ตอนที่ 279 คนดัง
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูใบหน้ายิ้มแย้มของโจวเยว่แล้วเงียบงันไปครู่ใหญ่
ภายใต้แสงสีเหลืองของหลอดไฟ เธอสลัดความคิดเรื่องอื่นๆ ทิ้งไปจนหมดสิ้น จากนั้นก็พูดพึมพำกับตัวเอง
“ฉันเคยอ่านเอกสารที่ได้มาจากนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างแห่งหนึ่ง พวกมันมีทั้งไดอารี่ส่วนตัว ทั้งบันทึกการผลิต ทั้งเอกสารการจัดสรรวัตถุปัจจัย
“จากที่อ่านมา ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้เห็นกลุ่มของผู้คนที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดในช่วงกลียุคภายใต้สภาพแวดล้อมอันโหดร้าย ต้องอาศัยแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด พื้นที่เพาะปลูกที่ให้ผลผลิตต่ำ เมืองและหมู่บ้านก็ถูกทิ้งร้าง
“ฉันรับรู้ความรู้สึกยามที่พวกเขายินดีปรีดาเมื่อได้พบแหล่งน้ำสะอาด มีชิปกรองให้น้ำบริสุทธิ์ รับรู้ความรู้สึกยามที่พวกเขาภาคภูมิใจเมื่อได้อาบเหงื่อต่างน้ำ ลงแรงขุดคูคลอง วางรากฐานการเพาะปลูกสำหรับปีถัดๆ ไป รับรู้ความรู้สึกยามที่พวกเขาเกิดความสุขใจเมื่อเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตดี หรือล่าสัตว์มาได้เพียงพอ รับรู้ความรู้สึกยามที่พวกเขาโล่งใจหลังจากที่สละชีพจนสามารถปกป้องนิคมได้สำเร็จ
“เมื่ออ่านเอกสารพวกนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนได้ร่วมอยู่กับพวกเขา ได้แบ่งปันประสบการณ์ความพึงพอใจหลังจากที่สร้างสิ่งต่างๆ มากมายด้วยมือเปล่า
โจวเยว่ได้ยินแล้วก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปที่ซากศพนั้น พูดเจือรอยยิ้ม
“ต่อมาเกิด ‘โรคไร้ใจ’ ระบาดขึ้น เพียงชั่วข้ามคืนก็มีคนจำนวนมากสูญเสียสติปัญญา กลายเป็นสัตว์ร้ายเข้าจู่โจมทำร้ายสหายพวกพ้องที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา
“นิคมที่ผู้คนมากมายร่วมแรงร่วมใจก่อสร้างขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยถูกทำลายลงไปในชั่วพริบตา มีเพียงเอกสารบางส่วนเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่เพื่อบอกว่าพวกเขาต้องดิ้นรนขวนขวายและพยายามอย่างหนักขนาดไหน
“หากว่าพวกเราไปพบช้ากว่านี้อีกหน่อย บางทีข้อมูลพวกนั้นอาจปลิวหายไปกับสายลมแล้วก็ได้
“อืม… ยังมีโรคระบาด ยังมีสภาพอากาศแปรปรวน ยังมีความอดอยากแร้นแค้น ยังมีการต่อต้านอย่างสุดกำลังเพื่อป้องกันการรุกรานจากกลุ่มโจรและกองกำลังใหญ่ แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ก็ยังดีกว่ามากเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ ‘โรคไร้ใจ’ แพร่ระบาดกระทันหัน เพราะนั่นไม่มีวิธีใดๆ ที่จะรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
โจวเยว่อ้าปากแต่ก็ไม่ทราบจะพูดอะไรดี จึงได้แต่เอ่ย “สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย” ออกมา
แล้วในตอนนี้เธอก็ได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือของเจี่ยงไป๋เหมียน
“ดังนั้นฉันจึงตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะต้องทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิด ‘โรคไร้ใจ’ และกลไกที่ทำให้เกิดโรคให้กระจ่าง จะต้องค้นหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วทุกความเพียรพยายามที่ทุ่มเทไปจะกลายเป็นเสียเปล่า
“ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่ความฝันก็ตาม แต่ก่อนที่จะตื่น ฉันจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อเปลี่ยนแปลงมันให้ได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะเยาะตัวเองออกมา
“การสร้างระเบียบขึ้นมาใหม่เอย การฟื้นฟูการผลิตเอย การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเอย เรื่องพวกนี้ก็เป็นส่วนสำคัญในการกอบกู้โลกทั้งนั้น แต่ว่ากองกำลังใหญ่ต่างๆ ก็ลงมือในด้านนี้ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะต้องไปห่วงกังวลอะไร
“พวกเราจึงทำได้เพียงแต่ตั้งเป้าหมายที่ฟังแล้วเหมือนเรื่องเพ้อฝันแบบนี้เท่านั้นแหละ”
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็เงยหน้ามองโจวเยว่ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“แล้วคุณอยากจะมาช่วยมนุษยชาติกับพวกเราไหมล่ะ”
หากเป็นคนอื่นได้ยินแบบนี้ ก็คงจะแอบเย้ยหยันอยู่ในใจไปแล้ว ทว่าโจวเยว่ผู้ซึ่งยึดมั่นในแนวคิดว่า ‘สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย’ ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ทางพวกเราเองก็ช่วยมนุษยชาติเหมือนกัน
“เป้าหมายของเราก็คือทำให้ทุกคนศรัทธาในองค์เทพี ‘มายาฉาย’ รับใช้พระองค์ ทำให้พระองค์พึงพระทัย สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์ก็จะทำให้หลุดพ้นจากฝันมายา เข้าไปสู่โลกใหม่ที่ไร้ซึ่ง ‘โรคไร้ใจ’ ไร้ซึ่งสงคราม ไร้ซึ่งโรคระบาด ไร้ซึ่งความอดอยากหิวโหย”
เป็นเพราะโจวเยว่ไม่ได้หัวเราะเยาะปณิธานความตั้งใจของเธอ ดังนั้นเจี่ยงไป๋เมียนจึงไม่ได้เอ่ยคำพูดจำพวก ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ หรือ ‘อย่าไปฝากความหวังกับผู้ครองกาลที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงหรือเปล่า’ อะไรทำนองนั้น เธอพูดเจือรอยยิ้ม
“งั้นก็มาดูกันว่าระหว่างพวกเรา ใครจะประสบความสำเร็จก่อนกัน”
“จะแข่งกันไหมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าช่วยตั้งคำถามให้
โจวเยว่สั่นศีรษะ พูดอย่างยิ้มแย้ม
“ไม่ว่าใครจะประสบความสำเร็จ ก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น ไม่ต้องแข่งกันหรอก”
พูดแล้วเธอก็ทอดถอนใจด้วยอารมณ์
“ด้วยความแข็งแกร่งที่พวกคุณแสดงออกมาก็เห็นได้ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องการหาอาหารบนแดนธุลี สามารถไปลงหลักปักฐานกับกองกำลังใหญ่ที่ไหนสักแห่งก็ได้ อย่างเช่นทาร์นัน เพื่อจะได้มีชีวิตที่มั่นคง”
“แต่อาจมีสักวันที่พวกเขาป่วยด้วย ‘โรคไร้ใจ’” เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า “และก็ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวฉัน ไม่มีทางป้องกัน ไม่มีวิธีรักษา และยิ่งบอกไม่ได้ว่าใครจะ ‘โชคดี’ ขึ้นมา”
บางทีอาจเป็นเพราะความกลัวที่ไม่แน่ชัดนี้เอง จึงทำให้ภายในกองกำลังใหญ่หลายแห่งที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องปัจจัยขั้นต้นอย่างอาหารและเครื่องนุ่งห่มไปได้แล้ว ได้พัฒนาไปเป็นศาสนิกชนของนิกายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิกายที่เปิดเผยหรือนิกายลับที่ซ่อนตัวก็ตาม
บนแดนธุลีนั้นราวกับไม่มีกลุ่มชนใดที่มีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยได้อย่างแท้จริง
หากต้องการจะหาให้ได้สักแห่ง เช่นนั้นเหล่าพนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็พอจะฝืนนับได้อยู่
โจวเยว่อับจนคำพูดไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะพูดขึ้น
“ฉันเพียงแค่อยากจะแสดงความชื่นชมต่อความแข็งแกร่งของพวกคุณเท่านั้นเอง”
“คุณดูออกด้วยเหรอ” ซางเจี้ยนเย่า ‘ประหลาดใจ’
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วกล่าวเสริมอีกประโยค
“แต่ดูเหมือนว่าพวกเรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
นอกจากเรื่องที่พวกเขาทำให้คนในบาร์ ‘พิราบไพร’ หมดสติ จะได้ไม่ต้องรับผลกระทบจากภาพหลอนจนลงมือเข่นฆ่ากันเองแล้ว ก็มีแค่เรื่องที่ทำหน้าที่ปกป้องด่านป้องกันตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ให้ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ บุกฝ่าเข้ามาได้ นอกจากนี้แล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไม่ได้แสดงฝีมืออะไรออกมาอีกเลย
โจวเยว่ตอบอย่างกันเอง
“การได้เห็นภาพหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วยังรอดมาได้ การที่ทำให้ ‘เขา’ สร้างภาพหลอนที่มาจากโลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่ได้ การที่สามารถคาดเดาและตีความข้อมูลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของสิ่งนี้ได้ การเลือกอยู่รั้งท้ายเพื่อสังเกตการณ์โดยไม่หวาดกลัวอันตราย ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งบอกได้ว่าพวกคุณนั้นมีมันสมอง และยังมีความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก”
‘เขา’ ที่พูดถึงนั้นหมายถึง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น
“ก็แค่เดาไปเรื่อยเปื่อยสะเปะสะปะ และพวกเราก็แค่พวกบ้าบิ่นมุทะลุ” ซางเจี้ยนเย่าบอกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น
“ทีมที่บ้าบิ่น มุทะลุ ไร้สมอง ไม่มีทางรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้หรอก” โจวเยว่กวาดสายตามองเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ในฐานะเจ้าอารามหนานเคอ ผู้เป็น ‘นักบวชแดนฝัน’ ของ ‘นิกายมังกรพยับ’ ยังนับว่ามีสายตามองคนเป็นอยู่บ้าง เพียงแค่จำหน้าคนไม่ได้เท่านั้นเอง
“นั่นเป็นเพราะชื่อพวกเราเป็นมงคลน่ะ” ซางเจี้ยนเย่ามีทฤษฎีซึ่งมีความสอดคล้องในเชิงตรรกะของตัวเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามกลั้นหัวเราะ รอดูว่าโจวเยว่จะตอบเช่นไร
มุมปากโจวเยว่กระตุกเล็กน้อย หลังจากคิดไปคิดมาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงต่อเขาต่อไป
ไม่เห็นต้องจริงจังเสียหน่อย
ทั้งสามคนบางครั้งก็นิ่งเงียบ บางครั้งก็พูดคุยกันสองสามประโยค คอยเฝ้าศพ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ เอาไว้จนกระทั่งฟ้าเริ่มสาง
เมื่อเห็นว่าลานโล่งของอารามเต๋าค่อยๆ ปรากฏเค้าโครงขึ้นมาแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหมายเลข
“ฮัลโหล” เสียงทุ้มนุ่มหูเจือเสียงสังเคราะห์ของเกอนาวาดังขึ้นจากปลายสาย
“ผู้การเกอนาวา ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายแล้ว คุณส่งคนมารับงานต่อได้เลย” พูดจบเจี่ยงไป๋เหมียนก็เสริมอีกประโยค “อ้อ บางทีเรื่องที่พวกเราเจอมาอาจเป็นภาพลวงตาก็ได้ ถ้ายังไงระหว่างทางพวกคุณก็ระวังไว้หน่อย อย่าละเลยเรื่องกระจก”
เกอนาวานิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะตอบ
“ทราบแล้ว”
* * * * *
เวลา 9 นาฬิกา หลังจากยืนยันได้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นตายแล้วจริงๆ และทาร์นันจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตาอีกต่อไป เหล่าชาวบ้านร้านถิ่น นักล่าต่างถิ่น และพวกคาราวานที่อพยพไปริมฝั่งตะวันตกเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ทยอยเดินทางกลับมาริมฝั่งตะวันออกพร้อมวัตถุปัจจัยที่นำติดตัวไป
เมื่อพวกเขาเห็นซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนออกมาจากอารามหนานเคอ ทุกคนก็ผงกศีรษะให้เป็นการแสดงความเคารพ
พวกเขาได้ยินมาว่านักล่าซากอารยะสองคนนี้กับเจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่ อยู่รั้งท้ายเพื่อสังเกตการณ์และกำจัด ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ยังช่วยคนในบาร์ไว้ด้วย
“ตอนนี้พวกคุณกลายเป็นคนดังในทาร์นันไปแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเปิดประตูรถจี๊ป เข้าไปนั่งที่เบาะหลังเสร็จ หลงเยว่หงก็หันหน้ากลับมายิ้มให้
เขานั่งอยู่ตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ
ซางเจี้ยนเย่าเน้นคำ
“พวกเราต่างหาก”
“ใช่ ใช่ ทีมเฉียนไป๋ของพวกเรากลายเป็นคนดังของทาร์นันแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจเป็นอย่างดีว่าความหมายของซางเจี้ยนเย่าคืออะไร
ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่อดพูดเบาๆ ออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้
“ทำไมถึงยังเป็นทีมเฉียนไป๋อยู่ล่ะ”
เนื่องจากเธอมักจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองนั้นต่ำต้อยที่สุดในทีม
“เพราะเธอเป็น ‘นักล่าชั้นกลาง’ เพียงคนเดียวในทีมไง” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม
จากนั้นเธอกับซางเจี้ยนเย่าก็เล่าเรื่องที่ประสบพบเจอมาเมื่อคืนนี้ โดยเน้นที่สามเรื่องคือ ‘จิตสำนึกติดเชื้อ’ ‘503’ และ ‘คนไร้ใจขั้นสูงกระโดดตึกฆ่าตัวตาย’
เล่าจนถึงตอนท้าย เจี่ยงไป๋เหมียนก็อดรำพึงรำพันออกมาไม่ได้
“ฉันอยากจะเข้าร่วมนิกายไหนสักแห่ง ลองดูว่ามิสซาของพวกเขาจะทำให้ฉันตื่นรู้ได้หรือเปล่า
“ความลับที่ซ่อนอยู่หลังประตู ‘503’ ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ นั่นต้องไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้แน่ๆ”
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่ซางเจี้ยนเย่าเท่านั้นที่มีโอกาสจะเข้าไปสำรวจสถานที่แห่งนั้นในภายภาคหน้า
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็เสนออย่างจริงจัง
“งั้นทีมเราไปเข้าร่วม ‘นิกายเตาหลอม’ รับบัพติศมากันไหม”
ซาวน่าท่าทางน่าสนใจเหมือนกันนะ… เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มหวั่นไหว
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ใช่พวกที่มีใจเลื่อมใสศรัทธา โดยหลักแล้วแค่ต้องการจะตื่นรู้เท่านั้นเอง ไม่ได้รู้สึกศรัทธาต่อ ‘ทวารแผดเผา’ แม้แต่น้อย
“ก็แค่ทำไปตามพิธี…” ไป๋เฉินขับรถไปก็พูดเบาๆ ออกมา
หลงเยว่หงซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับได้ยินเข้าก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย เอ่ยเสียงอ่อย
“ต้องรายงานให้บริษัทรู้ก่อนไหม”
“ฮ่า แค่ล้อเล่นน่ะ ล้อเล่น” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแห้งๆ
ไป๋เฉินเปลี่ยนเรื่องถาม
“แล้วคุณเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้เกอนาวาฟังแล้วหรือยัง”
“เปล่า ไม่ได้เล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้า “พวกเราหารือกับเจ้าอารามโจวแล้ว ตกลงกันว่าจะเล่าแค่สถานการณ์ทั่วไปเท่านั้น จะไม่พูดถึงเรื่องจิตสำนึกติดเชื้อซึ่งเกิดจากโลกจิตวิญญาณของเจียงเสี่ยวเยว่ กับข้อมูลที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ พยายามส่งมาให้ว่าเป็นอะไร”
“อืม” หลงเยว่หงคาดไว้ก่อนแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความลับของ ‘นิกายมังกรพยับ’
แล้วตอนนี้เขาก็ได้ยินซางเจี้ยนเย่าพูดเสียงต่ำ
“พวกเราจะถูกปิดปากไหม”
หลงเยว่หงตกตะลึงทันที รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ถ้าเป็นนิกายอื่น ฉันก็รู้สึกว่าวางใจไม่ได้เหมือนกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่สำหรับ ‘นิกายมังกรพยับ’ เนี่ย เอ่อ… สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปทำไม”
“นั่นสินะ” เมื่อนึกถึงท่าทางและการแสดงออกของเจ้าอารามโจวขึ้นมา ก็รู้สึกว่าเธอไม่น่าจะกระทำเรื่องฆ่าคนปิดปากได้
ระหว่างที่พูดคุยกัน รถจี๊ปก็ขับกลับมาถึงโรงแรม ‘ฝันนิทรา’
ครั้นเมื่อทั้งสี่เข้าไปในล็อบบี้ ไอนอร์เจ้าของโรงแรมซึ่งนั่งงุ้มอยู่ที่เคาน์เตอร์ก็ผุดลุกขึ้นมา เอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย
“เมื่อวานพวกคุณเป็นคนกำจัด ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นไปเหรอ
“เขาแข็งแกร่งมากเลยนะ…”
เจ้าของโรงแรมยังพูดไม่ทันจบ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามกลับด้วยความอยากรู้
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาแข็งแกร่งมาก”
“ก็… ก็… ก็ได้ยินเขาพูดกันน่ะ! ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่เหมือนกับพวกที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้” ไอนอร์พูดตะกุกตะกักก่อนจะเรียบเรียงคำพูดได้
ถึงกับพูดติดอ่างเลยเชียว… ความคิดเจี่ยงไป๋เหมียนเคลื่อนไหว เธอตอบด้วยรอยยิ้ม
“คงนับว่าเป็นฝีมือพวกเราไม่ได้หรอก เรื่องนี้มันค่อนข้างเกี่ยวพันลึกซึ้งกับ ‘นิกายมังกรพยับ’ น่ะ
“อ้อ ใช่ สมัยก่อนคุณเคยเจอ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนอื่นๆ มาแล้วอย่างนั้นเหรอ”