รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 312 กินเลี้ยง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 312 กินเลี้ยง

ตอนที่ 312 กินเลี้ยง

เจี่ยงไป๋เหมียนยกข้ออ้างที่ร่างไว้ล่วงหน้าขึ้นมา โดยเริ่มจากเมืองน้ำล้อม หยิบยกจุดสำคัญตลอดการเดินทางจนกระทั่งกลับมาถึงชุมชนศิลาแดง

ในเนื้อหานั้น เธอปกปิด ‘การจัดตั้ง’ ภาคีภราดรภาพแห่งซางเจี้ยนเย่าสาขาเมืองหญ้าไพร และ ‘การลักพาตัว’ หุ่นสมองกลเกอนาวาเอาไว้ ขณะเดียวกันก็อธิบายเรื่องดิมาร์โก้ไว้ว่านิกายตื่นตัวนั้นเป็นกำลังหลัก ส่วน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้เข้าร่วมในฐานะทหารรับจ้างอันเนื่องมาจากค่าตอบแทนผสมกับการผดุงความยุติธรรมอีกเล็กน้อย ซึ่งพิจารณาแล้วว่าเป็นเพราะระดับความเป็นอันตรายไม่สูงมาก แม้ฟ้าถล่มดินทลายก็ยังมีคนระดับสูงเป็นคนรับหน้าให้

ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้มีปัญหาจริงๆ นั่นแหละ ก็อย่างที่วีลพูดไว้ว่าเบื้องหลังของความบังเอิญก็คือกระแสแห่งโชคชะตา

เซ็นนียกถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีฟ้าสดใสขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มพลางถอนใจด้วยอารมณ์

“เทียบกันคนอื่นๆ ที่ออกไปปฏิบัติภารกิจมาสิบครั้งยี่สิบครั้ง พวกคุณออกไปรอบนี้รอบเดียว เรื่องที่เจอมายังเยอะกว่าและอันตรายมากกว่าด้วย ใครได้ฟังแล้วก็คงไม่อยากเชื่อ

“ครั้งก่อนก็เหมือนกัน แค่ไปส่งชิปกรองน้ำก็เกิดเรื่องเป็นพะเรอเกวียนมากมายนัก”

ตอนที่เธอเพิ่งจะพูดไปได้เพียงครึ่งประโยค ซางเจี้ยนเย่าก็ส่งสายตาไปมองหลงเยว่หง เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ทำเช่นนั้น ไป๋เฉินสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่า ‘ผู้อับโชค’ นั้นไม่ใช่ ‘ทีมสำรวจเก่า’

เป็นเพราะอยู่ต่อหน้ารัฐมนตรีช่วยว่าการ หลงเยว่หงจึงไม่อาจพูดโต้แย้ง ทำได้เพียงแค่นั่งตัวตรงแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกถึงสายตาจ้องมองของซางเจี้ยนเย่า

“มีอะไรเหรอ” หลังจากเซ็นนีพูดจบ ก็ถามเกี่ยวกับความผิดปกติเบื้องหน้าในขณะนี้

เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มพูดอธิบาย

“เป็นเพราะพวกเราเองก็รู้สึกว่าตัวเองเจอเรื่องอันตรายมากไปหน่อย ก็เลยสงสัยว่าเป็นเพราะสมาชิกในทีมคนไหนช่วงนี้ดวงตกน่ะค่ะ แต่ก็แค่เดาสุ่มสี่สุ่มห้าพูดมาพูดไปแค่นั้นแหละ เลยติดนิสัยใช้เรื่องนี้มาปลอบใจตัวเอง”

เซ็นนีหัวเราะออกมา

“แค่พูดเล่นก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าไปเชื่อจริงจังละกัน โชคลางไสยศาสตร์เป็นแค่เรื่องงมงาย”

ก่อนหน้านี้ก็เคยเชื่อวิทยาศาสตร์อยู่เหมือนกันแหละ… ณ วินาทีนี้ หลงเยว่หงราวกับรู้สึกว่าได้ยินเสียงจากใจของเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และไป๋เฉินดังขึ้นมา

เซ็นนีจิบน้ำชาอีกหนึ่งอึกก่อนจะถามต่อ

“ระหว่างที่จัดการเรื่อง ‘นาวาบาดาล’ พวกคุณได้เฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างนิกายตื่นตัวกับดิมาร์โก้อย่างใกล้ชิดหรือเปล่า”

“เปล่าค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนส่ายหน้าทันทีโดยไม่ลังเล

“ไม่ครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยความจริงใจสุดๆ

ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงเองก็พร้อมใจกันใช้ภาษากายให้คำตอบที่คล้ายคลึงกัน

นี่ไม่ใช่การโกหกอย่างแน่นอน

เพราะนิกายตื่นตัวไม่ได้ต่อสู้กับดิมาร์โก้แม้แต่นิดเดียว พวกเขาจึงย่อมไม่มีทางได้รับชมจากข้างสนามเด็ดขาด

เซ็นนีผงกศีรษะเบาๆ

“น่าเสียดายจริงๆ ไม่งั้นพวกคุณคงได้รับข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเรื่องผู้ตื่นรู้กับเรื่อง ‘ทางเดินแห่งจิต’ มาไม่น้อย”

จากนั้นเธอก็ละทิ้งรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า พูดขึ้นอย่างจริงจัง

“หลังจากนี้พวกคุณต้องเดินทางไปปฐมนคร ที่นั่นเต็มไปด้วยพยัคฆ์ซ่อนมังกรซุ่ม ไม่รู้ว่าจะมีผู้ตื่นรู้ระดับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ มากมายขนาดไหน

“เมื่อเทียบกับการมีพลังยิงเกรี้ยวกราดดุดัน กำลังพลจำนวนมาก อุปกรณ์ล้ำสมัยสารพัดชนิด คนพวกนี้ยังอันตรายและน่ากลัวกว่ามาก นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถใช้ร่างกายต้านทานจรวดบาซูก้าได้หรอกนะ แต่ว่าภายในเมืองที่มีผู้คนคับคั่งแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังพิเศษหรือระยะขอบเขตของพวกเขา นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมไว้ก่อน ตายโดยไม่รู้ตัวได้ง่ายๆ

“ดีที่พวกคุณมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นมาแล้ว ไม่ถึงกับไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรเลย”

เจี่ยงไป๋เหมียนถือโอกาสพูดขึ้น

“ท่านรัฐมนตรีคะ ฉันเองก็ว่าจะพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

“ไม่ทราบว่าพวกเราจะขอข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับแต่ละขอบเขตพลังของผู้ตื่นรู้ที่ทางบริษัทรวบรวมไว้ได้หรือเปล่า ถ้าจะให้ดีก็ขอเป็นพลังพิเศษและเขตพลังของผู้ครองกาลแต่ละองค์ รวมไปถึงการสละด้วย ด้วยวิธีนี้เวลาพวกเราเจอกับพวกสาวกที่ศรัทธาผู้ครองกาลคนละองค์กันจะได้เตรียมรับมือได้ถูกและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ถ้าขืนรอให้เจอแล้วค่อยส่งโทรเลขถามบริษัทก็คงไม่ไหว ไม่ใช่ว่าทุกครั้งจะอยู่รอดปลอดภัยจนกลับมาถึงที่พักแล้วนำเครื่องรับออกมาส่งโทรเลขได้น่ะค่ะ”

เซ็นนีฟังเงียบๆ จนจบแล้วผงกศีรษะเล็กน้อย

“ที่คุณกังวลเรื่องนี้ก็มีเหตุผล ฉันจะพยายามช่วยยื่นคำร้องให้

“ที่จริงพวกคุณก็สืบสวนมาจนถึงระดับนี้แล้ว โดยตัวเองแล้วก็นับว่ามีคุณสมบัติในการเข้าถึงข้อมูลที่มากกว่าเดิมแล้วล่ะ”

พูดมาถึงตรงนี้เธอก็หัวเราะออกมา

“ถึงแม้พวกคุณจะเจอเรื่องมาเยอะ แต่ก็ได้รับมาไม่น้อยหรอกนะ แค่การได้รู้ถึงสถาบันวิจัยทั้งเก้าแห่ง รู้ถึงตัวตนดั้งเดิมของพลเมืองคนแรกของ ‘ปฐมนคร’ นั่นก็มีส่วนร่วมอย่างมหาศาลแล้ว

“ไว้รอให้ตรวจสอบเสร็จ ระดับพนักงานของพวกคุณจะได้เลื่อนขั้นอีกครั้งอย่างแน่นอน ขอบเขตอำนาจก็เพิ่มขึ้นด้วย

“แต่ก็นะ อย่าหลับหูหลับตาเชื่อข้อมูลจากบริษัทมากเกินไปก็แล้วกัน มันไม่ได้ถูกต้องสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เซนต์ อาจจะมีข้อผิดพลาดอยู่ นอกจากนี้สาวกที่ศรัทธาผู้ครองกาลองค์ไหนก็ไม่แน่ว่าจะต้องตื่นรู้แล้วได้พลังพิเศษที่เกี่ยวข้องด้วย เพียงแค่บอกไว้ว่าในเขตพลังที่เกี่ยวข้องนั้นจะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น แต่ก็มีกรณียกเว้นอีกมากมาย จึงไม่สามารถใช้มาตรฐานเดียวมาฟันธงได้ทั้งหมด”

ถ้าประเมินพลังพิเศษของศัตรูผิดพลาดก็อาจถึงตายได้

ในจุดนี้พวกเจี่ยงไป๋เหมียนเองได้เคยประสบมาแล้ว

ครั้งหนึ่งซางเจี้ยนเย่าเคยถูกผู้ตื่นรู้บางคนของคณะ ‘พิธีกรรมชีวิต’ ลบความทรงจำบางส่วน นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นพลังพิเศษในเขตพลังของ ‘ปัจฉิมมรรตัย’ ทว่าอีกฝ่ายนั้นศรัทธาใน ‘ตุลากรชะตา’

ในตอนนี้เมื่อเห็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกำลังจะเอ่ยถามคำถามใหม่ หลงเยว่หงจึงรวบรวมความกล้ารีบถามออกไป

“ท่านรัฐมนตรีครับ ผมมีคำถามข้อหนึ่ง

“พวกเราทุกคน เอ่อ… ส่วนใหญ่น่ะ ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมา จะไม่กลายเป็นว่าพอไปถึงปฐมนครแล้วจะค่อนข้างสะดุดตาเหรอ เหมือนแปะป้ายว่าพวกเรามาจาก ‘ผานกู่ชีภาพ’ เลยน่ะครับ”

อีกทั้งบริษัทเองก็มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนักในแดนธุลี ‘ปฐมนคร’ เป็นกองกำลังใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด จึงย่อมต้องมีการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างทั้งสองฝ่าย

เซ็นนีมองหลงเยว่หง พูดอย่างยิ้มแย้ม

“ไม่ต้องกังวลหรอก ไว้พอไปถึงปฐมนครเมื่อไหร่ก็จะเห็นเองแหละว่าพวกคนหน้าตาดีรูปร่างสูงเด่นน่ะ แม้จะไม่ถึงขั้นว่าเจอะเจอได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ก็ไม่ได้หายากขนาดนั้น”

เธอหยุดไปอึดใจแล้วอธิบายด้วยรอยยิ้ม

“ในแต่ละปีที่บริษัทส่งออกน้ำยาปรับปรุงพันธุกรรมไปตั้งมากมายเพื่อแลกเปลี่ยนกับวัตถุปัจจัยน่ะ พวกคุณคิดว่าเอาไปขายให้ใครล่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง…” หลงเยว่หงแสร้งทำเป็นเข้าใจแล้วว่าที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง

ระหว่างทางตอนที่ไม่มีอะไรทำ เขาก็อ่านหนังสือ ‘คู่มือการฝึกเป็นนักแสดงด้วยตัวเอง’ ที่ซางเจี้ยนเย่าแลกมาจนจบไปแล้ว

เซ็นนีเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง หลังจากใคร่ครวญแล้วก็เอ่ยขึ้น

“งั้นวันนี้ก็เท่านี้ละกัน พวกคุณหยุดพักผ่อนกันสักระยะ เอาไว้ตัดสินใจได้ว่าจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่ก็ส่งรายงานมาก็แล้วกัน”

สีหน้าเธอกลายมาเป็นจริงจังอีกครั้ง

“ฉันต้องขอเตือนพวกคุณทุกคนไว้ก่อนนะ การสืบหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าน่ะ เป็นเรื่องที่อันตรายมาก นอกจากพวกเราแล้วก็ยังมีพวกกองกำลังใหญ่อีกหลายแห่งที่พยายามทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่ทีมที่ถูกส่งออกไปนั้นถ้าไม่ตายก็หายสาบสูญ หรือไม่ก็กลายเป็นคนวิกลจริตเสียสติไป แทบไม่มีใครรอดมาได้เลย

“นอกจากนี้ที่ ‘ปฐมนคร’ ก็มีผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย ไปครั้งนี้พวกคุณต้องระวังตัวไว้ให้มาก และคอยติดต่อกับบริษัทตลอดเวลา”

“ทราบแล้ว ท่านรัฐมนตรี!” ซางเจี้ยนเย่าตอบรับอย่างกระฉับกระเฉงเต็มพิกัด

“…” เซ็นนีอึ้งไปชั่วขณะ “ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้ ฉันแค่เตือนไปสองสามประโยคเท่านั้นเอง เอาล่ะ… พวกคุณกลับไปได้แล้ว”

ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนลุกขึ้นเธอก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ท่านรัฐมนตรีคะ ก่อนหน้านี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้เมื่อครู่นี้ตอนที่พวกเรามาถึงทางเข้าออกก็ต้องส่งมอบข้าวของที่เก็บเกี่ยวมาได้ทันที

“ฉันได้ฟังสถานการณ์โดยทั่วไปจากกัปตันหลิวมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วคนคนนั้นเขาซ่อนอะไรไว้กันแน่”

เซ็นนีถอนใจเบาๆ

“เป็นเครื่องบันทึกเสียงน่ะ ข้างในมีข้อมูลการเผยแผ่คำสอนของนิกายลับอยู่”

“นิกายอะไรเหรอครับ” ซางเจี้ยนเย่าคึกคักขึ้นมาทันที

“นิกายธรรมชาติ” เซ็นนีตอบสั้นๆ “สำหรับเรื่องนี้ ในตอนนี้พวกเรายังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติม”

นิกายธรรมชาติ… เจี่ยงไป๋เหมียนจดชื่อนี้เอาไว้ในใจ

ไป๋เฉินที่กระดูกหักยังไม่หายดี เธอเม้มปากแล้วถือโอกาสนี้ถามขึ้น

“ท่านรัฐมนตรีคะ ถ้าได้รับรางวัลมา ฉันจะทำการดัดแปลงพันธุกรรมหรือปลูกถ่ายแขนเทียมชีวภาพได้หรือเปล่า”

ที่จริงหลังจากได้รับชุดเกราะเสริมแรงชุดใหม่มา เธอก็ไม่ได้รู้สึกรีบร้อนในเรื่องนี้เท่าไรแล้ว

เซ็นนีมองไป๋เฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง

“ถ้าเธอยังต้องการอยู่ก็ได้แหละ

“อ้อ เงื่อนไขขั้นต้นคือคุณต้องเข้าใจความเสี่ยงในเรื่องนี้เสียก่อน”

ไป๋เฉินผงกศีรษะ ไม่ได้พูดอะไรอีก

ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ อำลารัฐมนตรีช่วยว่าการ จากนั้นกลับไปที่ห้อง 14 ชั้น 647

ในตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาห้าโมงครึ่ง กว่าโรงอาหารจะเปิดนั้นยังต้องรออีกพักหนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนทิ้งตัวใส่เก้าอี้พนักสูงที่โต๊ะของตนเอง เหยียดตัวแล้วพูดด้วยความรู้สึกเจืออารมณ์

“บ้านตัวเองนี่แหละ สบายที่สุดแล้ว…”

เธอยังพูดไม่ทันขาดคำก็เห็นซางเจี้ยนเย่าเดินไปที่โซฟายาวแล้วก็นอนยึดที่

“เฮ้ สำรวมหน่อยสิ!” เจี่ยงไป๋เหมียนพบว่าตนเองยังปล่อยใจไม่มากพอ

“บ้านตัวเองนี่แหละ สบายที่สุดแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าพูดซ้ำคำที่เธอเพิ่งจะพูดไป

หลงเยว่หงนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวด้านข้าง ไป๋เฉินกลับไปนั่งที่ประจำของตนเอง

“เดี๋ยวฉันจะจัดกินเลี้ยงให้พวกนาย!” เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านเกินกว่าจะขยับตัวอีกจึงตัดสินใจปล่อยซางเจี้ยนเย่าไว้อย่างนั้น

บันฑิตย่อมไม่ใส่ใจคนพาล!

และแล้วพวกเขาทั้งสี่ก็อยู่ประจำที่ไปแบบนั้น ทั้งกายใจปล่อยตัวผ่อนคลายกันอย่างสุดขั้ว

เสียงพูดคุยภายในห้องค่อยๆ เงียบหายไป

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ลืมตาขึ้นมา

เธอตื่นเพราะการประท้วงของกระเพาะอาหาร

“ไหงถึงหลับไปได้ล่ะ… ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำเบาๆ ไปพลาง พลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาไปพลาง

หน้าปัดบ่งบอกว่าในขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มห้านาที

นี่หมายความว่าโรงอาหารปิดไปหมดแล้ว!

เจี่ยงไป๋เหมียนอ้าปากค้าง พรวดพราดขึ้นมายืนแล้วตบโต๊ะสองครั้งรัวๆ

“ตื่นได้แล้ว ตื่น ตื่น!”

หลงเยว่หงกับไป๋เฉินตื่นมาอย่างงัวเงีย

“โรงอาหารเปิดแล้วเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าเพิ่งตื่นขึ้นมาแต่ก็เข้าสู่สภาวะจิตแจ่มใสทันที

“ปิดไปหมดแล้ว!” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิด “ทำไมถึงได้นอนกันจนป่านนี้นะ”

หลักๆ แล้วเธอโมโหตัวเองนั่นแหละ

ไป๋เฉินมองนาฬิกาข้อมือแล้วพูดอย่างใจเย็น

“สาเหตุหลักๆ ก็เป็นเพราะสภาพจิตรู้สึกผ่อนคลายน่ะ”

ตอนอยู่นอกบริษัท พวกเขาต้องมีคนเฝ้าเวร ตอนนอนก็หลับได้ไม่สนิท จิตใจตึงเครียดอยู่ตลอดเวลาเหมือนสายธนูที่รั้งเอาไว้

ถ้าเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่พอผ่านไปหลายเดือนเข้า แม้จะเป็น ‘ผู้ถูกเลือก’ ก็ยังสะสมความอ่อนล้าไว้ไม่น้อย

“ก็จริงแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนคิดๆ แล้วเผยรอยยิ้มออกมา “พวกนายรอแป๊บนะ ฉันจะไปหาของกินมาให้”

“ให้ช่วยไหม” ซางเจี้ยนเย่าขันอาสาด้วยดวงตาเป็นประกาย

เจี่ยงไป๋เหมียนถ่มน้ำลาย

“คิดอะไรของนายน่ะห้ะ ฉันแค่จะกลับบ้านไปดูว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้างเท่านั้นแหละ”

ผ่านไปราวสิบห้านาที เจี่ยงไป๋เหมียนก็กลับมาที่ห้องหมายเลข 4 ชั้น 647 โดยถือชามบะหมี่ กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ไข่ไก่ เนื้อสัตว์หลายกระป๋อง และเตาแม่เหล็กไฟฟ้าอีกอันหนึ่งมาด้วย

เธอวางของลงก่อนจะมองดูทุกคนรอบๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มสดใส

“พวกเราจะทำอาหารกินกันเอง!”

“ได้เลย!” ซางเจี้ยนเย่าปรี่เข้ามาทันที

หลงเยว่หงกับไป๋เฉินสบตากัน ต่างก็มองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่าย

พวกเขารู้สึกว่าแบบนี้ก็น่าสนใจไม่เลว

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท