ตอนที่ 302 ค้นหา
เกอนาวาสามารถวิเคราะห์ในสิ่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนเป็นกังวลได้ จึงพูดขึ้นในทันที
“ผมสามารถจัดการดัดแปลงบางอย่างเพื่อแทรกแซงการตรวจตราของกล้องวงจรปิดได้”
เขาพูดเรื่องการดัดแปลงออกมาอย่างง่ายดายเหมือนกับที่มนุษย์ทั่วไปพูดว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างนั้นแหละ
“ฉันเคยพิจารณาเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน แต่เกรงว่าจะไม่ทันการแล้วล่ะ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูด บนใบหน้าค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นปัญหาจริงๆ นั่นแหละ แต่ตอนนี้ฉันมีความคิดที่ดีกว่านั้นแล้ว”
“คืออะไรเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยทัศนคติที่ต้องการเรียนรู้
เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดสายตามองทุกคนรอบๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อการเข้าใกล้ ‘นาวาบาดาล’ ของพวกเราไม่อาจเล็ดลอดการตรวจจับของดิมาร์โก้ได้ งั้นก็ไม่ต้องแอบทำหรอก พวกเราจะเข้าไปอย่างเปิดเผยซึ่งๆ หน้านี่แหละ”
“เอ๋” หลงเยว่หงมีสีหน้างุนงง ไป๋เฉินกับเกอนาวาเองก็ไม่มีใครพูดอะไร
เข้าไปอย่างเปิดเผยแล้วจะปฏิบัติการ ‘ยุทธการเด็ดหัว’ ได้ยังไงล่ะ
เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองซางเจี้ยนเย่า
“นายคิดวิธีอะไรได้บ้างไหม”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
“กลยุทธ์ตบตา!”
“โอ้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถกเถียงกับเจ้าหมอนี่ แต่กลับอธิบายด้วยรอยยิ้มแทน “ความหมายของฉันก็คือพวกเราจะหาข้ออ้างเพื่อจะได้เข้าไปในช่องระบายอากาศของโบสถ์นิกายตื่นตัวอย่างเปิดเผย”
เมื่อได้ยินคำว่าช่องระบายอากาศ ในหัวหลงเยว่หงก็มีชื่อหนึ่งผุดขึ้นมาทันที
วีล!
เขายังไม่ทันมีความคิดอื่นเกิดขึ้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็คลี่ยิ้มมองไปรอบๆ
“ตัวอย่างเช่นพวกเราจะไปหาผู้แจ้งเตือนซ่งเพื่อรับภารกิจตามหาวีล
“ก็อย่างที่รู้กัน วีลชอบเคลื่อนไหวอยู่ในช่องระบายอากาศ ดังนั้นการที่พวกเราไปตามหาเขาในระบบช่องระบายอากาศของโบสถ์ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
“ในระหว่างกระบวนการค้นหานี้ เนื่องจากช่องระบายอากาศของโบสถ์กับช่องระบายอากาศของ ‘นาวาบาดาล’ ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อถึงกัน พวกเราจึงต้องเข้าใกล้ ‘นาวาบาดาล’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องถูกดิมาร์โก้ตรวจจับได้ ซึ่งนั่นจะทำให้เขาคุ้นเคยกับการดำรงอยู่ของพวกเรา ดังนั้นเราจะแจ้งให้รู้ถึงวัตถุประสงค์ของพวกเราไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน ทำให้เขามองเห็นได้ชัดว่าเรามีจุดประสงค์อะไร
“รอจนกระทั่งเขาชินชากับสถานการณ์เช่นนี้ ก็จะไม่ได้ระมัดระวังอะไรมากอีก ไม่ตรวจจับอย่างเคร่งเครียด พวกเราก็ฉวยโอกาสตอนกลางคืนที่ผู้คนพักผ่อน อาศัยช่องระบายอากาศที่เล็งเอาไว้ลอบเข้าไปในนาวา”
ไป๋เฉินได้ยินเช่นนี้ก็ผงกศีรษะเล็กน้อย
“วิธีนี้เป็นไปได้อยู่”
รอยยิ้มเจี่ยงไป๋เหมียนชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“และที่สำคัญกว่านั้นก็คือถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาจนทำให้ปฏิบัติการล้มเหลว พวกเรายังสามารถอาศัยป้ายชื่อของนิกายตื่นตัวเพื่อข่มขู่ดิมาร์โก้ ให้ทุกคนถอนตัวออกมาได้โดยสวัสดิภาพ”
พูดมาถึงตรงนี้ เธอก็เผยรอยยิ้มชัดเจน แสร้งทำเป็นว่าคนที่กำลังอยู่ต่อหน้าเป็นคนของ ‘นาวาบาดาล’ จากนั้นก็จำลองถ้อยคำที่จะใช้พูดด้วย
“พวกเราได้รับมอบหมายจากโบสถ์ตื่นตัว สงสัยว่าที่วีลหายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับนาวาของพวกคุณ ดังนั้นจึงต้องเข้ามาเพื่อหาเบาะแส
“ถ้าพวกคุณเชื่อว่าเราทำไม่ถูก งั้นก็ไปบอกนิกายตื่นตัวให้พวกเขามาลงโทษเราก็แล้วกัน
“อย่าบอกนะว่าพวกคุณต้องการจะข้ามเครื่องเซ่นไปเป็นพ่อครัว[1]น่ะ”
หลงเยว่หงได้ฟังก็ถึงกับอึ้งไป รู้สึกเหมือนว่าด้านหลังของหัวหน้าทีมมีปีกสีดำคู่หนึ่งงอกออกมา พร้อมกับหางสีดำกวัดแกว่งไปมา
แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็สรุปออกมาดังนี้
“พูดง่ายๆ ก็คือเป็นจิ้งจอกห่มหนังพยัคฆ์นั่นเอง!”
แปะ! แปะ! แปะ!
เสียงปรบมือซางเจี้ยนเย่ามาตามกำหนดการ
หลงเยว่หงพลันรู้สึกออกมาจากใจจริงว่า นับจากนี้เป็นต้นไป จะล่วงเกินใครก็ได้ แต่ห้ามล่วงเกินหัวหน้าทีมเด็ดขาด
ดีที่หัวหน้าเป็นคนใจกว้างดั่งมหาสมุทร การที่ซางเจี้ยนเย่าสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เป็นประจักษ์หลักฐานได้… ระหว่างที่หลงเยว่หงพูดพึมพำ ก็เอ่ยถามเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“ถ้าหากวีลกลับมาแล้วล่ะ”
“งั้นก็ต้องคุยนิกายตื่นตัวก่อน ถ้าพวกเขาเป็นอย่างที่เราคาดไว้จริงๆ พวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่ปกป้องดิมาร์โก้ แถมยังจะช่วยเหลือพวกเราในระดับหนึ่งอีกด้วย อาจจะให้วีลหายตัวไปสักช่วงหนึ่ง แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ งั้น ‘ยุทธการเด็ดหัว’ ก็ไม่จำเป็นต้องทำต่อแล้ว การจะต่อกรกับนิกายตื่นตัวน่ะ ต้องให้เป็นระดับบริษัท ถึงจะมีคุณสมบัติพิจารณาเรื่องนี้” เจี่ยงไป๋เหมียนคิดในแง่มุมนี้มาเรียบร้อยแล้ว
ทำให้วีลหายตัวไปสักช่วงหนึ่งงั้นเหรอ… หลงเยว่หงฟังแล้วรู้สึกอยากกุมขมับ
* * * * *
เช้าวันรุ่งขึ้น ภายในโบสถ์นิกายตื่นตัวสีแดงแถบทอง
‘ทีมสำรวจเก่า’ พบกับซ่งเหอภายในห้องของผู้แจ้งเตือนผู้นี้
“ผู้แจ้งเตือนซ่ง วีลกลับมาหรือยังคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเข้าประเด็นทันที
ซ่งเหอสั่นศีรษะ พูดด้วยความกังวล
“ผมคิดจะให้คนไปตามหาอยู่ เรื่องนี้ดูผิดปกติอยู่บ้าง”
ขณะที่หลงเยว่หงกำลังจะถอนใจโล่งอก เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขันอาสาขึ้นมาทันที
“งั้นทำไมไม่มอบภารกิจนี้ให้พวกเราล่ะ
“การหาตัววีลก่อนหน้านี้ก็เป็นฝีมือพวกเรานะคะ”
ถึงแม้ว่าวีลจะเป็นฝ่ายที่ออกมาเอง แต่นั่นก็คือหลังจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ รับภารกิจมาและเริ่มต้นการค้นหาไปแล้ว
ซ่งเหอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“พวกคุณต้องการอะไรตอบแทน”
“ต้องการอำนวยพรเล็กๆ น้อยๆ จากองค์ ‘ธชียมโลก’ น่ะค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนจงใจทำให้คำพูดของเธอนั้นแฝงนัย
“หือ” ซ่งเหอรู้สึกยากจะเข้าใจอยู่บ้าง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตอบ แต่พูดขึ้นมา
“สถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุดที่วีลใช้ซ่อนตัวคือช่องระบายอากาศ พวกเราต้องการเข้าออกโบสถ์ได้อย่างอิสระ และค้นหาทุกช่องระบายอากาศ”
ซ่งเหอเงียบไปครู่หนึ่งราวกับเข้าใจความนัยของเจี่ยงไป๋เหมียน
เขาพูดอย่างครุ่นคิด
“ค่าตอบแทนของพวกคุณในเรื่องนี้ผมไม่สามารถตัดสินใจได้ ผมขอไปปรึกษากับมุขนายกอันโตนิโอล่าก่อน พวกคุณรออยู่นี่ก่อนสักครู่นะ”
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมหน้ากากหลวงจีนรูปงามคลี่ยิ้ม
เกือบสิบนาทีต่อมา อันโตนิโอล่าที่สวมหน้ากากเรียบง่ายและเสื้อคลุมสีดำก็เดินตามซ่งเหอเข้ามาในห้อง
เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา
“อำนวยพรแห่งเทพี ‘ธชียมโลก’ มีไว้สำหรับสาวกผู้ศรัทธาและผู้ที่ทำงานให้พระองค์เท่านั้น ผมไม่สามารถให้คำสัญญาในนามขององค์ผู้ครองกาลได้”
เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ไขว้สองแขนไว้ที่หน้าอกถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ใจที่ระวังจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์!”
“…” อันโตนิโอล่าไม่ทราบว่าจะต้องตอบสนองเช่นไรไปชั่วขณะ
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็เปลี่ยนเรื่อง
“ผมสามารถให้อนุญาตพวกคุณสำรวจช่องระบายอากาศของโบสถ์ได้ หวังว่าพวกคุณจะหาตัววีลพบโดยเร็ว และหวังว่าพวกคุณจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ กับสถานที่แห่งนี้”
เขาไม่ได้พูดถึงว่าสุดท้ายแล้วจะให้สิ่งใดเป็นค่าตอบแทน ราวกับว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ
ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนวูบไหวเล็กน้อยประหนึ่งกำลังใช้ความคิด
“แผนผังช่องระบายอากาศของที่นี่ค่อนข้างซับซ้อนไปหน่อย แถมยังเชื่อมต่อกับ ‘นาวาบาดาล’ อีกด้วย ถ้าเกิดพวกเราหลงทาง หลงเข้าไปในสถานที่ที่ไม่ควรเข้า จะทำยังไงคะ”
อันโตนิโอล่าเงียนงันไปเกือบสิบวินาทีก่อนจะพูดออกมาโดยมีรอยยิ้มเจืออยู่
“หวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไปก็แล้วกัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะตาม
“ทราบแล้ว จะไม่มีครั้งต่อไปแน่นอนค่ะ”
* * * * *
ณ ชั้นใต้ดินของโบสถ์ตื่นตัว
พ่อค้าทาสฮั่วจื้อมองดูหนุ่มสาวสี่ห้าสิบคนที่อยู่หน้าตนเองแล้วพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“พวกแกคงเห็นแล้วว่าต่อให้เป็นแค่สถานที่สำหรับฝึกฝนก็ยังดีกว่าที่ที่พวกแกเคยอาศัยก่อนหน้านี้ มีเตียงให้ใช้ มีฟูก มีผ้าห่ม มีหมอน แถมยังมีอาหารสามมื้อให้ตามเวลาอีกด้วย
“นี่เรียกว่าอะไร นี่เรียกว่าสวรรค์ไงล่ะ! นี่คือวาสนาของพวกแก ดังนั้นอย่าทำให้มิสเตอร์ดิมาร์โก้ผิดหวัง
“สรุปก็คือต้องฝึกฝนให้ดี ต้องพยายามทุ่มเทเพื่อจะได้เข้าไปในนาวา แต่ถ้าไม่ถูกเลือกล่ะก็… เหอะ เหอะ ชีวิตอาจต้องไปจบในสถานที่อย่างพวกเหมืองไงล่ะ”
ดวงตาของชายหญิงทั้งสี่ห้าสิบคนที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ปุปะเป็นประกายขึ้นมา เต็มไปด้วยความหวัง
พวกเขาเองต่างก็กังวลถึงผลที่ตามมาหากไม่ถูกคัดเลือก
ในระหว่างที่คนจาก ‘นาวาบาดาล’ เริ่มจัดแจงคนหนุ่มสาวพวกนี้ให้ไปพักอยู่ในห้องต่างๆ ฮั่วจื้อกับพวกลูกน้องก็เห็นทีมนักล่าซากอารยะที่มีหุ่นยนต์มาด้วย ทีมที่สามารถถล่มชุมชนศิลาแดงให้พินาศย่อยยับได้ พวกเขาใช้ลิฟต์มาถึงที่นี่
พวกนี้มาทำอะไรกันที่นี่… ฮั่วจื้อถอยไปด้านสองก้าวเพื่อหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ เหล่าทาสที่เขาพามาด้วยต่างเกาะกลุ่มแยกย้ายไปแต่ละห้อง ใช้ดวงตาที่หวาดหวั่นและว่างเปล่างุนงงมองไปยัง ‘แขก’ ที่มาถึง
ซางเจี้ยนเย่าหยุดชะงัก สายตากวาดมองไปยังใบหน้าต่างๆ ที่สะอาดสะอ้านแต่สีหน้าซีดเซียว
“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่” ผู้คุมของ ‘นาวาบาดาล’ นายหนึ่งเดินตรงเข้ามาพลางเอ่ยปากถาม “ตอนนี้เป็นเวลาที่นาวาของพวกเราใช้สำหรับฝึกฝนคนรับใช้นะ”
กรรมสิทธิ์ของใต้ดินชั้นหนึ่งนั้นเป็นของนาวา มีเพียงแค่ตอนที่พวกเขาไม่ได้ฝึกฝนและตรวจสอบทาสเท่านั้นถึงจะอนุญาตให้นิกายตื่นตัวใช้จัดพิธีมิสซา
ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงปากยื่นขนดกยกมือขึ้นชี้พร้อมกับยิ้ม
“มาซ่อมช่องระบายอากาศ”
ทั้งผู้คุมทุกคนและพวกฮั่วจื้อต่างก็นิ่งอึ้งไปกับคำตอบนี้ ในช่วงสั้นๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนสืบเท้าไปข้างหน้าสองก้าวเพื่ออธิบาย
“ที่โบสถ์มีเด็กหายไปคนหนึ่ง เขาชอบซ่อนตัวอยู่ในช่องระบายอากาศ พวกเรามาตามหาเขา”
ในขณะที่เธอพูดก็นำเอกสารที่อันโตนิโอล่าเขียนให้ออกมา
ผู้คุมของ ‘นาวาบาดาล’ มองดูแล้วผงกศีรษะ
“งั้นก็อย่ามารบกวนพวกเราละกัน”
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบรับด้วยรอยยิ้ม
การคั่นจังหวะนี้เป็นความจงใจของเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่า เป้าหมายก็คือต้องการแจ้งให้คนของ ‘นาวาบาดาล’ ทราบถึง ‘ภารกิจ’ ของพวกเขา และส่งข้อความไปถึงหูของดิมาร์โก้ให้เร็วที่สุด
จากนั้น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ตรวจค้นช่องระบายอากาศตามพื้นที่ต่างๆ ที่ระบุในแผนผัง
ในระหว่างการค้นหานี้พวกเขาได้เข้าไปในช่องระบายอากาศที่สามารถเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ได้ แต่หลังจากที่ ‘ยืนยัน’ ได้แล้วว่าไม่มีร่องรอยของวีลอยู่ในนั้นก็กลับออกมาแล้วไปที่อื่นต่อ ทำตัวเป็นเหมือนนักล่าซากอารยะที่ทำงานตามปกติ
เนื่องจากเป็นคนนอกที่ไม่ได้ปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตในช่องระบายอากาศ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าการค้นหาคนนั้นย่อมไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ทุกๆ สองสามชั่วโมงพวกเขาจะต้องออกมาหายใจ มาขยับเขยื้อนร่างกาย มาพักสมองอยู่เป็นระยะ
พวกเขาง่วนอยู่กับการทำเช่นนี้จนกระทั่งห้าทุ่ม แต่ก็ยังเหลือพื้นที่อีกสองสามแห่งสุดท้ายที่ยังไม่ได้ค้นหา
ซึ่งหนึ่งในพื้นที่ของช่องระบายอากาศที่เหลือนั้นก็คือบริเวณที่อวี๋เทียนกับโปเต้รับผิดชอบ
ในขณะนี้โบสถ์ตื่นตัวปิดประตูแล้ว บรรดาเจ้าหน้าที่นิกายต่างก็แยกย้ายกลับห้องไปพักผ่อนกันหมด มีเพียงยามติดอาวุธของโบสถ์บางส่วนที่ยังคงลาดตระเวนและปฏิบัติหน้าที่
ภายในห้องโถงสีแดงทองอันว่างเปล่า เจี่ยงไป๋เหมียนที่พักผ่อนปรับตัวเสร็จก็ลุกขึ้นมา เดินนำซางเจี้ยน ไป๋เฉิน และคนอื่นๆ ไปยังสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของ ‘ธชียมโลก’
เธอมองดูร่างผู้หญิงที่ซ่อนตัวหลังบานประตู ก้มศีรษะลดเสียงและแล้วกล่าวอย่างจริงใจ
“‘นาวาบาดาล’ ในอดีตศรัทธาพระองค์ ในปัจจุบันก็ศรัทธาพระองค์ ในอนาคตก็ยังคงศรัทธาพระองค์
“พวกเราเพียงแค่ต้องการให้สาวกที่ศรัทธาพระองค์มีชีวิตที่ดีขึ้น ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องคอยหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าจะถูกฆ่าตายเมื่อไหร่”
เมื่อสวดภาวนาเสร็จ สมาชิกทั้งห้าของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน
สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์รูปเงาร่างผู้หญิงของ ‘ธชียมโลก’ ที่ซ่อนอยู่ในความมืดหลังบานประตูยังคงแขวนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบสงบ
หลงเยว่หงพูดพึมพำอย่างผิดหวัง
“ไม่มีการตอบสนอง…”
ถึงแม้เขาจะรู้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันก็ตาม แม้แต่สาวกที่นับถือศรัทธา ‘ธชียมโลก’ มากที่สุดก็ยังไม่แน่ว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ครองกาลเลย จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาที่เป็นคนนอกนิกาย ไร้ซึ่งความเชื่อถือศรัทธา แต่มนุษย์นั้นจะดีจะร้ายก็ชอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่แล้ว
อันที่จริงหากว่า ‘ธชียมโลก’ เกิดเพ่งมองมาจริงๆ คนที่จะตกใจกลัวเป็นคนแรกก็ย่อมต้องเป็นหลงเยว่หงอย่างแน่นอน
เขาเพิ่งจะพูดขาดคำก็เห็นซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้ม ได้ยินเขาพูดด้วยความตื่นเต้นคึกคัก
“แบบนี้ก็ถือว่าพระองค์เห็นด้วยแล้ว!”
เมื่อพูดจบ ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงปากยื่นขนดกก็กลับหลังหันเดินไปยังใต้ดินชั้นหนึ่งทันที
[1] ข้ามเครื่องเซ่นไปเป็นพ่อครัว (越俎代庖) แปลว่า เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีการบูชาบรรพชน ไม่ใส่ใจตระเตรียมภาชนะเครื่องเซ่นบูชา แต่กลับลงมือทำงานเป็นพ่อครัว อุปมาถึงการข้ามหน้าข้ามตา ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่น