ตอนที่ 22 เชิญฝ่าซือมาแล้ว
ถูฮั่นเดินกะเผลกๆ เข้ามาหา ยื่นมือไปลูบห่อสัมภาระที่อยู่บนหลังม้า เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “อาหารแห้งที่ทางสำนักมอบให้เจ้าห้ามกิน อาจจะไม่สะอาด! อีกอย่างจงจำไว้ หลังไปจากที่นี่แล้ว ให้หาโอกาสแยกตัวจากกลุ่มของท่านหญิง ไปยังสถานที่อื่นเพียงลำพังเสีย อย่าหวนกลับมาอีก ยิ่งไปได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี ก่อนที่จะมีกำลังพอปกป้องตัวเองได้ อย่าให้คนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หาตัวเจ้าพบจะเป็นการดีที่สุด จำไว้ให้มั่น อย่าเอ่ยเรื่องสัมพันธ์สามีภรรยาของเจ้ากับเจ้าสำนักต่อผู้ใด มิเช่นนั้นจะชักภัยร้ายมาถึงตัว เข้าใจหรือไม่? เจ้าเป็นคนฉลาด คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมาก”
หนิวโหย่วเต้าฟังความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาของเขาออก จึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่ ท่านให้ข้าหนีไปคนเดียว ข้าจะไปที่ใดได้เล่า?”
ถูฮั่นพลันโกรธเกรี้ยว กระชากสาบเสื้อของเขา ใบหน้าที่เดิมทีก็ดูดุร้ายอยู่แล้วยิ่งดูดุร้ายมากกว่าเดิม แม้แต่หนวดเคราก็คล้ายจะไหวกระดิกขึ้นมา “ข้าว่านะ เจ้าเล่นลูกไม้นี้ให้น้อยๆ หน่อยเถอะ อาศัยตอนข้าเมามายล้วงข้อมูลจากปากข้าไปได้ไม่น้อยแล้ว ในคำถามเหล่านั้นมีการขอคำชี้แนะข้อสงสัยด้านการบำเพ็ญเพียรอยู่ด้วย ไม่มีแรงแม้แต่จะเชือดไก่อย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าแอบบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอดน่ะ? ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ในเมื่ออาจารย์อาตงกัวรับเจ้าเป็นศิษย์ เรื่องอื่นข้าก็ไม่อยากรู้ให้มากเกินไปนัก”
“ที่แท้ท่านแกล้งเมามาโดยตลอด!” หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา
“ถ้าไม่อยากตายก็ทำตามที่ข้าบอกซะ” ถูฮั่นแค่นเสียง เหลียวหน้าเดินจากไป
หนิวโหย่วเต้าตะโกนเรียก “หากคนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตามราวีข้าไม่เลิกรา ข้าควรปกป้องตัวเองอย่างไร?”
ฝีเท้าของถูฮั่นหยุดชะงัก หมุนตัวกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะมองไปรอบๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง เจ้าจงหาทางไปที่ยอดเขาภูตมาร ตามหาผู้ที่มีนามว่าเจ้าสยงเกอ เขาคือศิษย์น้องของอาจารย์เจ้า ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มองว่าเป็นตัวอัปยศ ถูกขับไล่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปนานแล้ว แต่ความสามารถมิธรรมดา หากเจ้าตามหาเขาพบแล้ว ด้วยยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายในตัวเจ้าย่อมสามารถยืนยันสถานะของเจ้าได้ เขาจะปกป้องเจ้าแน่ คอยอยู่ข้างกายเขา สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะไม่กล้าแตะต้องเจ้า”
“ยอดเขาภูตมาร…เจ้าสยงเกอ…” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทวนอยู่หลายครั้ง จดจำเอาไว้ จากนั้นเอ่ยด้วยความแปลกใจอีกครั้งว่า “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ประสงค์ร้ายต่อข้า ข้าไม่แปลกใจเลยสักนิด แต่ท่านให้ข้าแยกตัวจากกลุ่มท่านหญิงนี่หมายความว่ากระไร หรือว่าท่านหญิงเชิญข้าออกจากเขาเพื่อจะทำร้ายข้า?”
ถูฮั่นหัวเราะหยัน “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าท่านหญิงผู้นั้นฐานะสูงส่งทรงเกียรติ หากไปกับนางแล้วจะได้เสวยสุขกับลาภยศทรัพย์สิน?”
เรื่องนี้หนิวโหย่วเต้านึกสงสัยอยู่แต่แรกแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นผายสองมือออกพลางกล่าวว่า “หรือว่ามิใช่เล่า? หนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วเป็นถึงสมุหพระกลาโหม เป็นหนึ่งในสามมหาขุนนาง ศักดิ์อำนาจอยู่ในระดับต้นๆ ของแคว้นเยี่ยน ติดตามพวกเขาจะขาดแคลนลาภยศทรัพย์สินไปได้อย่างไร?”
ถูฮั่นหัวเราะหึหึ “เจ้าฝันหวานไปเถอะ หนิงอ๋องสิ้นชีพไปตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว น่าจะไล่เลี่ยกับช่วงเวลาที่เกิดเรื่องกับอาจารย์อาตงกัวและอดีตเจ้าสำนัก ภายในสำนักสงสัยว่าการตายของทั้งสามคนจะมีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้าป่าวประกาศให้คนอื่นรับรู้ หนิงอ๋องนอกจากธิดาคนนี้แล้วยังมีบุตรชายอีกคน มีนามว่าซางเฉาจง เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้วกระมัง แต่สิ่งที่เจ้าไม่รู้คือสมัยที่ซางเจี้ยนปั๋วยังมีชีวิตอยู่ ความคิดของเขาค่อนข้างสุดโต่ง ขัดผลประโยชน์ของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้า ว่ากันว่าทำให้องค์ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยในตัวเขาด้วย แม้ซางเฉาจงจะได้สืบทอดบรรดาศักดิ์อ๋องมา แต่ได้ยินว่าเขาก่อคดีบางอย่างขึ้น จึงถูกองค์ฮ่องเต้ริบบรรดาศักดิ์ ขับออกจากเมืองหลวง การเดินทางไปยังอำเภอชางหลูครั้งนี้ก็เพราะถูกขับไล่กลับไปยังเมืองศักดินา เอาเป็นว่าเนื่องเพราะซางเจี้ยนปั๋ว ซางเฉาจงที่เป็นบุตรของเขาจึงพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เกรงว่าคงมีคนไม่ต้องการให้เขารอดชีวิตไปได้”
“โอ้!” หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว “หากข้าไปกับเขาจะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ท่านคงหมายความแบบนี้กระมัง?”
“รู้ก็ดีแล้ว”
“สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หวังส่งข้าไปตายใช่หรือไม่?”
“เจ้าคิดว่าข้าจะพูดถึงสำนักของตนในแง่ร้ายหรือ?” ถูฮั่นแค่นเสียงหยัน หันหลังออกเดินไป
“แค่นี้เหรอ? อย่าเพิ่งไปสิ ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ พวกเราคุยกันต่อเถอะ”
“เจ้าไปจัดการเอาเองเถอะ”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้ว่าท่านเห็นแก่หน้าอาจารย์ของข้า สรุปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหล่าถู ขอบคุณที่หลายปีมานี้ท่านคอยดูแลข้าแบบหลับตาข้างลืมตาข้างมาตลอดนะ”
ถูฮั่นลูบดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวของตนโดยไม่รู้ตัว เหลียวหน้ามาถ่มน้ำลายใส่ทีหนึ่ง “เพ่ย ไปล่ะ!”
ร่างกายวูบไหวกระโจนเข้าไปในป่า เท้าไต่ทะยานไปตามกิ่งไม้ เผ่นโผนขึ้นลงอยู่ไม่กี่ครั้งก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดก่อนหน้านี้ หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปมองเส้นทางที่จากมา พลิกตัวขึ้นม้า ควบทะยานออกไป
เมื่อออกมาจากป่า ก็พบกับพวกซางซูชิงที่คอยอยู่ด้านนอก ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าสู่แดนไกลไปด้วยกัน…
……….
ม่านน้ำตกสาดกระเซ็น บรรจบลงลำธารเบื้องหน้า ไหลรวมกันเป็นแม่น้ำ สายน้ำเชี่ยวกรากเปลี่ยนทิศทางมุ่งสู่ป่าลึก ก่อนจะไหลเอื่อยรินเข้าสู่ที่ราบ
บนทางหลวงที่อยู่ห่างไกลออกไป ฝีเท้าม้าจำนวนหลายร้อยตัวส่งเสียงดังสนั่น ควบทะยานเข้ามา ยามที่มาถึงริมฝั่งธารน้ำตื้นจึงพากันหยุดลง รอคอยอยู่ที่ริมถนน
ผู้ที่ชะเง้อคอมองอยู่ที่หัวขบวนคือซางเฉาจงและหลานรั่วถิง
หลังจากที่ทำการฟื้นฟูรักษาระหว่างทาง แม้การเดินทางจะลำบากตรากตรำ แต่สีหน้าท่าทางของซางเฉาจงกลับดีขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยก็แต่งกายมีสง่าราศีไม่ขาดรุ่งริ่งอีกต่อไป ยามนี้ใบหน้าดูหล่อเหลาเด็ดเดี่ยว เปี่ยมกำลังวังชา สมชายชาตรียิ่ง
ด้านหลังของทั้งสองคือทหารม้าในชุดฝึกยุทธ์จำนวนเกือบห้าร้อยคน แต่ละคนพกพาอาวุธจำพวกดาบกระบี่หน้าไม้ไว้ กลางขบวนมีม้าพันธุ์ดีกว่าร้อยตัวแทรกปนอยู่ บางส่วนไม่ถูกใช้งานเพราะเตรียมไว้ผลัดเปลี่ยน บางส่วนบรรทุกสิ่งของที่ใช้สำหรับอุปโภคบริโภคเอาไว้
หลังจากทั้งขบวนหยุดลง ทหารม้าห้าร้อยนายที่เปี่ยมไปด้วยรังสีสังหารก็กระจายตัวออกไปเฝ้าระวังพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็ว ทหารหลายนายควบม้าขึ้นไปยังเนินสูงเพื่อเฝ้าระวังจากมุมสูง ประสานงานกันอย่างชำนาญและรู้ใจกัน
หลังจากรอคอยเงียบๆ มาเกือบครึ่งชั่วยามก็ยังไม่เห็นคน ซางเฉาจงจึงเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “นัดกันไว้แล้วว่าพบกันยามฟ้าสว่าง คงมิใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับชิงเอ๋อร์กระมัง?”
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “คงมิเป็นอย่างนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะเล่นลูกไม้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสำนักเป็นฝ่ายธรรมะ ไม่ถึงขั้นปองร้ายท่านหญิงอย่างโจ่งแจ้งหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงชะเง้อมองไปทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ถอนใจพลางกล่าวว่า “ท่านตงกัวสิ้นบุญแล้ว เกรงว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คงจะค่อยๆ ตีตัวออกห่างจากวงศ์ตระกูลของข้า”
หลานรั่วถิงลูบเคราอยู่เงียบๆ พักหนึ่ง เขาไม่สะดวกจะบอกว่าเป็นราชวงศ์ที่ทำผิดต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก่อน แต่แน่นอน จะโทษราชวงศ์ไปเสียทั้งหมดก็ไม่ได้ ราชวงศ์เองก็จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเพราะได้รับแรงกดดันจากโลกผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกัน เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ในแง่หนึ่งแล้วก็เป็นเพราะท่านอ๋องพระองค์ก่อนจริงๆ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถึงได้ถูกกดดันจากสำนักต่างๆ ในโลกบำเพ็ญเพียร จนเป็นเหตุให้เสื่อยถอยลงอย่างหนัก ถึงได้ตกต่ำจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ เมื่อครั้งที่ท่านอ๋องพระองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ มาตรว่าในมือจะกุมอำนาจทางการทหารไว้ก็ยังยากจะปกป้องพวกเขาจากกลุ่มอำนาจของโลกผู้บำเพ็ญเพียรได้ ยามนี้ท่านอ๋องพระองค์ก่อนล่วงลับไปแล้ว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่เหลือแม้กระทั่งปราการป้องกันด่านสุดท้าย สถานการณ์ค่อนข้างยากลำบาก หากพวกเขาไม่ยินดีส่งคนมาช่วยเหลือท่านอ๋องก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ไม่อาจตำหนิติเคืองพวกเขาได้พ่ะย่ะค่ะ ”
ซางเฉาจงพยักหน้ารับ “ข้าก็ไม่ได้ใจแคบถึงขนาดที่จะพาลโกรธเพราะผู้อื่นไม่ยอมให้ความช่วยเหลือตนหรอก หากเป็นเช่นนั้น ข้ามิกลายเป็นคนถ่อยหรอกหรือ!” จู่ๆ ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับไปมองหลานรั่วถิง “ท่านอาจารย์ ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ท่านทราบชัดเจนดีว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่มีทางส่งฝ่าซือมาคุ้มกันข้า แล้วเหตุใดยังตกลงให้ชิงเอ๋อร์ไปสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก?”
หลานรั่วถิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ท่านอ๋องคิดจริงๆ หรือว่าท่านหญิงน้อยไปเพื่อขอผู้คุ้มกัน?”
ซางเฉาจงประหลาดใจ “แล้วมิใช่หรือ?”
หลานรั่วถิงถอนหายใจเบาๆ ม้วนเคราที่ปลายคางพลางส่ายหน้า “มีเรื่องหนึ่งที่ท่านอ๋องยังไม่ทราบ เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ท่านหญิงเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา บนใบหน้าไร้ซึ่งรอยปานนั้น ทว่าพระองค์ทรงร้องไห้จ้าไม่ยอมหยุด ยอดหมออับจนหนทาง บังเอิญท่านตงกัวมาเยี่ยมเยือน ด้วยเหตุนี้ท่านอ๋องพระองค์ก่อนจึงเชิญท่านตงกัวมาตรวจท่านหญิงว่ามีโรคแฝงอันใดหรือไม่ หลังจากท่านตงกัวตรวจท่านหญิงเสร็จก็กล่าวว่ามิมีโรคแฝง เพียงแต่เกิดมาชะตาอาภัพ จึงร้องไห้ด้วยเหตุนี้”
ใบหน้าซางเฉาจงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ถือกำเนิดในจวนอ๋อง เต็มไปด้วยช่อทองใบหยก อาหารอาภรณ์ล้วนครบครัน บิดามารดาล้วนเฉลียวฉลาด เหตุใดจึงบอกว่าชะตาอาภัพเล่า?”
หลานรั่วถิงส่ายหน้า “ยามนั้นกระหม่อมเองก็ไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านตงกัวแตกฉานด้านศาสตร์ชะตาพยากรณ์ กล่าวว่าจากฐานชะตาขององค์หญิง เป็นพักตร์งามนำเคราะห์โดยกำเนิด หลังเติบใหญ่จะต้องกลายเป็นยอดหญิงงามแห่งยุคอย่างแน่นอน แต่การใช้ความงามล่อลวงเหล่าชายในโลกอันวุ่นวายนี้จะไม่ลำบากได้อย่างไร? ท่านอ๋องพระองค์ก่อนรีบขอร้องให้ช่วยแก้ไข ท่านตงกัวกล่าวว่าท่านหญิงถือกำเนิดในจวนอ๋อง ต่อให้ชีวิตขมขื่น ก็ต้องหวานก่อนแล้วจึงขมเป็นแน่ หากอยากแก้ไขจะต้องปรับเปลี่ยนชะตา ท่านอ๋องพระองค์ก่อนสอบถามว่าเปลี่ยนอย่างไร? ท่านตงกัวจึงบอกว่า หวานนำตามด้วยขมเปลี่ยนเป็นขมนำจึงตามด้วยหวาน ท่านอ๋องพระองค์ก่อนขอให้เขาลงมือ ดังนั้นท่านตงกัวจึงสำแดงวิชา สร้างปานอัปลักษณ์ขึ้นมาบนใบหน้าท่านหญิง ที่น่าแปลกก็คือหลังจากมีรอยปาน ท่านหญิงก็หยุดร้องไห้ทันที หัวเราะเอิ้กอ้ากออกมา ท่านอ๋องพระองค์ก่อนปรีดานัก จึงย่อมเชื่อถือในคำพูดของท่านตงกัวอย่างสนิทใจ เพียงแต่ท่านหญิงก็ต้องลำบากอยู่หลายปี ยามนั้นท่านตงกัวได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าหากถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ให้ท่านหญิงไปหาเขาที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขาจะคืนโฉมเดิมให้ท่านหญิง แต่เกรงว่ากระทั่งตัวท่านตงกัวเองก็คงคิดไม่ถึงว่าเขาจากโลกนี้ไปเสียก่อนที่จะถึงเวลานั้น”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ซางเฉาจงพลันกระจ่าง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว ความหมายของท่านอาจารย์คือชิงเอ๋อร์นำกระบี่ไปหาคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้คืนโฉมเดิมนาง”
หลานรั่วถิงพยักหน้ารับ “ศาสตร์จากสำนักเดียวกัน ในเมื่อท่านตงกัวใช้วิชานี้ได้ คาดว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็คงไม่ต่างกันนัก หากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่ยอมส่งผู้บำเพ็ญเพียรมาช่วยเหลือ ทว่าน่าจะไม่ปฏิเสธเรื่องลบปานอัปลักษณ์บนใบหน้าให้ท่านหญิง ทางนั้นได้ทดแทนหนี้น้ำใจ ส่วนท่านหญิงก็สมปรารถนา”
“วี้ด…” เสียงผิวปากของยามเฝ้าระวังแว่วมาจากทางเนินสูง ทุกคนมองออกไป ยามเฝ้าระวังคนนั้นทำสัญญาณมือไปทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังลอยมา ซางเฉาจงทอดตามองออกไป ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก กลับมาแล้ว
มองเห็นขบวนม้าหกตัวควบเข้ามา ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุดคือผู้ที่สวมหมวกม่านแพรที่คุ้นชินกันดีผู้นั้น ทว่าม้าที่เพิ่มมาอีกตัวทำให้ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงต้องมองหน้ากันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ หรือว่าจะคาดการณ์ผิดไป สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กล้าส่งผู้คุ้มกันมาให้ด้วยหรือ?
หกอาชาย่ำน้ำสาดกระเซ็น วิ่งข้ามธารน้ำตื้นขึ้นมาบนฝั่ง ก่อนจะหยุดลงเมื่อเจอหน้าพวกเขา
ซางซูชิงบังคับม้าให้หยุด เอ่ยเสียงใสกังวาน “เสด็จพี่ ท่านอาจารย์หลาน โชคดียิ่งนัก เชิญฝ่าซือมาได้แล้ว”
ใบหน้าซางเฉาจงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกสงสัย หลานรั่วถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ต่างกำลังสำรวจหนิวโหย่วเต้าอยู่ รู้สึกว่าคนผู้นี้อายุน้อยเกินไปหน่อย จะมีพลังและสภาวะอันใดได้? ให้เด็กหนุ่มอ่อนเยาว์เช่นนี้มาเป็นฝ่าซือคอยคุ้มกัน นี่มันล้อเล่นกันชัดๆ ไม่รู้ว่าจะใครคุ้มครองใครกันแน่
ความรู้สึกแรกของทั้งสองล้วนคิดว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กำลังขายผ้าเอาหน้ารอด เพียงแค่ส่งศิษย์ในสำนักมาส่งๆ คนหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าเองก็สังเกตการณ์พวกเขาอย่างเงียบๆ เช่นกัน บนใบหน้าแขวนรอยยิ้มที่ไร้พิษภัยเอาไว้
“ท่านนี้คือซางเฉาจงพี่สามของข้า ท่านนี้คือท่านอาจารย์ของตระกูลข้าหลานรั่วถิง” ซางซูชิงแนะนำฐานะของคนทั้งสองต่อหนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คารวะท่านอ๋อง คารวะท่านอาจารย์หลาน”
ซางซูชิงแนะนำหนิวโหย่วเต้าแก่คนทั้งสอง “ท่านนี้คือศิษย์คนสุดท้ายของท่านตงกัว หนิวโหย่วเต้า!”
…………………………………………………………