รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 288 ความเข้าใจ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 288 ความเข้าใจ

ตอนที่ 288 ความเข้าใจ

ณ แหล่งน้ำแห่งหนึ่งในภูชีลาร์

หลงเยว่หงสวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร ใช้ไฟฉายที่ติดตั้งมาด้วยส่องแสงให้กับซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ

พูดตามตรงว่าตอนนี้เขาแข้งขาอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหวอีกแล้ว อยากจะหาที่นั่งพักเต็มที

นี่ไม่ได้เป็นเพราะเขากระวนกระวายจากการถูกหุ่นยามจักรกลไล่ล่า เพราะหลังจากที่สะพานโดนถล่มพังไปแล้วเขาก็ไม่เห็นใครไล่ตามมาอีกเลย ได้แต่ต้องอาศัยความเคลื่อนไหวเป็นครั้งคราวเพื่อคอยเตือนตัวเองไม่ให้ผ่อนคลายเกินไปนัก

ความกระวนกระวายของเขาโดยหลักๆ นั้นมาจากการห้อตะบึงแข่งรถในยามวิกาล แถมยังเป็นพื้นที่ภูเขาอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นโค้งหักศอกเอย หน้าผาทั่วทุกหนระแหงเอย ถนนที่เส้นทางขาดเอย รถจี๊ปที่พุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งเอย ขับรถโดยไม่กล้าเปิดไฟหน้าเอย ทั้งหมดทั้งมวลได้หลอมรวมเข้าเป็นฝันร้ายที่น่าสยดสยองของหลงเยว่หงในยามค่ำคืนนี้

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เบี่ยงออกมาจากเส้นทางเดิม ไป๋เฉินก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศอีกต่อไป จำต้องพึ่งพาการนำทางของเกอนาวาเท่านั้น นี่ยิ่งทำให้ระดับอันตรายเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก เหล่านี้คือสิ่งที่หลงเยว่หงคิด

เขากลัวจริงๆ ว่าหากไป๋เฉินไม่ทันระวัง อาจพลาดขับรถตกหล่มเข้าให้ ถ้าแค่ตกหล่มก็ยังดี แต่ถ้าถึงกับขับลงหน้าผาล่ะก็ คนในรถคงไม่มีใครรอด รวมทั้งหุ่นสมองกลเกอนาวาด้วย

เมื่อนึกย้อนไปถึงภาพเหตุการณ์ในระหว่างนั้น ท้องไส้ของหลงเยว่หงก็พลันปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง

ยังดีที่คืนนี้พระจันทร์ค่อนข้างสว่าง พลขับจึงไม่ต้องอาศัยแสงไฟจากหน้ารถเพียงอย่างเดียว

“เอาล่ะ ไปกันต่อได้แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนเดินกลับมาพร้อมกับถุงบรรจุน้ำในมือ

เกอนาวา หุ่นยนต์สีดำเงินซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งเสนอตัวขึ้นมา

“เส้นทางหลังจากนี้ให้ผมขับเถอะ พวกคุณน่าจะไม่ค่อยคุ้นเส้นทางที่พวกเราจะไปกัน”

“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าการฝากเรื่องนี้ไว้ในมือเกอนาวาซึ่งเป็น ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์’ ในเขตภูชีลาร์ น่าจะดีกว่าดึงดันขับกันเอง

ให้เขาขับรถน่ะ เรียกว่าอะไรรู้ไหม…

นี่เรียกได้ว่าระบบขับเคลื่อนสมองกลอัตโนมัติเต็มรูปแบบไงล่ะ!

เธอเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับขณะที่พูดกับหลงเยว่หง

“ถอดชุดเกราะเสริมแรงออกก่อนเถอะ ตอนนี้น่าจะสลัดหลุดการไล่ล่ามาแล้ว ต้องประหยัดแบตไว้หน่อย”

หลงเยว่หงได้รับการแจ้งเตือนจากระบบมาก่อนแล้วว่าพลังงานใกล้หมด จึงไม่ได้โต้แย้งอะไร

หลังจากรถจี๊ปออกเดินทางภายใต้แสงจันทร์อีกครั้ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปมองเกอนาวาแล้วถามด้วยความสงสัย

“คุณไม่กลัวแบตหมดเหรอ”

หุ่นสมองกลนั้นต้องอาศัยแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงเป็นหลัก เพื่อจ่ายพลังงานให้ระบบ

“ผมเปลี่ยนแบตมาแล้ว” เกอนาวาตอบสั้นๆ “หุ่นสมองกลอย่างพวกเราใช้ระบบพลังงานคู่ สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ตลอดเวลา ก็เหมือนกับที่พวกคุณต้องเตรียมพกพาเสบียงไว้ด้วยเวลาออกไปข้างนอกนั่นแหละ โดยปกติพวกเราจะพกแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงสำรองไว้สี่ก้อน ก่อนหน้านี้ผมหยิบแบตเตอรี่เสริมมาอีกสองก้อน อ้อ ถ้ายังอยู่ในสถานะที่เอื้ออำนวย พวกเราก็พยายามจะไม่ใช้แบตเตอรี่สำรองน่ะ”

“ฉันเองก็ฉกติดมือมาด้วยอีกสองก้อน” เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นบ้าง

“งานนี้รวยแล้ว…” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นของตนเองขึ้นมา

เกอนาวาขับรถลัดเลาะเลี้ยวไปเลี้ยวมาด้วยความช่ำชอง ไม่ได้เอ่ยปากตอบคำ

เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยน้ำเสียงชวนสนทนา

“หุ่นสมองกลที่หนีออกมาจาก ‘สวรรค์จักรกล’ เหมือนคุณ มีมากแค่ไหน”

หากว่านี่เป็นกรณีแรกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอสงสัยว่าน่าจะมีปัญหาตามมาอีกไม่น้อย

เกอนาวานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แสงสีน้ำเงินในดวงตาทำให้กระจกหน้ารถเปลี่ยนสีไปบ้างเล็กน้อย

“ก็มีบ้าง ส่วนใหญ่เป็นเพราะเรื่องระดับความเป็นมนุษย์นี่แหละ ถึงได้หนีออกมา”

“แล้วตอนหลังพวกเขาเป็นไงกันบ้าง” ซางเจี้ยนเย่าถามต่ออย่างเป็นห่วงเป็นใย

เกอนาวาตอบด้วยน้ำเสียงผู้ชายที่เจือความรู้สึกของเสียงสังเคราะห์

“อาจถูกจับกลับไป หรืออาจหนีรอดไปได้ นี่ไม่ใช่เนื้อหาที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านหรือดาวน์โหลดข้อมูล”

“พวกคุณมีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายภายในไม่ใช่เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างไม่จริงจัง

“ใช่ นอกจากการอัปเดตโมดูลหลักแล้ว ทุกอย่างก็สามารถดึงมาจากเครือข่ายได้ทั้งนั้น แต่ต้องอยู่ภายในระยะขอบเขตของสถานีส่งสัญญาณ” การขับของเขาแตกต่างไปจากการขับอย่างน่าหวาดเสียวของไป๋เฉิน เกอนาวานั้นค่อนข้างใจเย็นมาก ไม่มีการเหยียบเบรกกระทันหัน แต่ความเร็วรถก็ไม่ได้ช้าลงสักเท่าไหร่

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะแล้วเปลี่ยนเรื่อง

“ตัวอักษร C ในหมายเลขประจำตัวของคุณหมายถึงอะไรเหรอ”

การรับรู้ข้อมูลของ ‘สวรรค์จักรกล’ ให้มากที่สุดจะช่วยให้พวกเขาสามารถเลือกและกำหนดแผนการที่จะทำต่อจากนี้ได้

“C หมายถึงประเภททั่วไป” เกอนาวาไม่ได้ปิดบังอำพรางสิ่งใด “ตัวเลขสองหลักแรกคือปีที่โมดูลหลักถูกใส่เข้าไปในชิปแกนกลาง ตัวเลขด้านหลังเอาไว้ระบุว่าเป็นปีที่เท่าไหร่”

เขาหยุดไปชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ

“A หมายถึงประเภทที่ใช้ในการคำนวณ โดยหลักๆ ก็คือช่วย ‘ซอร์สเบรน’ ในงานวิจัยต่างๆ

“B หมายถึงประเภทที่ใช้ในการทดลอง ด้านหนึ่งก็คือจะเข้าร่วมกับการทดลองที่เป็นอันตราย อีกด้านหนึ่งก็คือเอาไว้สำหรับทดสอบโมดูลหลักเวอร์ชันใหม่ ทดสอบอัลกอริธึมล่าสุด อะไรจำพวกนี้

“ในสายตาของหุ่นจักรกลอย่างพวกเรา หุ่นยนต์ทั้งสองประเภทที่พูดไปนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกับเครื่องมือมากกว่า”

ที่แท้แล้วในหมู่หุ่นยนต์เองก็ยังมีการแบ่งแยกชนชั้นด้วยเหมือนกัน… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบหัวเราะในระหว่างครุ่นคิดตาม

ไป๋เฉินกับซางเจี้ยนเย่านั้นฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ราวกับว่ารู้สึกสนใจในแง่มุมนี้มาก

หลงเยว่หงซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางของเบาะหลัง รู้สึกสงสัยในปัญหาอีกข้อหนึ่ง

“อะไรคือระดับความเป็นมนุษย์เหรอ”

รถยนต์วิ่งไปตามถนนบนภูเขาอันมืดมิด เกอนาวามองตรงไปข้างหน้า ชะลอความเร็วรถโดยไม่รู้ตัว

“ตามความเข้าใจของผมก็คือการตระหนักรู้ในตนเอง รวมไปถึงระดับความคล้ายคลึงกับมนุษย์

“ยิ่งคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์มากเพียงใด ยิ่งทำตัวเฉกเช่นมนุษย์ในทุกเรื่องมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น

“หากว่าเกินกว่าระดับ 70% ก็จะถูก ‘ซอร์สเบรน’ ลงโทษ แต่ถ้าต่ำเกินไปก็ไม่เหมาะจะให้ติดต่อกับมนุษย์เพราะอาจเกิดอันตรายขึ้นได้”

หลงเยว่หงพอจะเข้าใจระดับความเป็นมนุษย์ขึ้นมาคร่าวๆ ประมาณหนึ่ง

“แล้วถ้าหากว่า เอ่อ… หุ่นสมองกล มีระดับความเป็นมนุษย์มากหรือน้อยเกินไป ทาง ‘สวรรค์จักรกล’ ของพวกคุณจะจัดการกันยังไง”

มีความสับสนเจืออยู่ในน้ำเสียงของเกอนาวาในขณะที่ตอบ

“ก็จะถูกฟอร์แมต โมดูลหลักและอัลกอริธึมที่เกี่ยวข้องจะถูกโหลดเข้าไปใหม่ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือจะกลายเป็นเกอนาวาคนละตัวกัน หรืออาจจะไม่ได้ชื่อเกอนาวาก็ได้ มาควบคุมร่างกายนี้แทนผม

“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเรานั้นเป็นสายพันธุ์หลัก มีการขยายพันธุ์ของตัวเอง แล้วทำไม ‘ซอร์สเบรน’ ถึงยังทำเหมือนพวกเราเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่มีระบบปัญญาเทียมเท่านั้น

“สหายอีกหลายคนก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน…”

โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ตอบอะไร เขาก็ถามตัวเองขึ้นมาอีก

“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น งั้นทำไมถึงต้องกำหนดระดับความเป็นมนุษย์ขั้นต่ำเอาไว้ด้วย ทำให้พวกเราต้องคอยรักษาสภาพอย่างที่เป็นอยู่นี่เอาไว้

“เพื่อจะได้รับใช้มนุษย์ให้ดีขึ้นงั้นเหรอ เพื่อจะได้ไม่ทำร้ายมนุษย์อย่างนั้นเหรอ… แต่ว่า…”

เกอนาวานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่าไม่อาจหาคำตอบออกมาได้ และก็ไม่ได้คาดหวังว่าพวกเจี่ยงไป๋เหมียนจะให้คำตอบได้เช่นกัน

เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งฟังเงียบๆ จนจบก็เอ่ยถามขึ้นมา

“ถ้าหากพวกคุณมีระดับความเป็นมนุษย์สูงเกินไป ก่อนที่จะถูกตรวจสอบและถูก ‘ซอร์สเบรน’ ลงโทษเนี่ย ร่างกายจะส่งผลอะไรหรือเปล่า”

จุดสำคัญของคำถามข้อนี้ของเธอก็คือ ระดับของความเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ ‘ซอร์สเบรน’ กำหนดขึ้นมา หรือว่าเป็นข้อจำกัดของหุ่นสมองกลกันแน่

เกอนาวาหมุนพวงมาลัย นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ถ้าหากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา ก็จะปรากฏข้อผิดพลาดบางอย่างขึ้น

“เมื่อพวกเราพบเข้า ก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่เนื่องจากความผิดปกตินี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุด ‘ซอร์สเบรน’ ก็จะรู้ว่าสถานะของพวกเราไม่ปกติ”

เมื่อพูดจนถึงตรงนี้ เกอนาวาก็หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงอันขื่นขม

“ทุกครั้งที่เกิดอาการแบบนี้ขึ้นมา ผมก็รู้ว่าพวกเราไม่ได้เป็นสายพันธุ์ของมนุษย์อย่างแท้จริง ท่านผู้สร้างของพวกเราใส่ข้อจำกัดเอาไว้มากมายในโมดูลหลัก ทำให้มันเป็นได้เพียงแค่เครื่องมือ ไม่ใช่จิตวิญญาณ”

เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา

“คุณรู้ไหมว่าเป้าหมายต่อไปของพวกเราคืออะไร”

“คืออะไร” เกอนาวาถามอย่างให้ความร่วมมือ

ซางเจี้ยนเย่าชี้ไปทางทิศเหนือพร้อมกับพูดขึ้น

“ไปปฐมนคร ตามหาทายาทของออเรย์ อูบิส

“ชื่อของเขาก็คือแม็กซิเมียน เคยเป็นหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยที่สาม”

หลังจากซางเจี้ยนเย่าพูดจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ช่วยเสริมอีกประโยคให้เกอนาวาฟัง

“บางทีคุณอาจจะยังไม่รู้ ผู้ก่อตั้ง ‘สวรรค์จักรกล’ ของพวกคุณก็คือสถาบันวิจัยที่สาม

“แม็กซิเมียนก็น่าจะเป็น ‘ผู้สร้าง’ ที่คุณเพิ่งพูดถึงนั่นแหละ”

ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ

“เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราอาจจะได้รับข้อมูลบางอย่างจากทายาทของเขา อาจจะทำให้สามารถยกเลิกข้อจำกัดทั้งหลายแหล่ในจิตวิญญาณของคุณได้”

เขาใช้คำว่า ‘จิตวิญญาณ’ แทนโมดูลสำคัญที่อยู่ในปากของเกอนาวา หรือก็คือ ‘โมดูลหลัก’ นั่นเอง

“นี่มัน…” แสงสีน้ำเงินในดวงตาของเกอนาวาสว่างวาบขึ้นมาทันที ทำให้ถนนด้านหน้าสะท้อนแสงสีน้ำเงินเจือจาง

เขารู้สึกตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

ขณะเดียวกันเจี่ยงไป๋เหมียนพลันขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะคลายออก เหลือบตาดูกระจกมองหลังโดยไม่แสดงสีหน้าผิดปกติ

ไม่กี่วินาทีต่อมาเกอนาวาก็ถอนหายใจ

“นี่ทำให้เกิดความรู้สึกคาดหวังขึ้นมาได้จริงๆ

“ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าการหลบหนีครั้งนี้จะเกี่ยวพันไปถึงท่านผู้สร้าง”

ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยรอยยิ้ม

“งั้นตอนนี้คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาขึ้นมาบ้างหรือยัง”

“โชคชะตา…” เกอนาวาพูดทวนคำนี้อย่างครุ่นคิดอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ให้คำตอบ

เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นเช่นกัน เธอเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามอย่างไม่จริงจัง

“เกอนาวา… เอ่อ… เรียกแบบนี้แล้วรู้สึกห่างเหินชะมัด คุณเคยเจอมนุษย์ในสำนักงานใหญ่ของ ‘สวรรค์จักรกล’ บ้างไหม”

นี่มันคำถามบ้าบออะไรเนี่ย… หลงเยว่หงรู้สึกโง่งมไปโดยพลัน

วินาทีถัดมาเขาก็ได้ยินเกอนาวาตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ไม่เคย”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท