รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 285 “ลักพาตัว”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 285 “ลักพาตัว”

ตอนที่ 285 “ลักพาตัว”

หัวหน้าหุ่นยนต์ควบคุมระเบียบจ้องมองเกอนาวาอยู่หลายวินาทีก่อนจะหันไปพูดกับสหายของตน

“หมายเลข C-1578 หมายเลข C-2020 พวกคุณคอยดูแลที่นี่เอาไว้ พวกเราจะไปหาหุ่นสมองกลตัวอื่นๆ ในทาร์นันเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม พรุ่งนี้จะได้กลับสำนักงานใหญ่กัน”

หลังจากออกคำสั่งจบ หัวหน้าหุ่นยนต์ควบคุมระเบียบก็นำหุ่นยนต์ทั้งหมดออกจากบ้านเกอนาวาไป เหลือไว้เพียงแค่หุ่นสมองกลสองตัวเท่านั้น

หุ่นยนต์ควบคุมระเบียบหมายเลข C-1578 มองไปยังซูซานน่า

“เอาแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงมาให้พวกเราหน่อย”

“ได้” ซูซานน่ากลับหลังหันเดินไปที่ห้องครัว

หุ่นยนต์ตัวเล็ก เรสต์ ได้รับคำสั่งให้กลับขึ้นไปบนชั้นสอง

หุ่นสมองกลหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กต่างสวมกระโปรงสีขาว ระหว่างที่เดินก็ไม่ได้มองดูกันแม้แต่น้อย ประดุจว่าเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งได้พบกันเมื่อครู่

เพียงไม่นานซูซานน่าก็ออกมาพร้อมกับถาดที่ใส่จานกระเบื้องเคลือบก้นตื้นสองใบ

กึ่งกลางของจานสีขาวแต่ละใบนั้นมีแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงวางไว้

ซูซานน่าวางจานทั้งสองใบไว้เบื้องหน้าหมายเลข C-1578 และหมายเลข C-2020 เช่นเดียวกับการเสิร์ฟอาหาร

หมายเลข C-1578 และหมายเลข C-2020 ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้ พวกมันต่างหยิบแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงขึ้นมาใส่ในปากตัวเอง

ภายในปากซึ่งเป็นโลหะแวววาว แผงกั้นหดกลับเข้าไปเผยให้เห็นช่องสำหรับใส่แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง

หมายเลข C-1578 กับหมายเลข C-2020 ถอดแบตเตอรี่เดิมออกมาแล้วติดตั้งอันใหม่เข้าไป จากนั้นก็ผงกศีรษะให้ซูซานน่าพร้อมกัน

“ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร” ซูซานน่านำถาดอาหารพร้อมแบตเตอรี่ที่หมดประจุเดินกลับไปห้องครัวอีกครั้ง

ในระหว่างนี้เกอนาวานั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวอย่างเลื่อนลอย ไม่ได้เปลี่ยนท่าทางหรือขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

ตามความเข้าใจของเจี่ยงไป๋เหมียน นี่ก็เหมือนกับระบบค้าง[1]ไปแล้ว

เธอลากซางเจี้ยนเย่าให้ถอยห่างออกไป

“ไม่ว่านายคิดจะทำอะไรก็ตาม เงื่อนไขข้อแรกก็คือต้องดูความต้องการของคนอื่นเขาด้วย บางทีการกลับไปสำนักงานใหญ่ ถูกขังสักสองสามปี สำหรับเขาก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่เท่าไหร่ ใช่ไหมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนกดเสียงถามซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ

“ผมเข้าใจแล้ว”

พูดจบเขาก็หยิบปากกากระดาษออกมา นั่งยองลงไปใช้ต้นขารองเขียน

นายเข้าใจว่าไงกันเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก

ในระหว่างที่รอเธอก็ตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ ไปด้วยจนยืนยันได้ว่าไม่มีหุ่นยนต์ตัวใดลอบเข้ามาใกล้ๆ

นี่แสดงให้เห็นว่าสำหรับหุ่นยนต์ควบคุมระเบียบพวกนั้น รวมถึงบ้านของเกอนาวาด้วย แทบจะไม่มีการตรวจตรารอบบริเวณบ้านเลย

แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะพวกมันไม่มีฟังก์ชันสำหรับทำงานด้านนี้ แต่เป็นเพราะว่าพวกมันนั้นแสดงสภาวะของการ ‘ชะล่าใจ’ จนเกินไป

บางทีคงเป็นเพราะว่าไว้ใจกล้องวงจรปิดมัลติฟังก์ชันที่มีการติดตั้งเอาไว้ทุกที่ก็เป็นได้ คิดว่าตอนที่พวกมันอยู่คงไม่น่าจะมีใครแอบย่องเข้ามาเงียบๆ จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงานไปกับการทำเรื่องซ้ำซ้อน หรือบางทีก็คงเป็นเพราะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง ไม่กลัวว่าจะถูกโจมตีกะทันหัน จึงไม่ได้ตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ… ยิ่งเจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น

เธอพบว่าหุ่นสมองกลนั้นมีความเถรตรงอยู่ในระดับหนึ่ง พวกมันจะปฏิบัติตามขั้นตอนการแบ่งงานที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและจัดการเรื่องราวตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด จะไม่ทำอะไรเกินขอบเขต

แต่พวกมันคิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีมนุษย์ประเภทเจี่ยงไป๋เหมียนที่สามารถตรวจจับกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ก็สามารถรับรู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของกล้องวงจรปิดมัลติฟังก์ชันได้อย่างแม่นยำ รวมถึงกล้องตัวที่ติดตั้งอยู่ในจุดลับตาอีกด้วย

เมื่อรวมกับการสังเกตตามปกติ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะสามารถซอกซอนไปตามเส้นทางที่จะไม่กระตุ้นให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น

และนี่ก็ยังเกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าหุ่นสมองกลนั้นให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว จึงไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดมัลติฟังก์ชันไว้ในบริเวณที่พักจนไม่มีมุมอับสายตา

ไม่อย่างนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็คงได้แต่ต้องพิจารณาเรื่องแกล้งทำให้ระบบการตรวจตราเกิดไฟฟ้าลัดวงจรเพื่อแก้ปัญหา

เฉพาะหน้า

เพียงไม่นานซางเจี้ยนเย่าก็เขียนเสร็จและลุกขึ้นยืน

“ขอดูหน่อยสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนยื่นมือออกมา

เธอเชื่อในสติปัญญาของซางเจี้ยนเย่า แต่ไม่ไว้ใจว่าเขาจะเกิดอาการสมองกระตุกขึ้นมาหรือไม่

* * * * *

ภายในบ้านพัก

เกอนาวาที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว มองไปข้างหน้าด้วยดวงตาสีน้ำเงินที่หม่นแสง

ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น

หุ่นยนต์ควบคุมระเบียบทั้งสองตัวที่คอยควบคุมเฝ้าระวังอยู่นั้นไม่ได้พูดอะไร พวกมันต่างหาที่นั่งของตัวเอง

ความสนใจของพวกมันอยู่ที่เกอนาวากับซูซานน่าซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารใกล้ๆ โดยไม่ได้สนใจประตูหน้าต่างมากนัก ราวกับคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด เกอนาวามีการขยับเขยื้อนเล็กน้อย เขาค่อยๆ เงยศีรษะขึ้นมากวาดสายตามองดูหุ่นยนต์ควบคุมระเบียบทั้งสองตัวแล้วหยุดนิ่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร

ซูซานน่าหุ่นสมองกลสีเงินนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น ไม่มีการตอบสนองอะไร ประหนึ่งว่าเรื่องต่างๆ ในห้องนั่งเล่นนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอแม้แต่น้อย

เกอนาวาจ้องมองอยู่เกือบหนึ่งนาทีเต็มก่อนจะหมุนคอขยับไปเล็กน้อยเพื่อสำรวจรอบห้อง

เสมือนว่ามันต้องการจดจำทุกรายละเอียดของสถานที่แห่งนี้เอาไว้

ในขณะที่สายตาเริ่มเคลื่อนไหว มันก็พลันมองเห็นว่าบานหน้าต่างที่ไม่มีคนสนใจนั้นมีใบหน้ามนุษย์สองคน เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง

มีความคล้ายคลึงอยู่ที่ 99%… จางชวี่ปิ้ง… เซวียสือเยว่… เกอนาวาจดจำใบหน้าทั้งสองได้ทันทีว่าเป็นของผู้ใด

วินาทีถัดมาเขาก็เห็นซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้มให้ จากนั้นก็นำกระดาษขาวแผ่นหนึ่งมาแปะไว้ที่กระจกหน้าต่าง

บนกระดาษขาวแผ่นนั้นมีตัวหนังสือภาษาแดนธุลีกับแม่น้ำแดงเขียนข้อความเดียวกัน

‘ต้องการความช่วยเหลือไหม’

แสงสีน้ำเงินในดวงตาเกอนาวากะพริบวาบ

เขาหมุนคอ 180 องศาหันมองไปทางซูซานน่า

หลังจากมองอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หันหน้ากลับไป สั่นหัวช้าๆ

ต่อจากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาต่อไปในทันทีเหมือนเช่นก่อนหน้านี้

นี่ทำให้หุ่นยนต์ควบคุมระเบียบสองตัวในบ้านพักไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ

จนกระทั่งเกอนาวาหันไปมองหน้าต่างบานที่ไม่มีคนสนใจมากที่สุดเป็นครั้งที่สอง ก็มีกระดาษสีขาวแผ่นใหม่แปะไว้แทนแผ่นเดิม

ข้อความบนนั้นมีการเปลี่ยนแปลง

‘ไม่อยากค้นหาความหมายของชีวิตแล้วเหรอ’

ดวงตาของเกอนาวาหยุดเคลื่อนไหว แสงสีน้ำเงินในดวงตาก็เหมือนว่านิ่งค้างไป

เขาทวนคำนั้นซ้ำอย่างเงียบๆ

“ชีวิต… ชีวิต…”

จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เปลี่ยนกระดาษอีกครั้ง

ครั้งนี้มันเขียนเอาไว้ว่า

‘ไม่อยากหาคำตอบว่า ‘อะไรคือมนุษย์’ แล้วหรือไง’

แสงสีน้ำเงินในดวงตาเกอนาวาพลันสว่างขึ้นมาเล็กน้อย

เขาหมุนคออีกครั้งเพื่อไม่ให้สายตาหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าต่าง ซึ่งนั่นจะนำความสงสัยมายังผู้ที่คอยเฝ้าดู

จนกระทั่งเขามองไปยังหน้าต่างเป็นครั้งที่สามด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ในบ้านหลังนี้ กระดาษแผ่นแรกก็ฉายให้เห็นในดวงตา

‘ต้องการความช่วยเหลือไหม’

หุ่นสมองกลสีดำเงินเกอนาวานิ่งไปสองวินาที ก่อนจะผงกศีรษะช้าๆ

เกือบในเวลาเดียวกันเขาก็มองเห็นรอยยิ้มจริงใจปรากฏบนใบหน้าของซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่ารีบเปลี่ยนกระดาษอย่างว่องไว

‘รอพวกเราห้านาที’

ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ ตัวอักษรคำว่า ‘ห้านาที’ และคำอื่นๆ ไม่ทราบว่าถูกใครแก้ไขข้อความ ด้านข้างนั้นมีตัวอักษรที่ถูกแก้เป็น ‘สิบห้านาที’

เกอนาวาผงกศีรษะอีกครั้ง ละสายตากลับมา ไม่ได้หันกลับไปมองที่หน้าต่างบานนั้นอีก

* * * * *

เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าออกจากพื้นที่ที่มีการตรวจตรา กลับไปยังตำแหน่งที่รถจี๊ปจอดอยู่

“จริงๆ เลยนะ แค่ห้านาทีมันจะไปพอที่ไหนกัน เรายังต้องวางแผนหาทางหนีทีไล่เตรียมพร้อมไว้ด้วยนะ สิบห้านาทียังแทบจะไม่พอเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนบ่นมาประโยคหนึ่ง “แต่เรื่องแบบนี้จะรอนานเกินไปก็ไม่ได้ ไม่งั้นอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น”

ซางเจี้ยนเย่าชำเลืองมองเธอ

“ตอนที่นอนอยู่ในห้องนั่งเล่น คุณแอบดูซีรีส์จากโลกเก่าด้วยใช่ไหม”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนอ้าปากค้างไปสองวินาที แล้วพูดเสียงแข็ง “นั่นไม่ใช่ประเด็นย่ะ!”

ในระหว่างที่เดินกลับไปรถจี๊ป เธอก็เปลี่ยนเรื่อง

“เรื่องนี้มันไม่ง่ายเลยแฮะ พวกเราเพิ่งจะได้รับข้อมูลมาจาก ‘ซอร์สเบรน’ ตั้งเยอะ แต่แล้วจู่ๆ ก็มาแตกคอ กลายเป็นศัตรูกันซะงั้น เหมือนคนไม่รู้จักบุญคุณ

“นอกจากนั้น จากจุดยืนของเกอนาวา เขาเองก็คงไม่อยากจะทำลายหุ่นสมองกลตัวอื่นโดยตรงหรอก เขามองว่าตัวเองเป็นมนุษย์ และหุ่นพวกนั้นก็เป็นสหาย

“ด้านหนึ่งฉันต้องควบคุมความรุนแรงของความขัดแย้ง อีกด้านหนึ่งก็ต้องช่วยเหลือเกอนาวา นี่มันยากชะมัด”

พูดมาถึงจุดนี้เธอก็พลันเกิดความคาดหวังบางอย่างขึ้นมา

“เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ที่ฉันจะได้ต่อสู้กับหุ่นสมองกล”

เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่ามองตนเองด้วยสายตาแปลกๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนหายใจ

“เมื่อคิดจะลงมือช่วย หลังจากนี้จะย้อนกลับไม่ได้แล้วนะ ห้ามลังเล ห้ามสองจิตสองใจเด็ดขาด

“ในเมื่อเปลี่ยนความเป็นจริงในเรื่องนี้ไม่ได้ งั้นก็ต้องหาเรื่องที่ทำให้ตัวเองตื่นเต้นหน่อยก็แล้วกัน”

พูดตามความสัตย์แล้ว เธอรู้สึกว่าหุ่นสมองกลนั้นยากจะรับมือจริงๆ พวกมันไม่กลัวอาวุธเบา ชิ้นส่วนหลักที่สำคัญถูกซ่อนและปกป้องไว้ รวมทั้งยังมีมาตรการไว้คอยป้องกันเป็นอย่างดี ในร่างก็มีแหล่งจ่ายพลังงานอย่างน้อยสองระบบขึ้นไป นับแค่เฉพาะร่างกายก็เหนือกว่าหลวงจีนจักรกลไปหลายเท่าแล้ว

และยิ่งไปกว่านั้นก็คือพวกมันสามารถต้านทานพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ได้อีกด้วย

ระหว่างที่พูดคุยกัน ซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนก็กลับมาถึงรถจี๊ป มองเห็นหลงเยว่หงซึ่งสวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเสร็จเรียบร้อยกับไป๋เฉินที่ถืออาวุธครบมือ

* * * * *

หมายเหตุจากผู้เขียน ตอนที่แล้วกล่าวถึงเรื่องการยกเลิกปฏิสัมพันธ์ทางสังคมชั่วคราว นั่นไม่ใช่การล้างข้อมูล (ฟอร์แมต) ยังจะต้องถูกส่งกลับไปที่สำนักงานใหญ่เพื่อสอบสวนเพิ่มเติมก่อน ถึงจะลงโทษโดยการล้างข้อมูล

[1] ระบบค้าง (死机) Hang เป็นคำศัพท์คอมพิวเตอร์ หมายถึงชุดคำสั่งทำงานผิดพลาดจนทำให้ระบบไม่สามารถประมวลผลต่อได้ ตกอยู่ในสภาวะนิ่งค้างทำอะไรไม่ได้

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท