางใจไม่ได้เหมือนกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่สำหรับ ‘นิกายมังกรพยับ’ เนี่ย เอ่อ… สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปทำไม”

“นั่นสินะ” เมื่อนึกถึงท่าทางและการแสดงออกของเจ้าอารามโจวขึ้นมา ก็รู้สึกว่าเธอไม่น่าจะกระทำเรื่องฆ่าคนปิดปากได้

ระหว่างที่พูดคุยกัน รถจี๊ปก็ขับกลับมาถึงโรงแรม ‘ฝันนิทรา’

ครั้นเมื่อทั้งสี่เข้าไปในล็อบบี้ ไอนอร์เจ้าของโรงแรมซึ่งนั่งงุ้มอยู่ที่เคาน์เตอร์ก็ผุดลุกขึ้นมา เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

“เมื่อวานพวกคุณเป็นคนกำจัด ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไปเหรอ

“เขาแข็งแกร่งมากเลยนะ…”

เจ้าของโรงแรมยังพูดไม่ทันจบ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามกลับด้วยความอยากรู้

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาแข็งแกร่งมาก”

“ก็… ก็… ก็ได้ยินเขาพูดกันน่ะ! ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่เหมือนกับพวกที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้” ไอนอร์พูดตะกุกตะกักก่อนจะเรียบเรียงคำพูดได้

ถึงกับพูดติดอ่างเลยเชียว… ความคิดเจี่ยงไป๋เหมียนเคลื่อนไหว เธอตอบด้วยรอยยิ้ม

“คงนับว่าเป็นฝีมือพวกเราไม่ได้หรอก เรื่องนี้มันค่อนข้างเกี่ยวพันลึกซึ้งกับ ‘นิกายมังกรพยับ’ น่ะ

“อ้อ ใช่ สมัยก่อนคุณเคยเจอ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนอื่นๆ มาแล้วอย่างนั้นเหรอ”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท