ตอนที่ 40 สมราคาคุย
ซางซูชิงรู้สึกว่ามีความนัยบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดนี้ คล้ายเป็นกังวลอยู่บ้างว่าพี่ชายจะเสียเปรียบ กลัวว่าพี่ชายจะใจร้อนด่วนตกลง จึงรีบเอ่ยถามว่า “ลำบากใจเล็กน้อยหรือ? ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยพอจะช่วยอธิบายให้กระจ่างได้หรือไม่?”
หลานรั่วถิงฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย เขาเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเฉยชา “ก็ไม่นับว่าลำบากใจอันใดนักหรอกพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นเพราะทรัพยากรของท่านอ๋องมีให้ใช้สอยอย่างจำกัดจริงๆ ไปครานี้กระหม่อมอาจต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าท่านอ๋องจะยอมให้ความร่วมมือ ไม่กล่าวโทษกัน”
ซางซูชิงเอ่ยขึ้นว่า “มีคำกล่าวไว้ว่ากองทัพไม่หน่ายเล่ห์[1] เต้าเหยี่ยไปครานี้หากจะใช้กลอุบายอันใดบ้างย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่หากเลวทรามชั่วช้าเกินไป พี่ชายข้าจะพลอย…”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือพลางเอ่ยขัด “ท่านหญิงวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเองก็วางใจได้เลยพ่ะย่ะค่ะ แซ่หนิวขอรับรองว่าจะไม่ทำให้ท่านอ๋องต้องแบกรับคำครหาว่าเป็นคนเลวทรามชั่วร้ายเด็ดขาด และจะไม่ทำให้เกิดเรื่องอันใดที่ท่านอ๋องยากจะทนรับได้ด้วย สรุปคือการไปครั้งนี้จะไม่มีการกระทำใดๆ ที่ส่งผลร้ายต่อท่านอ๋องแน่นอน หากผิดคำพูดที่ให้ไว้ ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องยอมรับว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับกระหม่อมก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยมาเช่นนี้ พวกเขาถึงได้เบาใจลงเล็กน้อย แต่ยังคงรู้สึกยากจะเชื่ออยู่ดี เฟิ่งหลิงปอจะยอมให้หยิบยืมทหารได้อย่างไร?
หลานรั่วถิงที่ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ พลันเอ่ยขึ้นว่า “เต้าเหยี่ย หากรั้งอยู่ในอาณาเขตจังหวัดกว่างอี้นานเกินไปเกรงว่าคงไม่เหมาะ มิรู้ว่าทางราชสำนักจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร ทั้งยังมีทางฝั่งตระกูลซ่งด้วย เต้าเหยี่ยสังหารซ่งเหยี่ยนชิง แต่กลับยังรั้งอยู่ในจังหวัดกว่างอี้ เปิดเผยตัวเด่นชัดเช่นนี้ เกรงว่าตระกูลซ่งคงจะต้องพุ่งเป้ามาเล่นงานเต้าเหยี่ยเป็นแน่”
“ทางราชสำนักนั้นจัดการได้ไม่ยาก การพลีชีพขององครักษ์กว่าสามสิบนายนั้นทำให้ท่านอ๋องโศกศัลย์อยู่บ้าง การรั้งอยู่ที่นี่สักหลายวันเพื่อเซ่นไหว้จึงนับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้” หนิวโหย่วเต้าไม่รู้สึกผิดกับการสิ้นชีพขององครักษ์เหล่านั้นแม้แต่น้อย “ส่วนทางตระกูลซ่ง กระหม่อมไปครั้งนี้ก็เพื่อสะสางเรื่องนี้ กระหม่อมย่อมมีวิธีจัดการในแบบของตัวเอง!”
ซางซูชิงพยักหน้าตอบรับ “เอาตามที่เต้าเหยี่ยว่ามา ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยจะออกเดินทางยามไหน ไปครานี้ต้องจัดเตรียมสิ่งใดบ้าง?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เรื่องด่วนมิอาจรั้งรอได้ กระหม่อมจะเร่งเดินทางไปให้ถึงตัวจังหวัดในชั่วข้ามคืน นอกจากนี้ ขอท่านอ๋องโปรดมอบองครักษ์ที่มีไหวพริบเฉียบแหลมจำนวนยี่สิบนายร่วมเดินทางไปกับกระหม่อม อีกทั้งกระหม่อมต้องการของมีค่าเล็กน้อย เอาเป็นเงินหมื่นเหรียญทองพ่ะย่ะค่ะ!”
“หมื่นเหรียญทอง…” ซางเฉาจงและซางซูชิงแสดงสีหน้าลำบากใจ นี่มิใช่จำนวนน้อยๆ เลย เงินจำนวนนี้เพียงพอให้ทหารหลายร้อยนายใช้ไปได้อีกหลายปี
สองพี่น้องนึกไม่ออกเลยว่าเขาจะเอาเงินมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร จะนำเงินจำนวนนี้ไปแลกกำลังทหารมาหรือ? เงินหมื่นเหรียญทองแม้จะมิใช่น้อย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอจะนำไปแลกเป็นกำลังทหารที่มากพอสำหรับการตั้งหลักที่อำเภอชางหลูได้ อีกทั้งเฟิ่งหลิงปอเองก็ไม่มีทางตอบตกลงได้ อีกฝ่ายคงไม่ยากไร้จนถึงขั้นต้องมอบกำลังทหารให้เจ้าเพื่อเงินหมื่นเหรียญทองกระมัง
หลานรั่วถิงยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “ขอบอกเต้าเหยี่ยตามตรง หากไปถึงอำเภอชางหลูแล้ว น่าจะรวบรวมเงินหมื่นเหรียญทองมาได้ไม่มีปัญหา แต่เวลานี้เงินที่มีอยู่นับรวมกันแล้วยังมีไม่ถึงพันเหรียญทองด้วยซ้ำ เกรงว่าจะหาเงินหมื่นเหรียญทองมาให้ไม่ได้จริงๆ”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือไปมา “ไม่มีก็แล้วไปเถิด เงินน่ะเรื่องเล็ก เอาไว้ไปถึงตัวจังหวัดแล้วข้าค่อยคิดหาวิธีการอื่น ตอนนี้มอบเงินร้อยเหรียญทองให้ข้าไว้ใช้ในยามฉุกเฉินก่อนแล้วกัน”
พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง ต่อให้เป็นคนที่มีสถานะอย่างพวกเขา เงินหมื่นเหรียญทองก็มิใช่จำนวนเล็กน้อยเลย ไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะไปหาเงินหมื่นเหรียญทองจากในจังหวัดกว่างอี้ได้อย่างไร นี่เตรียมจะใช้วิชาความสามารถไปรีดไถหรือปล้นชิงเอากันเล่า? แต่อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวายในจังหวัดกว่างอี้จนไปยั่วโทสะเฟิ่งหลิงปอเข้าล่ะ เพราะคนที่สามารถนำเงินจำนวนมากขนาดนี้ออกมาได้ย่อมมิใช่ชาวบ้านทั่วไปในจังหวัดกว่างอี้เด็ดขาด หากแต่ต้องเป็นคนไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ที่ว่ามอบเงินหมื่นเหรียญทองให้ไม่ได้นั้นเป็นความจริง เมื่อครู่หลานรั่วถิงถึงขนาดนึกสงสัยอยู่ว่าหนิวโหย่วเต้าจะเชิดทรัพย์หลบหนีไปหรือเปล่า แต่พอได้ยินว่าร้อยเหรียญทอง ลดลงมาร้อยเท่าในชั่วพริบตา เขาตระหนักได้ทันทีว่าตนใช้ความคิดคนถ่อยประเมินสุภาพชน[2]เสียแล้ว ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องลงแรงมากขนาดนี้เพื่อเงินร้อยเหรียญทองเลย
หลานรั่วถิงมองท่าทีของซางเฉาจง จากนั้นพยักหน้าตอบตกลง “เต้าเหยี่ยรอสักครู่ ข้าจะไปหยิบให้เดี๋ยวนี้ พร้อมทั้งจัดการเรื่องผู้ติดตามด้วย”
หนิวโหย่วเต้ากำชับทันที “จำเอาไว้ ต้องหลบเลี่ยงพวกชวีอู่ อย่าให้พวกเขารู้ตัว ยื้อเวลาไว้ให้ข้าสักระยะ”
“ทราบแล้ว!” หลานรั่วถิงประสานมือ จากนั้นเร่งออกไปจัดการเรื่องนี้
สองพี่น้องสกุลซางต่างสงสัยกันจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าจะหยิบยืมทหารมาได้อย่างไร สุดท้ายซางซูชิงก็อดใจไม่อยู่ เอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย พอจะเผยรายละเอียดได้หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังบอกแน่ชัดไม่ได้ ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกทีพ่ะย่ะค่ะ”
ยังคงเป็นท่าทางไม่น่าเชื่อถือและพูดจาไร้ความจริงเช่นเคย ซางซูชิงกังวลใจเล็กน้อย แต่จากที่ได้เห็นอีกฝ่ายเปิดโปงเส้นทางหลบหนีของตนเมื่อครู่นี้ นางจึงมองออกแล้วว่าสติปัญญาของหนิวโหย่วเต้าไม่ธรรมดาเลย มุมมองที่มีต่อเขาจึงเปลี่ยนไปแล้ว
จู่ๆ หยวนกังที่นิ่งเงียบอยู่ด้านข้างพลันเอ่ยขึ้นมาว่า “เต้าเหยี่ย คนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์สองคนนั้นสารภาพว่าเจ้าอาวาสหยวนฟางคือปีศาจหมีตัวหนึ่ง”
“หือ…” หนิวโหย่วเต้าหันขวับทันที “ปีศาจ? ปีศาจที่เป็นปีศาจจริงๆ น่ะหรือ?”
ซางเฉาจงตอบรับ “มิผิด คนของข้าไต่สวนดูแล้ว เจ้าอาวาสหยวนฟางตัวจริงมรณภาพไปแล้ว เจ้าอาวาสหยวนฟางในปัจจุบันคือหมีตัวหนึ่งที่เหล่าสมณะภายในวัดหนานซานเก็บมาเลี้ยงจากในเขาเมื่อสองร้อยปีก่อน ปัจจุบันมีพลังฌานอยู่เล็กน้อย จึงแปลงกายเป็นเจ้าอาวาสหยวนฟาง และวัดหนานซานแห่งนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เลย ก่อนหน้านี้ซ่งเหยี่ยนชิงได้สู้กับปีศาจหมีตัวนี้ และบีบบังคับจนปีศาจหมีตัวนี้ยอมจำนนเท่านั้น”
หนิวโหย่วเต้าตาเป็นประกาย ปีศาจหรือ? แถมยังเป็นปีศาจหมีอีกด้วย? เขาเกิดความสนใจอย่างจริงจัง แม้จะรู้ว่าโลกนี้มีปีศาจอยู่ แต่ก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก เมื่อไม่เคยพบเห็นมาก่อน ย่อมต้องอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง คำเตือนเมื่อครู่ของหยวนกังสื่อให้เห็นชัดเจนว่าเขาเองก็สนใจและอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน จนใจที่ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นต้องไปจัดการ ไม่มีเวลามาค่อยๆ ศึกษาวิเคราะห์ปีศาจ จึงได้แต่เอ่ยกำชับไว้ “ท่านอ๋อง อย่าได้ปล่อยปีศาจตัวนี้ไป รอกระหม่อมกลับมาแล้วจะคุยกับเขาเสียหน่อย”
ซางเฉาจงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ ข้าจะเก็บไว้ให้เต้าเหยี่ย!”
จากนั้นครู่หนึ่ง หลานรั่วถิงกลับมาพร้อมถุงเงินใบหนึ่ง องครักษ์ยี่สิบนายเองก็จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายทำการวางแผนกันอยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นพวกซางเฉาจงก็ออกจากวัดหนานซานไปสร้างความเคลื่อนไหวดึงดูดความสนใจตามที่หนิวโหย่วเต้าบอก ไม่เพียงแต่เพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกชวีอู่เท่านั้น ขณะเดียวกันก็เพื่อดึงดูดความสนใจของสายสืบจากราชสำนักที่อาจจะลอบจับตามองอยู่อีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะอำพรางพวกหนิวโหย่วเต้าที่เดินทางออกไป
ส่วนหนิวโหย่วเต้าก็พาหยวนกังและองครักษ์ทั้งยี่สิบนายอาศัยความมืดอำพรางตัว เดินลงเขาไปอย่างเงียบเชียบ
นอกวัดหนานซาน มีกระถางไฟหลายใบ เปลวไฟลุกโชน พวกซางเฉาจงดูคล้ายว่ากำลังเผากระดาษเซ่นไหว้องครักษ์ผู้สังเวยชีวิตกันอยู่
แต่ระหว่างที่กำลังเผากระดาษเซ่นไหว้ก็มีองครักษ์คนหนึ่งเข้ามา เขาเดินเข้าไปหาซางเฉาจงพร้อมกระซิบรายงานว่า “ท่านอ๋อง พวกเขาจากไปอย่างราบรื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม!” ซางเฉาจงพยักหน้าเล็กน้อย โยนเงินกระดาษในมือลงกระถางไฟต่อไป พร้อมกับมองหลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างพลางกล่าวว่า “ไม่รู้เช่นกันว่าคำพูดเขาจริงหรือเท็จ แล้วก็ไม่รู้เลยว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ ถามไปก็ไม่ได้ความ พูดจาไม่มีความจริงอยู่ร่ำไป ทำให้คนฟังสับสนเดาทางไม่ได้”
หลานรั่วถิงลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “คนผู้นี้จัดการเรื่องราวดูช่ำชองชำนาญ ไหวพริบปฏิภาณมิคล้ายคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ราวกับว่าไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ตื้นลึกหนาบางอันใดของตนเลย กระหม่อมรู้สึกว่าเขาดูมิคล้ายวิญญูชนเท่าไรนัก ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดท่านตงกัวถึงรับคนเช่นนี้เป็นศิษย์ กลับเป็นท่านหญิงที่ดูค่อนข้างเชื่อใจเขา”
ซางซูชิงกล่าวว่า “เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในแต่ละด้านแล้ว หากเขาคิดไม่ซื่อกับเราจริง เกรงว่าเขาคงไม่มีทางลงมือสังหารซ่งเหยี่ยนชิง เสด็จพี่ ท่านอาจารย์ เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้พวกเราไม่มีตัวเลือกมากนัก ให้เขาไปลองดูก็ไม่มีอะไรเสียหายมากนัก”
ซางเฉาจงโยนเงินกระดาษทั้งปึกลงกระถางไฟ มองขี้เถ้าที่ลอยฟุ้งขึ้นมา ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “รอดูต่อไปแล้วกัน!”
……
ภายในตัวเมือง แสงโคมส่องสลัว เงาร่างคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากปลายถนน หยุดอยู่นอกเหลาสุราแห่งหนึ่ง เงยหน้ามองป้ายร้าน เป็นเฉินกุยซั่วนั่นเอง
พนักงานเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น “นายท่าน มากี่ท่านขอรับ?”
เฉินกุยซั่วไม่สนใจเขา ผลักเขาออกไปให้พ้นทาง เดินตรงไปที่โต๊ะคิดเงิน จ้องมองเถ้าแก่ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะ
เถ้าแก่เงยหน้ามองแวบหนึ่ง ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเอียงศีรษะส่งสัญญาณไปทางพนักงานที่เข้ามาวอแว พนักงานจึงได้แต่ต้องถอยหลบไป
ค่ำมืดแล้ว ใกล้ถึงเวลาปิดร้านแล้ว ภายในร้านยังเหลือลูกค้าอยู่โต๊ะหนึ่ง เถ้าแก่กวาดตามองไปรอบๆ แสดงสัญญาณมือเชื้อเชิญเฉินกุยซั่ว พาเฉินกุยซั่วเข้าไปยังห้องเงียบสงบห้องหนึ่งที่อยู่ในโถงด้านหลัง
เมื่อประตูปิดลง เถ้าแก่มองสำรวจเฉินกุยซั่วตั้งแต่หัวจรดเท้า เอ่ยถาม “มีเรื่องใด?”
อันที่จริงเฉินกุยซั่วเองก็ไม่ทราบว่าเถ้าแก่คนนี้เป็นใคร กระทั่งชื่อของอีกฝ่ายก็ยังไม่ทราบด้วยซ้ำ แต่ก่อนหน้านี้ตอนเขาติดตามซ่งเหยี่ยนชิงเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้ พวกเขาเคยมาติดต่อรับเสบียงจากที่นี่ เขาคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าเหลาสุราแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่จำพวกจุดนัดพบหรือไม่ก็สายสืบที่ตระกูลซ่งจัดวางไว้ในแถบนี้ ด้วยอำนาจของตระกูลซ่ง การที่มีการจัดแจงเช่นนี้ก็นับเป็นเรื่องปกติ
และในความเป็นจริง ถึงแม้ตัวเขาและสวี่อี่เทียนจะเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ แต่ภายหลังก็ค่อยๆ ถูกตระกูลซ่งซื้อตัวกลายเป็นหูตาให้เช่นกัน เมื่อมีตระกูลซ่งคอยรับรองเรื่องอนาคตให้แล้ว ต่อให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล่มสลาย พวกเขาก็ไม่กลัว เมื่อซ่งเหยี่ยนชิงถูกสังหาร เรื่องใหญ่เช่นนี้เขาจำเป็นต้องรายงานตระกูลซ่ง
“เกิดเรื่องแล้ว” เฉินกุยซั่วทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้พลางถอนหายใจ
เถ้าแก่พลันขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินกุยซั่วส่ายหน้าด้วยความหนักใจจากนั้นกล่าวว่า “ซ่งเหยี่ยนชิงศิษย์พี่ข้าสิ้นใจแล้ว”
“ห๊า!” เถ้าแก่อุทานเสียงดังด้วยความตกใจ รีบซักถาม “เรื่องเป็นมาอย่างไร?”
“พวกเราไปที่วัดหนานซาน…” เฉินกุยซั่วบอกเล่าเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด หลังจากถูกเถ้าแก่ซักถามอยู่พักหนึ่ง เขาจึงเอ่ยว่า “ท่านหาทางส่งข่าวนี้กลับเมืองหลวงที ข้ายังต้องเร่งกลับไปรายงานสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต่อ ช่วยจัดหาม้าให้ข้าสักตัวเถอะ ทางที่ดีช่วยทำหลักฐานยืนยันตัวตนให้ข้าด้วย ให้ข้าใช้สับเปลี่ยนม้าที่จุดพักม้าระหว่างทาง!”
เถ้าแก่จัดการเรื่องราวเหล่านี้อย่างรวดเร็ว เตรียมการให้อย่างว่องไว
หลังให้คนส่งเฉินกุยซั่วจากไปแล้ว เถ้าแก่ก็เข้าไปในห้องลับของเหลาสุราต่อ เขียนรายงานลับฉบับหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นจับนกตัวหนึ่งที่ลำตัวดำสนิททว่าปีกทั้งสองข้างเป็นสีทองเรืองรองออกมาจากกรง สอดจดหมายลับเข้าไปในกระบอกเล็กๆ ที่ผูกไว้บนขานก
นกชนิดนี้มีชื่อว่า ‘ปีกทอง’ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการโบยบินหรือระดับความอดทนล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น เรื่องที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือไม่ว่านกชนิดนี้จะอยู่ที่ใด มันก็สามารถค้นหาไข่ของตนจนพบได้ ไม่ว่าระยะทางจะห่างไกลเพียงใด มันก็สามารถระบุทิศทางการค้นหาได้อย่างแม่นยำ ด้วยเหตุนี้นก ‘ปีกทอง’ ตัวเมียจึงถูกนำมาเพาะเลี้ยงและฝึกฝนเพื่อใช้ส่งข่าวสาร ราคาแพงลิ่ว ส่วนนกตัวผู้กลับไม่มีความสามารถเช่นนี้ เอาไว้ใช้แค่เพียงผสมพันธุ์เท่านั้น ไม่มีค่าเท่าใด
เมื่อบรรจุจดหมายเรียบร้อยแล้ว เถ้าแก่นำผ้าผืนหนึ่งคลุม ‘ปีกทอง’ ที่อยู่ในมือไว้ รีบเดินออกมาจากห้องลับ มายังห้องหนึ่งที่ไร้ซึ่งแสงไฟ ผลักเปิดหน้าต่าง ดึงผ้าคลุมออก ก่อนจะโยน ‘ปีกทอง’ ออกไปนอกหน้าต่าง นกกระพือปีกบินจากไปอย่างรวดเร็ว หายลับไปท่ามกลางรัตติกาลอันเวิ้งว้าง
…….
รุ่งเช้าวันต่อมา พวกซางเฉาจงออกมาจากวัดหนานซาน มาเซ่นไหว้หน้าหลุมศพเหล่าองครักษ์ที่สิ้นชีพในการต่อสู้อีกครั้ง ท่าทางเศร้าหมอง
ทางนี้กำลังทำตามที่หนิวโหย่วเต้าบอกไว้ ถ่วงรั้งอยู่ที่นี่สองสามวัน
ขณะที่แสงตะวันสีทองส่องลอดป่า องครักษ์นายหนึ่งเข้ามารายงาน แจ้งให้ทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังจัดวางองครักษ์ไว้ตามรายทางเป็นระยะ ด้วยคิดที่จะสร้างช่องทางสื่อสารชั่วคราวระหว่างตัวจังหวัดกว่างอี้กับซางเฉาจงที่อยู่ทางนี้ เพื่อจะได้ส่งข่าวติดต่อกับทางนี้ได้ไม่ขาดตอน
หลักเหตุผลเข้าใจได้ง่ายยิ่ง ม้าตัวเดียวทนรับการเดินทางในระยะทางไกลๆ ไม่ไหว จำเป็นต้องสับเปลี่ยนม้าเพื่อรักษาประสิทธิภาพในการส่งข่าวเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต้าวางแผนเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว
หลานรั่วถิงได้ฟังก็ผงกหัวเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “สมราคาคุยจริงๆ คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย!”
……………………………………………
[1] หมายถึง ยามที่ทหารทำศึกสงครามย่อมมีการใช้กลอุบายหลอกข้าศึก ต่อให้เป็นอุบายร้ายกาจต่ำช้าก็ต้องทำ
[2] หมายถึง ตัดสินคนอื่นในแง่ร้ายด้วยความคิดของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว