ตอนที่ 39 จะเดิมพันหรือไม่
เรื่องราวที่บอกเล่าก็ไม่พ้นไปจากเรื่องทัพกาทมิฬแสนตัวนั้น
หลังจากได้ฟังความจริง หนิวโหย่วเต้าพลันกระจ่าง เดิมทีราชสำนักต้องการขุดรากถอนโคนกองกำลังของหนิงอ๋อง ตามหลักแล้วซางเฉาจงต้องตายแน่นอน ทว่าอาจารย์หลานผู้นี้ต้องการปกป้องซางเฉาจงจึงจงใจกุข่าวลือขึ้นมา เขาเล็งเห็นว่าแคว้นเยี่ยนมีศึกรุมเร้าทั้งนอกใน สถานการณ์ระส่ำระส่าย ทราบว่าโอกาสมาถึงแล้ว จึงใส่ไฟเข้าไปอีก กล่าวอ้างชี้นำอย่างลับๆ ว่าสถานที่แอบซ่อนทัพกาทมิฬแสนตัวนั้นอยู่ที่อำเภอชางหลู นี่จึงทำให้ซางเฉาจงได้ออกจากคุกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง
และเขาก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าเหตุใดพวกเขาถึงไม่อยากบอกความจริงให้ทราบ เพราะถ้าเกิดเขาเป็นสายสืบที่ราชสำนักส่งมา ทันทีที่ล้วงความจริงจากปากพวกเขาได้ และทำให้ราชสำนักทราบว่าทัพกาทมิฬแสนตัวนั้นเป็นเพียงข่าวลวงแล้วล่ะก็ เพียงแค่คิดก็คงจะรู้แล้วว่าจะเกิดผลลัพธ์แบบไหนขึ้น เรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของคนมากมายปานนี้ หนิวโหย่วเต้าก็พอจะเข้าใจได้
เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองซางซูชิงอีกหลายครา เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยอมพูดเพราะได้รับสัญญาณจากสตรีนางนี้ เขาพบว่าสตรีนางนี้น่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญแวบหนึ่ง เอ่ยถามอีกว่า “ท่านอาจารย์หลานคงจะมิได้ชี้เป้าว่ากาทมิฬซ่อนอยู่ที่อำเภอชางหลูโดยไร้จุดมุ่งหมายกระมัง?”
หลานรั่วถิงอธิบายว่า “ภูมิประเทศของอำเภอชางหลูซับซ้อนอันตราย ป้องกันง่ายโจมตียาก ท่านอ๋องไปแล้วจะตั้งหลักได้ง่ายขึ้น”
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองอย่างเฉยชา เอ่ยว่า “ทหารม้าห้าร้อยนายอยู่ในที่ราบรบได้ไม่มีปัญหา แต่สภาพภูมิประเทศที่ซับซ้อนอันตรายกลับกลายเป็นจุดอ่อน ทหารม้าไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ต่อให้อำเภอชางหลูมีภูมิประเทศซับซ้อนอันตรายแล้วจะมีประโยชน์อันใด มีทหารม้าป้องกันอำเภอชางหลูเพียงห้าร้อยนายจะสามารถต้านรับทัพใหญ่จากราชสำนักได้หรือ? หรือท่านอาจารย์หลานเห็นข้าอ่อนวัยจึงคิดว่าจะหลอกได้ง่ายๆ?”
วาจานี้ทำเอาหลานรั่วถิงกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย ซางซูชิงรีบเอ่ยรอมชอมว่า “สมัยที่เสด็จพ่อยังอยู่ ท่านได้ซ่อนตัวคนเก่าคนแก่บางส่วนเอาไว้ จัดให้อยู่ที่อำเภอชางหลู”
หนิวโหย่วเต้าถาม “จำนวนเท่าไร?”
ซางซูชิงถอนใจเบาๆ “มาตรว่าเมื่อครั้งที่เสด็จพ่อยังอยู่จะได้กุมอำนาจกองทหารแคว้นเยี่ยน แต่ก็เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่าไม้ล้มลิงกระเจิง[1] ประกอบกับปัจจุบันนี้มีการกวาดล้างอย่างแข็งขัน เหลือผู้ภักดีที่ไว้ใจได้ไม่มากนัก มีคนคอยเสด็จพี่อยู่อำเภอชางหลูเพียงแค่พันคนเท่านั้น ไม่กล้ารับคนทั่วไปเข้ามาเพิ่ม”
พอคุยกันมาถึงตรงนี้ หนิวโหย่วเต้ากลับแปลกใจอยู่หลายส่วน “ชื่อเสียงของหนิงอ๋องกระหม่อมเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ขุนพลเลื่องชื่อในสนามรบไหนเลยจะเป็นคนไร้หัวคิดได้ ต่อให้ต้องการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์อู่และสยบผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้า แต่พระองค์ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องพูดออกมาตรงๆ เลย เหตุไฉนพระองค์ถึงต้องล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้าด้วยเล่า?” มีบางประโยคที่เขาไม่ได้พูดออกไป นั่นคือหากมิใช่เพราะเหตุนี้ ถ้าจอมพลทหารม้าผู้สูงส่งองอาจมีผู้บำเพ็ญเพียรยอดฝีมือสักกลุ่มคอยอารักขาคุ้มกันล่ะก็ เขาไหนเลยจะถูกลอบสังหารได้ง่ายดายปานนั้น
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้พวกเขากระดากใจ แนวคิดของหนิงอ๋องได้ขัดผลประโยชน์ของผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้า ส่วนเต้าเหยี่ยผู้นี้เองก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกัน
ซางเฉาจงที่เฝ้ามองหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ มาตลอดพลันเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เรื่องนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าเหนือหัวองค์ปัจจุบัน”
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ ถามต่อว่า “ไยจึงกล่าวเช่นนี้?”
หลานรั่วถิงถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรและสำนักนิกายต่างๆ ในใต้หล้าจำเป็นต้องให้การสนับสนุนตัวแทนในโลกปุถุชนของตนเองเพื่อให้พวกเขาส่งมอบผลประโยชน์ต่างๆ มาให้พวกตน หรือก็คือสิ่งที่เรียกว่าทรัพยากรบำเพ็ญเพียร ส่วนตัวแทนในโลกปุถุชนเหล่านั้นก็ไม่ยินดีที่จะเป็นหุ่นเชิดให้ผู้อื่นคอยควบคุมอยู่ตลอด จึงคอยชักจูงสำนักและนิกายต่างๆ ให้ขัดแข้งขัดขากันเอง เพื่อไม่ให้สำนักใดสำนักหนึ่งได้เป็นใหญ่ มิเช่นนั้นพวกเขาจะมีภัยถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเป็นสถานการณ์ของใต้หล้าในปัจจุบันนี้ อันที่จริงราชสำนักของแคว้นต่างๆ ไม่มีผู้ใดยินดีถูกคนในโลกบำเพ็ญเพียรบังคับข่มขู่ ความคิดที่อยู่ในใจเกรงว่าคงมิได้ต่างไปจากหนิงอ๋องมากนัก เพียงแต่ไม่มีผู้ใดกล้าแสดงท่าทีออกมาเท่านั้น อีกทั้งหนิงอ๋องเองก็มิใช่คนโง่ จะหาเรื่องทำให้โลกบำเพ็ญเพียรโกรธเคืองทำไมกัน เรื่องนี้หากจะว่ากันตรงๆ แล้วก็เป็นเพราะมีคนเล่นเล่ห์อยู่เบื้องหลัง อันที่จริงเมื่อในอดีต อดีตองค์ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะยกราชบัลลังก์ให้หนิงอ๋อง ทว่าจู่ๆ แนวคิดอันสุดโต่งของหนิงอ๋องก็ถูกเผยออกมา ภายใต้แรงกดดันจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ภายในโลกบำเพ็ญเพียร อดีตองค์ฮ่องเต้ทรงเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลอย่างที่คนนอกไม่มีทางนึกภาพออก ในท้ายที่สุด จู่ๆ อดีตองค์ฮ่องเต้ก็สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน สาเหตุการสิ้นพระชนม์ไม่ชัดเจน จากนั้นก็มีราชโองการสั่งเสียให้มอบราชบัลลังก์แก่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ภายในเรื่องราวนี้มีความแปลกประหลาดแอบแฝงอยู่มากมายนัก! ”
พอเอ่ยมาเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าพลันเข้าใจ ว่ากันตรงๆ แล้วเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องราวนี้ก็คือการต่อสู้ช่วงชิงบัลลังก์นั่นเอง
เขาไม่สนใจเรื่องนี้ เพียงแค่อยากทำความเข้าใจสถานการณ์เท่านั้น หลังจากรู้แล้วก็ไม่พูดอะไรมากอีก นำแผนที่แคว้นเยี่ยนมาคลี่กางบนโต๊ะ
ซางเฉาจงมีท่าทีคล้ายเพียงแค่ต้องการมองดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น เขาอยากดูว่าเต้าเหยี่ยผู้นี้จะทำอะไร
สายตาของซางซูชิงที่อยู่ภายใต้หมวกม่านแพรมองไปที่หนิวโหย่วเต้าเป็นระยะ ภายในใจมีความคาดหวังอยู่เล็กน้อย นางจำที่หยวนกังเคยบอกไว้ได้ สำหรับสถานการณ์ของพวกท่านแล้ว ตัวของเต้าเหยี่ยนั้นมีค่ายิ่งกว่าสภาวะของเขาเสียอีก มาตรว่านางจะรู้สึกสงสัยในเรื่องนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เชื่อเลยแม้เพียงนิด ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะเห็นเขาอายุยังน้อยจึงดูแคลนสภาวะของเขาไป ผลคือพอลงมือกลับสร้างความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกคมในฝัก ด้วยเหตุนี้จึงค่อนข้างมีความคาดหวังในตัวเขา
บนแผนที่ พื้นที่ของแคว้นเยี่ยนไม่ใหญ่เท่าแคว้นอื่น ทิศตะวันออกมีแคว้นซ่ง ทิศเหนือมีแคว้นหาน ทิศตะวันตกมีแคว้นจ้าว ทิศใต้ติดมหาสมุทรกว้างใหญ่ อำเภอชางหลูตั้งอยู่ในจังหวัดชิงซานมณฑลหนานโจวของแคว้นเยี่ยน อยู่ในตำแหน่งติดชายทะเลของจังหวัดชิงซานพอดี ทางตะวันออกติดกับจังหวัดกว่างอี้ ทางตะวันตกมีอำเภอหนึ่งคั่นไว้ อยู่ใกล้กับแคว้นจ้าว
มณฑลหนานโจวมีทั้งหมดสิบเอ็ดจังหวัด จังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้ล้วนอยู่ใต้การปกครองของมณฑลหนานโจว โจวโส่วเสียนผู้ว่าการมณฑลเป็นเสนาบดีคนสนิทของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลมณฑลแห่งนี้ จึงย่อมมีความสามารถอยู่หลายส่วน คอยข่มเฟิ่งหลิงปอที่เป็นผู้ว่าการจังหวัดกว่างอี้มาโดยตลอด…
หลังจากฟังหลานรั่วถิงชี้แจงถึงสถานการณ์โดยรอบของอำเภอชางหลูแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ชี้ไปยังจังหวัดกว่างอี้ที่อยู่ในแผนที่ เอ่ยถามว่า “เป็นแค่จังหวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่เฟิ่งหลิงปอก็ยังกล้ากำเริบเสิบสานแข็งข้อกับราชสำนัก สำนักบำเพ็ญเพียรที่หนุนหลังเขาอยู่คงแข็งแกร่งทีเดียวกระมัง?”
หลานรั่วถิงลูบเคราพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้ที่หนุนหลังเฟิ่งหลิงปออยู่คือสำนักหยกสวรรค์ เป็นสำนักบำเพ็ญเพียรอันดับต้นๆ ของแคว้นเยี่ยน เผิงอวี้หลานที่เป็นภรรยาเฟิ่งหลิงปอคือบุตรสาวของเผิงโย่วไจ้ผู้เป็นเจ้าสำนักหยกสวรรค์คนปัจจุบัน เฟิ่งหลิงปอสามารถสร้างอิทธิพลในจังหวัดกว่างอี้ได้สำเร็จ เรียกได้ว่าสำเร็จเพราะเผิงอวี้หลาน แต่ก็พลาดท่าเพราะเผิงอวี้หลานเช่นกัน”
“โอ้! วาจานี้หมายความว่าอย่างไร?” หนิวโหย่วเต้าซักไซ้
หลานรั่วถิงอธิบายว่า “เป็นเพราะแต่งกับเผิงอวี้หลาน จึงได้รับกำลังสนับสนุนจากสำนักหยกสวรรค์ เฟิ่งหลิงปอถึงได้มีความกล้าและมีอำนาจเฉกเช่นในตอนนี้ ทว่าก็เป็นเพราะแต่งกับเผิงหลานอวี้ จึงทำให้สำนักบำเพ็ญเพียรอื่นๆ ไม่กล้าปล่อยให้เฟิ่งหลิงปอเป็นใหญ่ ด้วยเกรงว่าหลังจากเฟิ่งหลิงปอเรืองอำนาจแล้วจะผูกขาดผลประโยชน์ส่วนใหญ่ไว้ให้สำนักหยกสวรรค์เพียงสำนักเดียว จึงพยายามยับยั้งเขาด้วยเหตุนี้ ”
“อย่างนี้นี่เอง…” หนิวโหย่วเต้าลูบคางใช้ความคิด จ้องมองแผนที่อย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ไม่ทราบว่าหลังจากไปถึงอำเภอชางหลูแล้วท่านอ๋องวางแผนจะทำอย่างไรต่อพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เต้าเหยี่ย นี่มิใช่เรื่องของการไว้ใจหรือไม่ไว้ใจ แต่สิ่งที่ท่านถามล้วนเป็นคำถามที่สำคัญถึงชีวิต หากข้อมูลรั่วไหลออกไป ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเพียงใดที่ต้องหัวหลุดจากบ่า” ความหมายในวาจาคือบางเรื่องก็บอกเจ้าไม่ได้
หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย หากอีกฝ่ายไม่พูด เขาก็คงยังนึกสงสัยอยู่ แต่พออีกฝ่ายเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขากลับมีความมั่นใจขึ้นมาหลายส่วน จึงชี้นิ้วไปที่ตำแหน่งอำเภอชางหลูบนแผนที่ กล่าวว่า “พื้นที่คับแคบ ต่อให้มีกำลังพลรออยู่หนึ่งพันคนแล้วอย่างไร เรื่องกาทมิฬนับแสนหลอกลวงราชสำนักได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางที่พวกเขาจะหลงกลได้นาน ทันทีที่ราชสำนักลงมือ กองกำลังอันน้อยนิดในมือท่านอ๋องไม่มีทางต้านรับได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือราชสำนักกล้าปล่อยท่านอ๋องออกมา พวกเขาจะต้องเตรียมการไว้ที่อำเภอชางหลูแล้วเป็นแน่ คาดว่าทางท่านอ๋องก็คงคิดแผนหลบหนีไว้แล้วเช่นกัน ทางออกก็มีอยู่แค่ไม่กี่ทางนั้น แคว้นซ่งที่อยู่ทางตะวันออกค่อนข้างไกล ท่านอ๋องไม่มีโอกาสไปขอพึ่งพิงได้ แคว้นจ้าวที่อยู่ทางตะวันตกพอมีโอกาสอยู่บ้าง แต่จากที่สังเกตเห็นท่านอ๋องไม่โกรธเคืองที่แซ่หนิวโยนอาหารแห้งทิ้งไประหว่างทาง เกรงว่าความเป็นไปได้ที่ท่านอ๋องจะไปสวามิภักดิ์ต่อศัตรูคงมีไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นแคว้นจ้าวก็ไม่แน่ว่าจะหยิบยื่นโอกาสให้ท่านอ๋องด้วย ดังนั้นพอคิดๆ ดูแล้ว…”
เขาลากนิ้วลงไปด้านล่าง ชี้ลงบนเขตชายทะเลทางตอนใต้ของอำเภอชางหลู “ก็มีแต่ต้องออกไปทางทะเลเท่านั้น! คนของท่านอ๋องเตรียมการอยู่ในอำเภอชางหลูมาหลายปี คาดว่าคงมีวิธีหลบเลี่ยงหูตาผู้คน เมื่อไปถึงอำเภอชางหลูก็คงจะรอดูสถานการณ์ก่อนค่อยตัดสินใจ หากสถานการณ์ไม่สู้ดี ท่านอ๋องก็จะรวบรวมไพร่พล อพยพผ่านเส้นทางลับลงใต้ จากนั้นก็ออกสู่ทะเล! เอาตัวรอดไว้ก่อน แล้วค่อยวางแผนกลับมาทวงอำนาจอีกครั้ง ไม่ทราบว่าแซ่หนิวคาดเดาถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
พอเอ่ยประโยคนี้ออกไป ซางเฉาจง หลานรั่วถิงและซางซูชิงต่างเผยสีหน้าตระหนกตกใจ ก่อนหน้านี้ซางเฉาจงอยู่ในคุกจึงไม่ทราบเรื่อง แต่หลานรั่วถิงและซางซูชิงที่อยู่นอกคุกได้วางแผนเตรียมการหลบหนีมานานแล้ว ซางเฉาจงเองก็เพิ่งมาทราบในภายหลัง เป็นความลับที่รู้กันแค่สามคน ทว่ากลับถูกหนิวโหย่วเต้าเปิดโปงอย่างตรงจุด หากข้อมูลนี้เล็ดรอดออกไปจริงๆ ล่ะก็ นั่นเรียกได้ว่าเป็นการตัดหนทางรอดสุดท้ายของพวกเขาอย่างแท้จริง
หยวนกังสังเกตดูปฏิกิริยาของคนทั้งสามเล็กน้อย คาดว่าเต้าเหยี่ยคงเดาถูกแล้ว
หนิวโหย่วเต้าชี้ไปที่จังหวัดกว่างอี้อีกครั้ง “ท่านอ๋อง ตามความเห็นของกระหม่อม เวลานี้เราไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปที่อำเภอชางหลู ถ่วงเวลารั้งอยู่ในจังหวัดกว่างอี้สักพักก็ไม่เสียหายอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทีของซางเฉาจงแปรเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ประสานมือขอคำชี้แนะ “โปรดขยายความด้วย!”
“หากไปอำเภอชางหลูตอนนี้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่ทางอย่างที่เอ่ยออกมาก่อนหน้านี้ บุตรชายของหนิงอ๋อง ไม่ว่าแคว้นใดก็ไม่กล้ารับตัวไว้ทั้งสิ้น ท่านอ๋องทำได้เพียงหลบหนีออกทะเลไปกบดาน ทันทีที่ออกไป นั่นก็เท่ากับว่าท่านต้องละทิ้งฐานที่มั่นสุดท้ายในแคว้นเยี่ยนไป ท่านอ๋องหลบหนีไปเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจถูกยัดข้อหากบฏให้ก็เป็นได้ ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีต่อการซื้อใจราษฎรแคว้นเยี่ยนในภายภาคหน้า ขอเพียงแคว้นเยี่ยนไม่ล่มสลาย เกรงว่าวันหน้าท่านอ๋องคงหาโอกาสหวนกลับมาได้ยากแล้ว อีกอย่างจะทราบได้อย่างไรว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะไม่ส่งคนออกตามล่าท่านอ๋องทางทะเลต่อ?” หนิวโหย่วเต้าชี้จังหวัดกว่างอี้พลางเอ่ยต่อว่า “เฟิ่งหลิงปอที่แข็งข้อกับราชสำนักคือโอกาสของท่านอ๋อง เราสามารถร่วมมือกับเฟิ่งหลิงปอต่อต้านราชสำนักได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงยิ้มขื่น “ข้ามีกำลังอยู่ในมือเท่านี้ เกรงว่าเฟิ่งหลิงปอคงไม่แม้แต่จะเหลือบมองด้วยซ้ำ แล้วจะมาร่วมมือกับข้าได้อย่างไร อีกอย่าง เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์ก็คงไม่ยินดีเห็นเฟิ่งหลิงปอจับมือเป็นพันธมิตรกับข้าด้วย”
“ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ก็มิถูก แม้อำนาจแข็งของท่านอ๋องจะด้อยไปบ้าง แต่อำนาจอ่อนก็นับว่ายังมีอยู่ อาศัยเพียงเรื่องที่ท่านอ๋องเป็นบุตรชายของหนิงอ๋องก็สามารถทำได้หลายอย่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยปลอบประโยคหนึ่ง จากนั้นเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กล่าวต่อว่า “หรือท่านอ๋องลองมาเดิมพันกับแซ่หนิวหน่อยเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
พอเขากล่าวมาเช่นนี้ ซางซูชิงและหลานรั่วถิงต่างมองหน้ากัน ซางเฉาจงร้องโอ้ เอ่ยด้วยความสนใจว่า “ไม่ทราบว่าจะเดิมพันอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมยินดีเป็นตัวแทนท่านอ๋องไปเยือนจังหวัดกว่างอี้ ยืมไพร่พลจำนวนหนึ่งจากเฟิ่งหลิงปอ อารักขาท่านอ๋องกลับไปยังอำเภอชางหลูจนกว่าท่านอ๋องจะตั้งหลักอย่างมั่นคงได้ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องคิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“…….” พวกซางเฉาจงทั้งสามตะลึงงันกันไปหมด ท่าทางนั้นคล้ายจะบอกว่า เจ้าฝันอยู่หรือ? ไม่ต้องไปพูดเรื่องร่วมมือกับเขาเลย เอาแค่เฟิ่งหลิงปอไม่ไล่ตะเพิดพวกเราก็นับว่าดีมากแล้ว แล้วยังหวังจะให้เขาเอาไพร่พลมาให้เจ้ายืมอีกเหรอ นี่มิใช่เรื่องน่าขันชวนหัวเราะหรอกหรือ เฟิ่งหลิงปอไหนเลยจะโง่ขนาดนั้น
ในบรรดาคนที่อยู่ในที่นี้ มีเพียงหยวนกังเท่านั้นที่ดูเยือกเย็น
ซางซูชิงเปิดปากกล่าว “เต้าเหยี่ย เรื่องนี้ไม่อาจนำมาล้อเล่นได้”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือ “ขอถามเพียงว่าท่านอ๋องจะเดิมพันหรือไม่?”
ซางเฉาจงเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “ได้! ข้าเดิมพัน! ไม่ทราบว่าจะเดิมพันด้วยสิ่งใด”
หนิวโหย่วเต้าชี้ไปทางหยวนกัง “หากกระหม่อมยืมไพร่พลมาไม่ได้ กระหม่อมจะให้เจ้าลิงไปยืนรับใช้อยู่หน้ากระโจมท่านอ๋อง แต่หากกระหม่อมยืมไพร่พลมาได้ เกรงว่าคงมีเรื่องทำให้ท่านอ๋องต้องลำบากใจเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
…………………………………………………………
[1] ไม้ล้มลิงกระเจิง ความหมายคือ เมื่อไร้เจ้านายให้พึ่งพิงลูกน้องย่อมแยกย้ายกระจัดกระจายกันไป