รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 308 เพราะอะไร

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 308 เพราะอะไร

ตอนที่ 308 เพราะอะไร

ร่างที่แยกออกมาจากซางเจี้ยนเย่านั้นเป็นเหมือนภูติผีที่เล่ากันมาในเรื่องเล่าเก่าแก่ มันเป็นเงาพร่าเลือนเหมือนเป็นภาพลวงตา ทำให้อุณหภูมิรอบข้างดูเหมือนจะลดลงไปในระดับหนึ่ง

ดิมาร์โก้!

เจี่ยงไป๋เหมียนมั่นใจได้แล้วว่าบนโลกใบนี้มีของที่เรียกว่าสิ่งมีชีวิตในรูปแบบจิตสำนึกแห่งวิญญาณอยู่จริง

ที่จริงแล้วความสำเร็จของโปรเจกต์ ‘นิรันดร์กาล’ การดำรงอยู่ของหลวงจีนจักรกลก็สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนยังไม่ทันได้คิดเรื่องอื่นก็พลันรู้สึกว่าร่างกายเย็นลง จิตสำนึกประหนึ่งว่าถูกแช่แข็ง

จากนั้นเธอก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

“ไม่!”

ที่เกิดขึ้นพร้อมกับเสียงร้องก็คือมีเงาร่างแยกออกมา แล้วภาพดิมาร์โก้กับหลงเยว่หงก็ซ้อนทับเข้าด้วยกัน

“ไม่!”

“ไม่!”

ร่างเงามายาดิมาร์โก้วูบวาบเข้าไปในร่างของหลงเยว่หงกับไป๋เฉินทีละคน ทำให้พวกเขากรีดร้องด้วยความหวาดกลัวโดยไม่ได้สมัครใจ

การกระทำของเจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ ผู้นี้ประหนึ่งเป็นแมลงวันไร้หัว วิ่งว่อนไปมาภายในห้องด้วยความหวาดกลัว เข้าสิงร่างไม่หยุด หลุดจากร่างไม่เลิก ราวกับว่าไม่ว่าที่ไหนก็ไม่อาจทำให้เขารู้สึกว่าเป็นสถานที่อันปลอดภัยได้

ในเวลาอันสั้นเพียงหนึ่งถึงสองนาที เขาก็เข้าไปสิงสู่อยู่ในร่างถึงสองรอบด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ทั้งยังถึงกับวางแผนใช้หุ่นสมองกลสีดำเงินเกอนาวาเป็นร่างภาชนะ แต่น่าเสียดายที่เกอนาวาไร้ซึ่งการตอบสนอง ไม่มีแม้แต่คำว่า “ไม่” ก็ไม่ได้กรีดร้องออกมา

เพียงแค่พริบตา เงาร่างดิมาร์โก้ก็พลันสูญสลายหายวับไปกับตา

เขา ‘กระโดด’ เข้าไปในห้องที่แปลกประหลาดห้องหนึ่ง

ผนังของห้องนี้ดำมืด มีภาพใบหน้ามายาโผล่ออกมาใบหน้าแล้วใบหน้าเล่า

ใบหน้าเหล่านี้บิดเบี้ยวน่าสยดสยอง จ้องมองดิมาร์โก้ด้วยสายตาอาฆาตพยาบาทราวกับอดใจที่จะพุ่งเข้าไปอ้าปากฉีกกระชากผู้ตื่นรู้ในระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ผู้นี้ไม่ไหวแล้ว

ดิมาร์โก้ไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย รีบตรงเข้าไปยังบานประตูที่มืดมิดนั่น พยายามเปิดมันออก

ทว่าประตูบานนั้นไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ราวกับมันเป็นเพียงแค่ภาพวาด

ประตูดำมืดบานนี้ภายนอกเป็นสีแดงเลือดนก บนบานประตูมีตัวเลขสีทองติดอยู่ แต่ที่มือจับประตูและช่องกุญแจมีกระดาษสีดำแปะไว้

พวกมันแปะเอาไว้เหมือนกับผนึกของโลกเก่า

“ไม่!”

ดิมาร์โก้ร้องตะโกนออกมาอีกครั้งอย่างหวาดกลัวและไม่ยินยอม

หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาถูกขังไว้ใน ‘ห้อง’ ของตัวเองมาตลอด มีเพียงแค่บางครั้งบางคราวถึงจะสามารถใช้โลกแห่งจิตวิญญาณของผู้อื่นเพื่อออกมาสำรวจที่ทางเดินได้

เหตุผลที่เขาสนใจเกี่ยวกับสภาวะและข้อความที่พยัคฆ์ยมราชทิ้งไว้ก็เพราะอยากจะหาวิธีการหรือไม่ก็บานประตูสู่โลกใหม่ เพื่อจะได้หลุดพ้นออกไปจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างสิ้นเชิง

สำหรับผู้แข็งแกร่งในระดับดิมาร์โก้ ต่อให้มุกราตรีระเบิดพลังทั้งหมดออกมาในคราวเดียว แม้จะส่งผลกระทบได้ไม่น้อย ทว่าระยะเวลาที่ออกฤทธิ์นั้นก็เพียงแค่ช่วงสั้นๆ

เพียงไม่นานดิมาร์โก้ก็ฟื้นคืนจากสภาวะ ‘คนขี้ขลาด’ เขามองดูใบหน้าที่อยู่รายรอบภายใน ‘ห้อง’ แล้วก็ผละจากไป

* * * * *

ในโลกแห่งความจริง เป็นเพราะเงาร่างดิมาร์โก้หายไปชั่วคราว พวกซางเจี้ยนเย่าเจี่ยงไป๋เหมียนจึงได้กลับมาเป็นปกติ

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตะโกนออกมาทันที

“เขากลัวไฟฟ้ากับแม่เหล็ก!”

นี่เป็นบทพิสูจน์จากการปฏิบัติจริง!

เจี่ยงไป๋เหมียนพบว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘ชีวิตในรูปแบบจิตสำนึก’ มีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ก่อนหน้านี้ที่ตนเองได้ระเบิด ‘พายุสายฟ้า’ ออกมานั้นสร้างความเสียหายขนาดหนักให้กับรากฐานชีวิตของดิมาร์โก้ และทำลาย ‘ร่างอวตาร’ ของเขาที่ซ่อนตัวอยู่ไปเป็นจำนวนมาก

ทว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอ หากต้องการทำลายสัตว์ประหลาดที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างภาชนะสารพัดร่างมานานปีตัวนี้ให้สิ้นซาก การใช้เพียงแค่ใช้พลังไฟฟ้าจากแขนเทียมชีวภาพของเธอนั้น เห็นได้ชัดว่ายังไม่เพียงพอ และการระเบิดพลังไฟฟ้าออกไปก่อนหน้านี้ทำให้เธอต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสะสมพลังงานให้กลับมาใช้ใหม่ได้ ในตอนนี้อย่างมากสุดก็ทำได้เพียงแค่ช็อตไฟฟ้าให้คนเป็นอัมพาตได้สักครั้งสองครั้งเท่านั้น

เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ เงาร่างดิมาร์โก้ก็ปรากฏออกมาในอากาศอย่างรวดเร็ว

ในขณะนี้ ‘สัตว์ประหลาด’ ตัวนี้ที่สวมชุดนักบวชสีดำของโลกเก่าและหมวกนุ่มแบบโบราณที่มีสีเดียวกันดูพร่าเลือนยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้มาก ราวกับเป็นฟองสบู่ที่เปราะบาง

เมื่อเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนยกมือซ้ายขึ้น และเกอนาวาเองก็ดูเหมือนว่าคิดจะถอดแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงออกมา ดิมาร์โก้ก็ ‘แค่นเสียง’ ทันที

ทันใดนั้นเอง เพดานก็ถล่มลงมา หินก้อนใหญ่ร่วงหล่นมาก้อนแล้วก้อนเล่า

ราวกับพวกมันถูกดึงลงมาด้วยพลังที่มองไม่เห็น รวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะของเจี่ยงไป๋เหมียน เกอนาวา หลงเยว่หง และไป๋เฉิน

ส่วนตำแหน่งที่ซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่นั่นกลับเงียบสงบประหนึ่งว่าเป็นใจกลางตาพายุ

ท่ามกลางเสียงความเคลื่อนไหวดังโครมคราม หลงเยว่หงมองเห็นเศษก้อนคอนกรีตชิ้นเล็กชิ้นใหญ่พุ่งใส่ตนเอง

เขาเพิ่งจะได้ยินที่หัวหน้าทีมพูดจบ ยังไม่ทันมีเวลาคิดหามาตรการรับมือ จิตใต้สำนึกก็ขับเคลื่อนชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร งอข้อเท้าทั้งสองข้างรี่ตรงไปทางประตู

สถานการณ์ของการพังถล่มด้านนั้นดีกว่ามาก

หลังจากเคลื่อนไหวตามนี้เสร็จ หลงเยว่หงก็พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้…

ไป๋เฉินอยู่ด้านข้างไม่ห่างจากตัวเองมากนัก เธอไม่มีชุดเกราะเสริมแรง เจอกับเพดานถล่มลงมาย่อมเป็นเรื่องอันตรายร้ายแรง

ขณะที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศ หลงเยว่หงฝืนหันหน้ามามองกลับไปก็เห็นว่าชิ้นส่วนคอนกรีตที่กำลังร่วงหล่นลงมานั้นปกคลุมไป๋เฉินไว้แล้ว

ดวงตาเขาชะงักค้างทันที ทว่าร่างกายไม่อาจหมุนตัวเพื่อย้อนกลับไปได้

โครม!

หลงเยว่หงที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารพุ่งกระโจนไปถึงประตูแล้ว แต่เขาไม่ได้กลิ้งม้วนตัวพุ่งต่ออีก

ในเวลานี้ไป๋เฉินอาศัยประสบการณ์อันโชกโชนเก็บคองอเข่าขดตัวไว้ ก่อนจะใช้มือขวาแขนขวาปกป้องศีรษะและอวัยวะสำคัญทั้งหมดเอาไว้

เธอไม่ได้ตื่นตระหนก ยังคงสังเกตสภาพแวดล้อมแล้วย้ายหลบไปยังจุดที่มีเศษคอนกรีตร่วงหล่นไม่มาก

ต้องเลือกตัวเลือกที่เลวร้ายน้อยกว่า

ตุ๊บ! พลั่ก!

บ่า หลัง และแขนเธอถูกกระแทกและครูดผ่านไป

ไป๋เฉินกัดฟัน และส่งเสียงคำรามออกมา

ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนฉากหลบเศษคอนกรีตชิ้นใหญ่สุด แล้วใช้เรี่ยวแรงมหาศาลจากมือซ้ายปัดป้อง ‘การโจมตี’ ออกไปหลายครั้ง

นี่จึงทำให้เธอเพียงแค่มีรอยขีดข่วนเล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับเกอนาวา เขาไม่เพียงแต่จะตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและทรงพลัง ซ้ำยังต้านรับการกระแทกจากเศษคอนกรีตส่วนใหญ่ไว้ด้วย ทั่วทั้งร่างนอกจากรอยบุบในระดับหนึ่งแล้วก็มีรอยถลอกขูดขีดพอควร จำต้องไปทาสีใหม่

ระหว่างที่พวกเขาหลบหลีกการโจมตีนี้ เงาร่างของดิมาร์โก้ก็หายไปในอากาศอีกครั้ง ดวงตาซางเจี้ยนเย่ากลับไปดำมืด สองเท้าไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

* * * * *

บนเกาะที่มีแสงอาทิตย์ มีภูเขา มีลำน้ำ ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’

เงาร่างดิมาร์โก้ในชุดนักบวชสีดำจากโลกเก่า สวมหมวกนุ่มแบบโบราณปรากฏตัวบนท้องฟ้า

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าเขาอ่อนแอลงไปไม่น้อย ประหนึ่งว่าไม่อาจประคับประคองไปได้อีกนานนัก

เขามองลงมายังซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านล่าง พูดเสียงแข็ง

“ถึงแม้ว่าร่างของแกจะไม่ใช่ภาชนะที่เหมาะสม อย่างมากสุดก็ใช้ได้แค่ปีสองปี แต่ลูกฉันใกล้จะคลอดแล้ว ฉันยังมีโอกาสอีกมากที่จะสร้างชีวิตเกิดใหม่ขึ้นมาอีก!

“นี่แกอยากจะบังคับให้ฉันยึดแปรสภาพโดยตรง ไม่ยอมปล่อยให้ฉันเพิกถอนจิตสำนึกแต่โดยดีอย่างนั้นใช่ไหม”

ระหว่างที่พูด ดิมาร์โก้ก็ลดฝ่ามือขวาลง

‘ทะเลต้นกำเนิด’ ของซางเจี้ยนเย่าเดือดพล่าน เกิดเป็นคลื่นยักษ์สูงนับสิบนับร้อยเมตร

ท่ามกลางคลื่นลูกขนาดมหึมาเหล่านี้ แสงระยิบระยับจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนขยายตัวออก แสดงให้เห็นภาพฉากต่างๆ

ภาพฉากเหล่านี้ บ้างเป็นฉากซางเจี้ยนเย่าหัดเดินเตาะแตะอยู่หน้าพ่อแม่ บ้างเป็นฉากซางเจี้ยนเย่าฟังพ่อเล่าเรื่องบนพื้นโลก บ้างเป็นฉากซางเจี้ยนเย่าชนะการเล่นซ่อนหา จับตัวหลงเยว่หงได้ บ้างเป็นฉากซางเจี้ยนเย่าขดตัวอยู่ในห้องมืด คลุมโปงอยู่ในผ้าปูเตียงสีขาว บ้างเป็นฉากซางเจี้ยนเย่ากำลังตั้งอกตั้งใจเรียนอยู่ตามลำพัง บ้างเป็นฉากซางเจี้ยนเย่าเซ็นเอกสารเป็นอาสาสมัครโดยไม่ลังเล บ้างเป็นฉากซางเจี้ยนเย่านอนอยู่บนเตียงทดลอง ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง…

ภาพฉากเหตุการณ์ในอดีตปรากฏขึ้นอีกครั้งในวันนี้

‘เชื่อมชะตา’ มองอดีตแห่งเวไนย รู้ถึงพุทธจิตเพียงหนึ่งเดียว

เจ้าก็คือข้า ข้าก็คือเจ้า!

ไม่ว่าซางเจี้ยนเย่าจะใช้ ‘คนไร้เหตุผล’ ‘ตัวตลกชักจูง’ อย่างไร หรือจะจำลองว่าใช้จรวดบาซูก้ายิงใส่ ดิมาร์โก้ก็ไม่ได้รับผลกระทบอีกแล้ว ร่างเขาหลอมรวมเข้ากับภาพมายาขนาดยักษ์และภาพฉากต่างๆ

โครม!

คลื่นยักษ์รอบเกาะถาโถมเข้ามา ท่วมใส่พวกซางเจี้ยนเย่ากลืนให้จมอยู่ข้างใน

* * * * *

ภายในห้องดิมาร์โก้ในโลกแห่งความเป็นจริง

หลังจากการพังถล่มของเพดานสิ้นสุดลง เจี่ยงไป๋เหมียนที่คาดเดาได้ว่าร่างของใครที่ดิมาร์โก้ต้องการยึดครอง ก็รีบวิ่งไปทางซางเจี้ยนเย่าทันที

มือซ้ายเธอมีประกายไฟฟ้าปะทุออกมาเป็นเส้นๆ แต่มันไม่สามารถวิ่งฝ่าอากาศพุ่งใส่ถึงร่างซางเจี้ยนเย่าถึง เธอจึงทำได้เพียงแค่ต้องขยับเข้าใกล้แล้วใช้การสัมผัสเพื่อช็อตไฟโดยตรง

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้ว่านี่จะสร้างความเสียหายให้ดิมาร์โก้ได้มากน้อยเพียงใดหลังจากที่เขายึดครองร่างได้ หรือว่าจะสามารถไล่เขาออกจากร่างซางเจี้ยนเย่าได้หรือไม่ ทว่าในเวลาเช่นนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากอีกแล้ว

เพียงชั่ววินาทีเจี่ยงไป๋เหมียนก็วิ่งไปถึงข้างกายซางเจี้ยนเย่า

เธอเพิ่งจะยื่นมือซ้ายออกไปก็เห็นซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงขยับดวงตามาขยิบตาให้

เขาขยิบตา

แขนซ้ายเจี่ยงไป๋เหมียนที่ยื่นออกไปชะงักค้าง

* * * * *

บนเกาะที่มีภูเขา มีสายน้ำ มีแสงแดดสาดส่องใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ของซางเจี้ยนเย่า

ที่นี่มีเพียงร่างของดิมาร์โก้กับภาพฉากที่เป็นแสงภายในคลื่นยักษ์รายรอบหลงเหลืออยู่

ซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ภายในฉากเหล่านั้นดูเหมือนหม่นแสงลงไปมาก

“ฮ่า ฮ่า!” ดิมาร์โก้เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะเสียงดังลั่น

ทว่าบนใบหน้าเขา หน้าผากของเขา ลำคอของเขา ล้วนมีใบหน้าซางเจี้ยนเย่าปูดยื่นออกมามากมายประหนึ่งว่าต้องการฉีกออกมาจากด้านใน

“เป็นไปได้ยังไง ทำไมถึงไม่สามารถยึดแปรสภาพได้อย่างสมบูรณ์” ดิมาร์โก้ตื่นตกใจร้องตะโกนออกมา

ออร่าเขาอ่อนแรงกว่าก่อนหน้านี้ อ่อนกว่ามาก

แล้วในตอนนี้เขาก็เห็นมือคู่หนึ่งโผล่ออกมาที่ขอบของเกาะ

หลังจากนั้นก็มีร่างมนุษย์คนหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งย่อมต้องเป็นซางเจี้ยนเย่าในเครื่องแบบลายพลางสีน้ำเงินเทา

เขายิ้มให้กับดิมาร์โก้

“ก็เพราะว่ายังมีฉันเหลืออีกหนึ่งคนไงล่ะ”

ที่อยู่บนเกาะก่อนหน้านี้มีซางเจี้ยนเย่าเพียงแค่แปดคนเท่านั้น

“แก!” ดิมาร์โก้ตวาดอย่างโกรธเคืองแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้น

ซางเจี้ยนเย่าพูดพร้อมหัวเราะเยาะ

“หลังจากพบว่าแกสามารถเข้ามาในโลกจิตวิญญาณของคนอื่นได้ ฉันก็เข้าใจบางเรื่องขึ้นมาทันที

“เจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ ทุกคนคงจะเป็นแกสินะ หลังจากร่างกายปัจจุบันเสื่อมโทรมลงไป แกก็สามารถยึดครองร่างกายคนอื่นเพื่อใช้ชีวิตต่อไปได้ เจ้าของนาวาจะมีเมียมากมาย มีลูกหลายคน นั่นก็เป็นเพราะแกจะได้เลือกร่างภาชนะที่เหมาะสมที่สุด

“ในจุดนี้มีรายละเอียดเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก นั่นก็คือตอนที่เจ้าของนาวาคนเดิมป่วยหนัก คนรับใช้ก่อจลาจล ทำให้ครอบครัวพวกแกสูญเสียสมาชิกไปหลายคน ดังนั้นหลังจากร่างกายของดิมาร์โก้เริ่มไม่ไหวแล้ว

เขาแกจึงหาร่างภาชนะที่เหมาะสมไม่ได้ นั่นเลยทำให้แกบ้าคลั่ง จนกระทั่งลาร์สปรากฏตัวขึ้นมาถึงได้ทำให้แกมองเห็นความหวัง

“แกเป็นผู้แข็งแกร่งในระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ เดิมทีก็ไม่ควรปล่อยให้ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นจนทำให้ตัวเองตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้

“ดังนั้นฉันก็เลยได้ข้อสรุปว่า

“แต่ละครั้งที่ยึดแปรสภาพเพื่อครอบครองร่างคนอื่น แกจะตกอยู่ในภาวะที่อ่อนแอที่สุด ขนาดจะควบคุมพวกยามธรรมดากับคนรับใช้ก็ยังทำไม่ไหว

“การที่ก่อนหน้านี้แกเพิกถอนจิตสำนึกของฉันแทนที่จะยึดร่างฉันไปตรงๆ ก็ยิ่งพิสูจน์สิ่งที่ฉันเดาไว้”

ดวงตาของดิมาร์โก้ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย ประหนึ่งว่าความลับที่สำคัญที่สุดที่เก็บงำไว้ถูกเปิดโปงออกมา

ซางเจี้ยนเย่ายังคงหัวเราะต่ออีก

“ดังนั้นฉันก็เลยไปซ่อนตัวเพื่อรอโอกาสนี้

“ตอนนี้แกกำลังอยู่ในกระบวนการยึดแปรสภาพ ยังไม่เสร็จสิ้นดี กำลังตกอยู่ในภาวะที่อ่อนแอที่สุด ส่วนคนที่เป็นเจ้าของโลกจิตวิญญาณแห่งนี้ก็คือฉัน”

ดิมาร์โก้ไม่อาจระงับโทสะในใจได้อีกต่อไป เขาโพล่งถามขึ้น

“สิ่งที่แกทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็คือการแสดงงั้นเหรอ”

เขาถูกหลอกโดยการแสดงของพวกกองทัพซางเจี้ยนเย่า คิดว่านั่นคือขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว

แน่นอนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นและความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมก็ยัง ‘กระตุ้น’ ให้เขาได้รับร่างกายมาทันทีอีกด้วย

“เปล่า เปล่า ไม่ใช่หรอก พวกเราทุกคนทำกันสุดฝีมือแล้วแหละ จะไปฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่คนคนเดียวไม่ได้หรอก” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายด้วยรอยยิ้ม

ดิมาร์โก้ถึงกับพูดไม่ออก ไม่กี่วินาทีถัดมาก็กัดฟันร้องคำราม

“แกมันบ้าไปแล้วจริงๆ!

“ทำไมพวกแกต้องเชื่อฟังนิกายตื่นตัวแล้วมาต่อต้านฉันด้วย

“พวกมันสัญญาว่าจะให้อะไรตอบแทนงั้นเหรอ ฉันให้พวกแกได้เหมือนกันนะ!”

ซางเจี้ยนเย่าเดินเข้าไปหาดิมาร์โก้ที่กำลังพังทลายพลางพูดอย่างยิ้มแย้ม

“พวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายตื่นตัวแม้แต่นิดเดียว”

“งั้นพวกแกมาโจมตีฉันทำไม เพราะอะไร” ดิมาร์โก้โกรธแค้น

ซางเจี้ยนเย่ามองดูเขาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงตามปกติ

“ก็เป็นเพราะชีวิตผู้บริสุทธิ์มากมายที่แกฆ่าไปยังไงล่ะ เป็นเพราะดวงตาเปี่ยมความหวังแต่ละคู่ที่กลับกลายเป็นสิ้นหวัง”

ดิมาร์โก้เกือบจะคิดว่าตัวเองหูฝาดไป

“เป็นเพราะเรื่องแค่นี้เองเนี่ยนะ

“เพราะอะไร”

เขาถามอีกครั้งว่าเพราะอะไร นั่นเพราะทำใจเชื่อไม่ลงว่าจะมีใครกล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงต่อสู้กับตนเพื่อชีวิตและอนาคตของทาสเพียงแค่กลุ่มเดียว

“เพราะอะไรงั้นเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าทวนคำถามเขา พลางมองซ้ายแลขวา

ทั้งสองฝั่งข้างตัว ในคลื่นยักษ์ที่ถูกแช่แข็งค้างกลางอากาศ ภาพฉากต่างๆ ที่ส่องแสงเป็นประกายข้างในมีหลายฉากที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น

บางฉากเป็นคนเร่ร่อนมากมายนอกเมืองหญ้าไพรที่เสียชีวิตจากความหนาวเหน็บและอดอยาก บางฉากเป็นท้องถนนและลานจัตุรัสที่เลือดไหลเจิ่งนอง บางฉากเป็นภาพคนที่ไม่อาจได้กินบะหมี่คำสุดท้าย เขาแทบจะพังทลายและบ้าคลั่ง ร้องถามออกมา

‘ทุกคนล้วนแต่เป็นมนุษย์กันทั้งนั้น แล้วพวกเราไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่องั้นเหรอ’

บางฉากเป็นสนามรบมีซากศพอยู่เกลื่อนกลาด ทั้งมนุษย์ มนุษย์มัจฉา ปีศาจภูเขา แผนที่แผ่นนั้นมีวงกลมล้อมคำว่า ‘บ้าน’ เอาไว้ บางฉากเป็นหานวั่งฮั่วที่แขนมีเกล็ดสีอำพัน หัวเราะด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

‘ถูกแล้ว ผมเป็นมนุษย์ชั้นรอง แต่เมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ในชุมชนนี้ เทียบกับคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ ผมยังเป็นมนุษย์มากกว่าด้วยซ้ำ!’

บางฉากคือความนิ่งอึ้งเงียบงันเมื่อเผชิญกับคำถามว่า ‘คุณยังนับว่าตัวเองเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า’ บางฉากเป็นร่างสูงวัยกระโดดลงมาจากอาคารสูง บางฉากเป็นรอยยิ้มที่พูดว่า ‘สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย’ บางฉากเป็นคำถามที่เกอนาวาไม่มีทางเข้าใจและไม่อาจยอมรับ

‘พวกเราเองก็เป็นมนุษย์ประเภทหนึ่งไม่ใช่หรือไง’

บางฉากเป็นซากศพไม่สมบูรณ์ในถ้ำเตี้ยๆ ในภูเขา เป็นร่างผู้หญิงที่กอดบุตรสาวตัวเองเอาไว้อย่างแนบแน่นแม้เสียชีวิตไปแล้ว มีคำถามที่อับจนหนทางดังออกมาจากเครื่องบันทึกเสียง

‘เป็นเพราะพวกเราเป็นโรค พวกเขาก็เลยจะฆ่าเรางั้นเหรอ’

บางฉากเป็นดวงตามากมายที่ผจญกับความทุกข์ยากแสนสาหัส ทว่ายังคงมีประกายแห่งความหวัง บางฉากเป็นศพที่บรรจุอยู่ในกระสอบ ดวงตาเบิกโพลงมองท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัวสิ้นหวังราวกับกำลังร้องถามสวรรค์

ฉากต่างๆ เหล่านี้รายล้อมรอบตัว คำถามต่างๆ อื้ออึงดังก้องไปทั่ว ซางเจี้ยนเย่ามองดูใบหน้าหวาดกลัวของดิมาร์โก้ที่กำลังงุนงงสับสน มุมปากเขายกขึ้น เผยให้เห็นฟันขาวสองแถว

“เพราะว่าฉันเป็นมนุษย์ไงล่ะ!”

เขายิ้มพลางเหยียดมือขวาไปทางดิมาร์โก้ คลื่นยักษ์รอบเกาะที่ถูกแช่แข็งไว้และภาพฉากต่างๆ เมื่อครู่ก็พลันกระหน่ำลงมา ถาโถมกลืนกินร่างที่สวมชุดนักบวชสีดำของโลกเก่า สวมหมวกนุ่มแบบโบราณสีเดียวกัน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท