รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 309 เบื้องหลังความบังเอิญ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 309 เบื้องหลังความบังเอิญ

ตอนที่ 309 เบื้องหลังความบังเอิญ

เมื่อเผชิญฉากมากมายและคลื่นยักษ์ภาพซางเจี้ยนเย่าจำนวนมหาศาล ร่างดิมาร์โก้ก็กลายเป็นความว่างเปล่าโดยพลัน ราวกับเขาคิดจะแบ่งตัวแยกเงาพันร่างเพื่อกระจายกันหลบหนี

แต่แล้วในตอนนี้เอง ซางเจี้ยนเย่าทั้งแปดที่ถูกยึดแปรสภาพอยู่ในร่างเขาก็ได้ทำอะไรบางอย่าง

พวกเขาบางคนปูดออกมาที่ต้นขาดิมาร์โก้ ยืดร่างตัวเองให้ยาวออกมาเพื่อพันธนาการสองขาของศัตรู บ้างก็กางแขนสองข้างโผล่ออกมาจากหน้าผากแล้วอุดปากดิมาร์โก้ไว้ บ้างก็โผล่ทะลุออกมาจากหน้าอก พันตัวดิมาร์โก้เอาไว้อย่างเหนียวแน่น บ้างบางก็โผล่ผลุบออกมาจากหัว ถือลำโพงตัวเล็กไว้ในมือ เปิดเพลงงานศพของโลกเก่า…

ด้วยเหตุนี้ร่างดิมาร์โก้จึงถูกซางเจี้ยนเย่าทั้งแปดที่ยืดออกมาจากร่างเขาพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา

นี่จึงทำให้ดิมาร์โก้ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ไม่อาจตะโกน ไม่อาจเปล่งเสียง ทำได้เพียงมองด้วยดวงตาสิ้นหวัง ค่อยๆ จมลงไปในคลื่นยักษ์

ห้องที่เป็นของเขาภายใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ ใบหน้ามนุษย์ที่ฝังบนผนังสีดำมืดค่อยๆ หลุดร่วงออกมาทีละหน้าทีละหน้าๆ สภาพแวดล้อมแตกเป็นเสี่ยงๆ พังทลายไปอย่างรวดเร็ว

* * * * *

ภายในห้องดิมาร์โก้ที่พังยับเยินในเขต

ของใต้ดินชั้นหกในนาวา

มือซ้ายเจี่ยงไป๋เหมียนค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ไม่ได้กดลงไปบนซางเจี้ยนเย่า

เธอเกิดลังเลขึ้นมา จึงคิดจะใช้เวลาสักนิดเพื่อสำรวจตรวจสอบสักหน่อย และยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงื่อนไขอะไรเพื่อยุติการรอคอย แต่แล้วในตอนนั้นลูกแก้วธรรมดาที่อยู่ในมือซางเจี้ยนเย่าก็พลันมีแสงสีฟ้าเขียวสว่างออกมา

และเพียงพริบตาเดียว ลูกแก้วนั้นก็กลายเป็นมุกราตรีที่มีแสงสีฟ้าเขียวเรืองรอง

เจี่ยงไป๋เหมียนใจเต้น มองเข้าไปในดวงตาของซางเจี้ยนเย่า

ภายใต้หน้ากากลิงเจ้าเล่ห์นั่น ดวงตาดำมืดของซางเจี้ยนเย่ากลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

เขาก้มศีรษะลง มองดูมุกราตรีสีฟ้าเขียวในอุ้งมือ อยู่ในห้วงความคิด

“นาย… คิดอะไรอยู่น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเอ่ยถามอย่างเตรียมพร้อมไว้ทุกขณะ

ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความจริง

“ผมกำลังคิดว่า… ตัวผมเองจะเป็นสีอะไร”

ตอบแบบนี้ยังเป็นซางเจี้ยนเย่าอยู่สินะ… ดิมาร์โก้ไม่มีทางเลียนแบบได้แน่… เจี่ยงไป๋เหมียนลอบถอนใจโล่งอกแล้วถามอย่างครุ่นคิด

“ตอนที่ดิมาร์โก้… เอ่อ… สิงร่างนายน่ะ นายตอบโต้กลับไปงั้นเหรอ นั่นน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดสินะ…

“ที่นายทำก็คือแยกเป็นเก้าร่างใช่ไหม”

ในเวลาสั้นๆ เจี่ยงไป๋เหมียนนึกหาคำที่ใช้อธิบายการกระทำเช่นนั้นของดิมาร์โก้ไม่ถูก จึงได้แต่ดึงเอาสารอาหารที่ดูดซับมาจากสื่อบันเทิงโลกเก่าออกมาใช้

ซางเจี้ยนเย่าใช้สายตาและน้ำเสียงแสดง ‘ความตกใจ’ ของตัวเองออกมา

“คุณเองก็สามารถบุกรุกเข้าไปในจิตวิญญาณของคนอื่นได้ด้วยเหรอ”

มาแบบนี้ เป็นซางเจี้ยนเย่าแน่นอน ไม่ต้องสงสัยล่ะ… เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาจากจิตใต้สำนึก

“ในตอนนี้ที่หลอมรวมกับลูกแก้วก็คือเศษออร่าของดิมาร์โก้งั้นเหรอ”

เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะยืนยัน เธอก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น

“จัดการตามแผนต่อไป ฉันจะไปดูหน่อยว่าเสี่ยวไป๋เป็นไงบ้าง”

ในขณะเดียวกัน หลงเยว่หงกลับเข้ามาในห้องแล้ว เขากับเกอนาวารีบช่วยกันเอาเศษคอนกรีตออกจากร่างไป๋เฉิน

“เป็นไงบ้าง” เขาถามด้วยความเป็นห่วง

“น่าจะยัง… โอ้ย… ไม่ตายนะ…” ไป๋เฉินขยับร่างกายเล็กน้อย ขมวดคิ้วตอบ “หลักๆ ก็ซีกขวานี่ บ่ากับแขนเหมือนจะหัก”

เกอนาวาได้ยินก็ปรับเปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ของโมดูลตรวจจับเล็กน้อยแล้วตรวจสอบสภาพไป๋เฉิน

ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็รีบเข้ามา ปลดเป้ยุทธวิธีลงแล้วฉีด FE

A ให้ไป๋เฉินไปหนึ่งเข็ม

นี่เพื่อเป็นการป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

“ทนหน่อยนะ ฉันจะปฐมพยาบาลให้ก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดไปพร้อมกับลงมือไปด้วย

ไป๋เฉินเองก็เป็นคนที่เคยบาดเจ็บมาอย่างโชกโชน เธอเม้มปากผงกศีรษะ

ผ่านไปครู่หนึ่งเกอนาวาก็ยืดตัวขึ้น

“การประเมินเบื้องต้น ไม่มีเลือดตกใน”

เฮ่อเฮ้อ… เจี่ยงไป๋เหมียนกับหลงเยว่หงถอนใจโล่งอกพร้อมกัน ไป๋เฉินหลับตาลง

ในตอนนี้ก็มีเสียงฝีเท้าจากรอบทิศเข้ามาใกล้ห้องดิมาร์โก้ มีทั้งเร่งรีบ ทั้งช้า ทั้งหนัก ทั้งเบา

ในที่สุดกำลังพลของยามนาวาก็ตอบสนอง เริ่มเข้ามาช่วยเหลือดิมาร์โก้

ซางเจี้ยนเย่าสวมหน้ากากพื้นดำลายขาวกลับคืนไว้บนหน้าดิมาร์โก้ จากนั้นก็หยิบโทรโข่งสีฟ้าขาวและกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีเนื้อหาเขียนไว้เต็มออกมาจากเป้ยุทธวิธี

เสียงที่ออกแรงเต็มเปี่ยมของเขาดังก้องไปทั่วทั้งชั้น

“ดิมาร์โก้ตายแล้ว! ดิมาร์โก้ตายแล้ว!”

เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาพากันหยุดแทบจะในเวลาเดียวกัน

“เป้าหมายของพวกเรามีเพียงแค่ดิมาร์โก้เท่านั้น คนอื่นๆ ไม่ต้องกลัว ถึงแม้คุณจะเป็นญาติดิมาร์โก้ก็ไม่เป็นไร

“หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ทางนิกายตื่นตัวหวังว่าสาวกผู้ศรัทธาเทพี ‘ธชียมโลก’ จะไม่ต้องหวาดกลัวอีกแล้ว ไม่ต้องเจอกับความโหดเหี้ยมของดิมาร์โก้อีกต่อไป

“เราจะให้พวกคุณทุกคนเข้าออกนาวาได้อย่างอิสระ ให้ทุกคนได้แบ่งปันพื้นที่เพาะปลูกรอบชุมชนศิลาแดงที่ตอนนี้รกร้างว่างเปล่าอยู่ ให้ทุกคนได้รับอาหารเพียงพอจนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวครั้งต่อไป

“พวกคุณมีอิสระที่จะเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง อยากจะออกจากนาวาก็ออกได้ อยากจะอยู่ต่อก็อยู่ไป อยากจะปลูกพืชก็ปลูก อยากจะทำงานบริการเหมือนเดิมก็ทำ

“พ่อบ้านที่เคยดูแลรับผิดชอบธุรกิจและผู้คุมก็ไม่ต้องกลัว พวกคุณยังทำงานของตัวเองต่อไป รักษาช่องทางธุรกิจต่อไป ขอเพียงแค่นำผลกำไรที่แต่เดิมต้องส่งให้ดิมาร์โก้เปลี่ยนมาเป็นแบ่งปันให้กับทุกๆ คนแทน คำว่าทุกคนก็หมายถึงพวกคุณด้วย

“หัวหน้ายามของยามทุกหน่วยก็ไม่ต้องกลัว พวกคุณยังคงเป็นกำลังหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อยของนาวา จะต้องทำตัวเป็นอาวุธที่คอยปกป้องความปลอดภัยของทุกคน รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม

“พวกเราจะจัดตั้งคณะกรรมการบริหารนาวา สมาชิกหลักๆ จะมาจากพวกคุณ ส่วนผู้ที่คอยควบคุมก็คือมุขนายกของโบสถ์

“เอาล่ะ ตอนนี้ทั้งหมดเข้ามาในห้องดิมาร์โก้ได้ พวกเราจะได้หารือกันเรื่องรายชื่อสมาชิกกรรมการบริหารนาวากับแผนกระจายรายได้ต่อจากนี้

“หากใครอยากฉวยโอกาสนี้ขนเอาวัตถุปัจจัยแอบออกไปด้วยทางออกอื่น ก็พึงสังวรณ์ไว้ด้วยว่านับจากนี้เป็นต้นไปก็จะไม่มีที่พึ่งพิงอีก จะต้องออกไปเร่ร่อนในแดนร้างตามลำพัง ส่วนใครที่เข้ามาหาพวกเราก่อนและแสดงความจริงใจออกมาก่อนใครเพื่อนก็ย่อมจะได้รับสิทธิพิเศษอย่างเพียงพอ

“อวี๋เทียน โปเต้ พวกคุณก็คือหนึ่งในนั้นด้วย…”

ซางเจี้ยนเย่าใช้โทรโข่งเป็นอันดับแรกเพื่อประกาศให้บรรดายาม ผู้รับใช้ เหล่าภรรยาอนุภรรยาและลูกๆ ได้ยินอย่างชัดเจน จากนั้นก็ใช้ระบบการออกอากาศของนาวาเพื่อกระจายเสียงให้ดังไปทั่วทุกซอกทุกมุม ให้ดังไปถึงหูของพวกคนที่ออกเวรไปแล้วด้วย

* * * * *

ใต้ดินชั้นสอง ยามสี่คนที่ถูกพวกซางเจี้ยนเย่าทำให้หมดสติต่างก็ฟื้นขึ้นมาและได้ยินการออกอากาศแล้ว

อวี๋เทียนกับโปเต้ไม่ได้แสร้งทำเป็นสลบอีก พากันลุกขึ้นพร้อมๆ กัน ปลดปล่อยเพื่อร่วมงานด้วยความยินดีปรีดา

พวกยามมองดูพวกเขาด้วยความแปลกใจ ขุ่นเคืองอยู่บ้าง และเจือความอิจฉา

แต่พออวี๋เทียนโปเต้หันกลับไปมอง พวกเขาก็รีบคลี่ยิ้มออกมาทันที

“เร็วเข้า พวกเรารีบไปกันเถอะ อย่ามัวชักช้า” อวี๋เทียนเร่ง ขณะเดียวกันก็ให้สัญญาไปด้วย “ไม่ต้องห่วง ฉันมีกินพวกนายทุกคนก็ต้องมีส่วนด้วยเหมือนกัน!”

โปเต้พูดสนับสนุน

“พวกเราเป็นพี่น้องกัน มีทุกข์ร่วมต้าน มีสุขก็ต้องร่วมเสพ!”

ยามทั้งสี่นั้นพลัน ‘เลือดลมระอุ’ ขึ้นมา ตบหน้าอกอย่างหนักแน่นเพื่อบ่งบอกว่าจะติดตามคนทั้งสอง

* * * * *

ในห้องคนรับใช้ที่ยังอยู่ในระหว่างช่วงการฝึกฝน ณ ใต้ดินชั้นหนึ่ง

เก๋อเก่อหลินเก๋อเก่อเหมียวพี่น้องสองสาวที่ตื่นขึ้นเพราะเสียงอึกทึกจากด้านนอก พวกเธอได้ยินเสียงฝีเท้าของยามลาดตระเวนกับพวกผู้คุมที่รีบวิ่งไปยังลิฟต์

ในเวลานี้ซางเจี้ยนเย่าใช้ภาษาแดนธุลีพูดขึ้นอีกครั้งผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างโดยคนในนี้

“ดิมาร์โก้ตายแล้ว!

“…

“พวกคุณทุกคนสามารถเข้าออกนาวาได้อย่างอิสระ จะได้รับการแบ่งสรรพื้นที่เพาะปลูกรกร้างที่อยู่รอบชุมชนศิลาแดง จะได้รับอาหารเพียงพอจนกว่าจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวครั้งต่อไป…”

เก๋อเก่อหลินงุนงงในตอนแรก จากนั้นก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

มิสเตอร์ดิมาร์โก้ที่ขี้โมโหชอบฆ่าคนรับใช้ ตอนนี้ตายแล้ว!

การปกครองของเขาถูกล้มล้าง ตอนนี้ ‘นาวาบาดาล’ มีเจ้าของคนใหม่แล้ว

เจ้าของใหม่ให้สัญญาว่าทุกๆ คนจะมีพื้นที่เพาะปลูก ทุกๆ คนจะมีอาหารกิน ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกฆ่าตายอย่างไร้เหตุผลอีก ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวันทุกคืนอีก

พวกเรา… พวกเรารอดแล้ว พวกเรา… พวกเรามีอนาคตแล้ว… ทัศนวิสัยของเก๋อเก่อหลินพลันพร่ามัวขึ้นมาทันที

วินาทีถัดมาเธอรีบคว้าแขนเก๋อเก่อเหมียวน้องสาว

“เร็วเข้า รีบไปกันเถอะ!”

คนเหล่านี้ที่เดิมทีเคยเป็นทาส ต่างก็รีบรี่ออกจากห้องของตนทันที

* * * * *

เมื่อ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จัดการกับอาการบาดเจ็บของไป๋เฉินเสร็จ คนของ ‘นาวาบาดาล’ มากันพร้อมพรั่ง

ในขณะนี้ภายในห้องที่พังยับเยินมีผู้คนมากมายรวมตัวกันเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นยามของชั้นนี้ และพวกลูกเมียของดิมาร์โก้

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูทุกคนรอบๆ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดก็พลันหันขวับไปมองทางนอกประตู ที่ตำแหน่งของช่องระบายอากาศบนเพดาน

จากนั้นที่นั่นก็มีร่างหนึ่งกระโดดลงมา

ร่างนั้นเป็นเด็กวัยรุ่นสูงราว 160 เซนติเมตร ผมสีบลอนด์อ่อน ดวงตาสีเขียวมรกต ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากวีลที่หายตัวไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง

เขาเหลือบมองร่างดิมาร์โก้ภายในห้องแล้วพูดพึมพำ

“พวกคุณลงมือได้เร็วมากจนผมตามมาไม่ทัน

“บ้าชะมัด! นี่ถ้าเอา ‘คนขี้ขลาด’ มาจับคู่กับ ‘กลัวสุดขีด’ ล่ะก็ ต่อให้ดิมาร์โก้เป็นผี ก็ทำให้เขาตายได้โดยตรงเลย”

“หือ เธอว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินเขาไม่ชัดจริงๆ

ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงยืนอยู่ข้างเธอแสดงน้ำใจช่วยเหลือ พูดทวนซ้ำด้วยน้ำเสียงตามต้นฉบับอย่างไม่ผิดเพี้ยน

เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินก็เลิกคิ้วมองไปที่วีล

“เธอรู้ด้วยเหรอว่าพวกเรามีมุกราตรี เธอเข้ามาใน ‘นาวาบาดาล’ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วเหรอ”

วีลเผยรอยยิ้มไร้พิษภัย

“พวกคุณคงไม่คิดว่าการหายตัวของผมเป็นเรื่องบังเอิญหรอกนะ

“ผมนี่แหละผู้นำสาร… ผู้นำสารที่แท้จริง มนุษย์มัจฉาตัวนั้นน่ะนับเป็นอะไรได้ ผมต่างหากที่จะเป็นผู้นำสารแห่งเทพที่แท้จริงในอนาคต!”

พูดมาถึงตรงนี้เขาก็มีสีหน้าเคร่งขรึม

“ทุกๆ คน เบื้องหลังของความบังเอิญน่ะ บ่อยครั้งแล้วเป็นเพราะกระแสแห่งโชคชะตา”

พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าไป๋เฉินต่างสบสายตากัน สีหน้าอดแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดไม่ได้

เธอถามหยั่งเชิง

“ผู้ครองกาลมีอะไรจะบอกพวกเราหรือเปล่า”

วีลยิ้ม:

“ต้องเรียกว่า ‘วิวรณ์’ ต่างหาก!

“องค์เทพีไม่มอบวิวรณ์ให้คนธรรมดาหรอก ขนาดผมเองก็ยังได้ยินวิวรณ์แค่บางครั้งเท่านั้น เป็นเสียงที่มาจากโลกอื่น”

เมื่อพูดถึงวิวรณ์ของผู้ครองกาล สีหน้าของวีลก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“พระองค์ตรัสว่า คำตอบของคำถามทั้งหมดนั้นอยู่ที่โลกใหม่”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท