ตอนที่ 57 คนซื่อสัตย์ภักดี
ถึงจะถูกเอ่ยขัด แต่กลับไม่อาจทำให้เฉินกุยซั่วหยุดพูดได้ เฉินกุยซั่วเอ่ยต่อว่า “ตามที่ศิษย์พี่ซ่งกล่าวไว้ ก่อนหนิวโหย่วเต้าจะลงจากเขา ผู้อาวุโสถังเคยสั่งให้คนมอบจดหมายฉบับหนึ่งแก่หนิวโหย่วเต้า ให้หนิวโหย่วเต้านำจดหมายไปส่งมอบต่อเจ้าอาวาสวัดหนานซาน พวกเราควบม้าไปตลอดทางโดยมิหยุดพักเพื่อไปดักรอที่วัดหนานซาน เฝ้ารอจนได้พบหนิวโหย่วเต้าจริงๆ ทว่าหนิวโหย่วเต้าคล้ายจะระวังตัวอยู่แต่แรกแล้ว มิได้มาด้วยตัวเอง แต่ส่งตัวปลอมมาหยั่งเชิงแทน พวกเราจับตัวปลอมไว้ บีบให้คณะเดินทางของยงผิงจวิ้นอ๋องซางเฉาจงต้องออกมาเผชิญหน้า จากนั้นศิษย์พี่ซ่งก็ใช้ป้ายคำสั่งของทางการกดดันซางเฉาจง บังคับให้มอบตัวหนิวโหย่วเต้ามา ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากพวกเราประมือกับหนิวโหย่วเต้าแล้ว ถึงได้พบว่าพลังของหนิวโหย่วเต้าลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งวัดได้ อยู่เหนือกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้มากนัก…”
“ลึกล้ำไม่อาจหยั่งวัดได้?” หลัวหยวนกงเอ่ยขัดด้วยความประหลาดใจ ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “เจ้าบอกว่าพลังของหนิวโหย่วเต้าลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งวัดได้อย่างนั้นหรือ?”
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ทุกคนต่างก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน กระทั่งถังซู่ซู่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมา สีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด
เฉินกุยซั่วพยักหน้าหงึกๆ “ศิษย์พูดความจริงขอรับ ไม่ผิดแน่ พลังของหนิวโหย่วเต้าลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งวัดได้จริงๆ! พวกเราสามคนผลัดกันเข้าไปสู้กับหนิวโหย่วเต้า ศิษย์พี่สวี่เข้าไปเป็นคนแรกถูกหนิวโหย่วเต้าซัดฝ่ามือใส่จนกระอักเลือดออกมา บาดเจ็บสาหัส จุดจบของศิษย์เองก็ไม่ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ศิษย์ใช้กระบี่โจมตี หนิวโหย่วเต้ากระทั่งกระบี่ก็มิได้ชักออกมา เตะทีเดียวก็ทำให้ศิษย์บาดเจ็บได้แล้ว ศิษย์พี่ซ่งใช้กระบี่โจมตีจากกลางอากาศ หนิวโหย่วเต้าชักกระบี่ออกมาใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็ตัดสองขาและหนึ่งแขนของศิษย์พี่ซ่งจนขาดได้! พวกเราสามคนปะทะกับเขาแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดสู้เขาได้เลยขอรับ”
ทั้งสี่คนตกตะลึงไม่น้อย หลัวหยวนกงรู้สึกยากจะเชื่อได้ “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
เฉินกุยซั่วเห็นว่าแม้แต่เขาก็ไม่เชื่อ จึงนึกกังวลในความปลอดภัยของตน รีบเอ่ยโต้แย้ง “ผู้อาวุโสหลัว ศิษย์มิได้พูดปดแม้แต่ครึ่งคำเลยขอรับ แรกเริ่มพวกเรายังคิดหาทางป้องกันยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายบนตัวเขา แต่ผู้ใดจะทราบว่าหลังจากลงมือ พวกเราสามคนแทบจะเรียกได้ว่ากลุ้มรุมโจมตี แต่กลับไม่มีปัญญาแม้กระทั่งจะหยั่งเชิงพลังของเขาด้วยซ้ำขอรับ!”
ถังซู่ซู่หัวเราะเหอะๆ “ศิษย์พี่ทั้งสอง เพียงแค่ฟังดูก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องเหลวไหลใช่หรือไม่ ต่อให้หลายปีที่ผ่านมาหนิวโหย่วเต้าจะแอบบำเพ็ญเพียรอยู่ในสวนดอกท้อมาโดยตลอดก็จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่สภาวะจะก้าวหน้าไปถึงขั้นนี้ได้ หากมิได้มาเพื่อยุแยงแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?”
เฉินกุยซั่วยกสองมือตบอกพลางเอ่ยว่า “หากศิษย์พูดเหลวไหล ขอให้ฟ้าผ่าตาย ใช่แล้ว ศิษย์เห็นวิชาที่หนิวโหย่วเต้าใช้ออกมา คล้ายจะมิใช่วิชาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เราขอรับ โดยเฉพาะวิชากระบี่นั่น ล้ำลึกอย่างยิ่ง มิใช่วิชากระบี่ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เราแน่นอนขอรับ!”
ถังซู่ซู่ยิ้มเยาะ “นี่เจ้ากำลังอุดช่องโหว่ในคำพูดของตัวเองอยู่หรือ?”
หลัวหยวนกงยกมือปรามไม่ให้นางพูดใส่ไฟอีก ก่อนจะถามเฉินกุยซั่วต่อ “จากนั้นล่ะ?”
เฉินกุยซั่วเล่าต่อว่า “หลังจากเอาชนะข้าและศิษย์พี่สวี่ได้แล้ว เขาก็ตัดแขนตัดขาศิษย์พี่ซ่ง จากนั้นให้คนพาตัวพวกเราแยกกันไปไต่สวน ศิษย์ไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น ต่อมาหลังจากถูกปล่อยตัว พวกเราพบว่าศิษย์พี่ซ่งสิ้นชีพไปแล้ว จากนั้นศิษย์พี่สวี่ก็ถูกสังหารต่อหน้าข้าไปอีกคน”
หลัวหยวนกงเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าหนิวโหย่วเต้าฝากคำพูดกลับมาใช่หรือไม่?”
เฉินกุยซั่วพยักหน้ารัวๆ “เขาเรียกศิษย์ไปหาแล้วพูดต่อหน้า บอกให้ศิษย์นำคำพูดกลับมาถ่ายทอดต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขาบอกว่าเรื่องที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กระทำเลวทรามเกินไป ไม่อยากพูดอันใดให้มากความอีก เห็นแก่อาจารย์อาตงกัว จึงไม่คิดอาฆาตเอาความ เพียงแต่นับจากนี้ไป เขากับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขาดกัน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป! เขายังบอกด้วยว่าเขาไม่สนใจตำแหน่งเจ้าสำนักเลย ไม่มีทางกลับมาที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก หวังว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะไม่ไปหาเรื่องเขา อย่าได้บีบคั้นเขาอีก มิเช่นนั้นเขาจะป่าวประกาศเรื่องที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กระทำต่อเขา ให้คนทั้งโลกเป็นผู้ตัดสินความ…เขากล่าวเช่นนี้ขอรับ ข้าสงสัยว่าศิษย์พี่ซ่งจะพูดอะไรที่ไม่สมควรพูดออกไปเสียแล้ว ทำให้เขาทราบเรื่องราวบางอย่าง”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ทุกคนที่อยู่ในตำหนักล้วนตกอยู่ในความเงียบ ถังซู่ซู่สีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย หลัวหยวนกงและซูพั่วสีหน้าตึงเครียด ไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะทราบความลับนี้เข้าแล้ว ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่กุมจุดอ่อนเอาไว้ในมือ
ถังอี๋ก้มศีรษะเล็กน้อย ภายในใจมีสารพัดอารมณ์ ความรู้สึกที่แอบขโมยของคนอื่นเขาแล้วถูกเจ้าของจับได้ช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อถูกอีกฝ่ายทราบถึงเรื่องราวเลวร้ายสารพัดอย่างของทางฝั่งนี้ นางไม่รู้เลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะมองนางอย่างไร เพื่อตำแหน่งเจ้าสำนักถึงกับยอมออกเรือนได้โดยไม่ลังเลเลยหรือ? ถึงกับวางแผนฆ่าสามีเพื่อตำแหน่งเจ้าสำนักโดยไม่ลังเลเลยใช่ไหม? ต้องเป็นสตรีชั่วช้าอำมหิตเช่นใดถึงจะกระทำเรื่องเช่นนี้ได้?
ไม่ว่าใครหากต้องมาเผชิญเรื่องราวแบบนี้ก็คงยากจะรับไหวเช่นกัน อีกฝ่ายไม่ถือสาหาความก็นับว่าใจกว้างอย่างยิ่งแล้ว! และนางก็คล้ายจะเข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงบอกว่าจะไม่กลับมาที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก เพราะเขารู้สึกผิดหวัง!
“เฮ้อ!” จู่ๆ ซูพั่วก็ถอนหายใจ ทุกคนคล้ายจะเข้าใจความรู้สึกของเขาเช่นกัน
หลัวหยวนกงมองถังซู่ซู่ด้วยสายตาเยียบเย็น “ศิษย์น้องหญิง เจ้าบอกว่าซางซูชิงมาที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์พร้อมกับระบุว่าต้องการศิษย์ของตงกัวเฮ่าหรานมิใช่หรือ? เป็นเช่นนี้จริงหรือไม่?”
บนใบหน้าของถังซู่ซู่มีรอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นมา “ศิษย์พี่ คำพูดเหลวไหลของไอ้ศิษย์ทรพีผู้นี้ พวกท่านก็เชื่อด้วยหรือ?”
หลัวหยวนกงและซูพั่วต่างเห็นแล้วว่านางไม่ยอมพูด ทว่าเรื่องราวบางอย่างไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน เพียงแค่ฟังก็แยกแยะได้แล้วว่าเท็จหรือจริง มิเช่นนั้นเมื่อครู่นี้นางคงไม่รีบร้อนอยากสังหารเฉินกุยซั่วเพื่อปิดปาก และทุกคนในที่นี้ต่างก็ทราบดีด้วยว่าเหตุใดนางถึงอยากสังหารหนิวโหย่วเต้า แต่เรื่องราวบางอย่างก็ไม่สามารถไปถามหาความผิดจากใครได้ เพราะตั้งแต่ที่ชิงเอาตำแหน่งเจ้าสำนักของหนิวโหย่วเต้ามา ทุกคนก็ได้ถูกถังซู่ซู่ลากเข้าไปมีเอี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักหรือพวกเขาสองผู้อาวุโส ต่างไม่มีใครขาวสะอาด
หลัวหยวนกงหันกลับไปมองเฉินกุยซั่ว “ยังมีอย่างอื่นอีกไหม”
เฉินกุยซั่วส่ายหน้า “มีเท่านี้ขอรับ”
หลัวหยวนกงหลับตาลง ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา “เจ้าไปเถอะ ไปที่เมืองหลวง นำข่าวร้ายนี้ไปแจ้งต่ออาจารย์อาซ่งของเจ้า ไปเถอะ!”
“ขอรับ!” เฉินกุยซั่วลุกขึ้นยืน จากนั้นประสานมือคำนับลา หันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่มีผู้ใดขัดขวางเขา เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างทราบดี ลำพังเฉินกุยซั่วคนเดียวไม่มีความกล้าขนาดนี้ได้ เห็นได้ชัดว่ามีคนหนุนหลังเขาอยู่ ส่วนจะเป็นผู้ใดนั้นไม่จำเป็นต้องเดาให้มากความเลย เฉินกุยซั่วเลือกตระกูลซ่ง กลายเป็นคนของตระกูลซ่งแล้ว ถ้าลงมือกับเฉินกุยซั่วก็จะเป็นการตบหน้าตระกูลซ่ง โดยเฉพาะเมื่อซ่งเหยี่ยนชิงตายไปแล้ว ตระกูลซ่งตั้งใจส่งเฉินกุยซั่วมาเอาเรื่อง ในเมื่อไม่มีใจภักดีต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ฝืนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เก็บไว้ก็มีแต่จะเป็นสายให้ตระกูลซ่ง ดังนั้นหลัวหยวนกงจึงปล่อยเขาไป และทราบดีว่าหลังเขาไปเมืองหลวงครานี้แล้ว มีโอกาสน้อยมากที่จะกลับมาอีก
ทว่ายามที่เฉินกุยซั่วเดินไปถึงประตู จู่ๆ เสียงของซูพั่วก็ดังขึ้นมา “เฉินกุยซั่ว ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้าจงจำไว้ให้ดี เจ้าคือศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด อย่าได้ทำเรื่องที่ผิดต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะดีที่สุด!”
เฉินกุยซั่วชะงักเท้าหันกลับมา ค้อมกายพลางกล่าวว่า “ขอรับ ศิษย์จะจำให้ขึ้นใจ ไม่มีวันลืมเด็ดขาด!” จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจะเข้าหูจริงๆ หรือไม่นั้น ไม่มีผู้ใดทราบเช่นกัน
ภายในตำหนักกลับคืนสู่ความเงียบ หลัวหยวนกงลืมตาขึ้น จ้องมองถังซู่ซู่ด้วยสายตาดุดัน “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”
เวลานี้ ถังซู่ซู่ก็ยอมรับออกมาตรงๆ แล้ว “ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทั้งนั้น หากเขายังมีชีวิตอยู่ สักวันอาจจะถูกคนหลอกใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เกิดความวุ่นวายภายในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เรา เรื่องบางอย่างไม่ควรปล่อยคารังคาซังกันต่อไป มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาวุ่นวายตามมาในภายหลัง!”
หลัวหยวนกงเดินเข้าไปหานางทีละก้าวๆ “เพื่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือ? เจ้ามองไม่ออกหรือว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เป็นผู้ใดบงการมา? ตระกูลซ่งกำลังประกาศให้เจ้ารู้ว่าพวกเขาทราบเรื่องงามหน้าที่เจ้ากระทำแล้ว ตระกูลซ่งยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตรงๆ เพื่อจะบอกเจ้าว่าพวกเขาไม่ติดค้างอันใดสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ไม่มีทางเหลือความปราณีอันใดให้อีก! ซ่งซูมีบุตรชายแค่คนเดียว เจ้าคิดว่าตระกูลซ่งจะยอมรามือหรือ? เจ้าหาเรื่องเดือดร้อนมาให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว! ”
ถังซู่ซู่สีหน้าบึ้งตึง พลันตวาดขึ้นมา “ข้าก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ผู้ใดจะทราบเล่าว่าไอ้โง่นั่นจะเป็นตัวไร้ประโยชน์ กระทั่งงานเล็กๆ เช่นนี้ก็ยังจัดการไม่ได้!”
เพียะ! หลัวหยวนกงตวัดมือตบหน้านางฉาดหนึ่ง
ถังซู่ซู่กุมหน้าถอยหลังไปสองก้าว เบิกตามองเขา “ท่านกล้า…”
หลัวหยวนกงตะโกนขัด “ตบฉาดนี้นับเป็นการสั่งสอนแทนท่านอาจารย์!”
ถังซู่ซู่เม้มปากขบกรามแน่น อึกอักคล้ายอยากจะพูด แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยถ้อยคำที่อยากพูดออกมา นางผิดจริงๆ จะพูดอะไรไปก็ผิดทั้งนั้น!
หลัวหยวนกงหันไปมองถังอี๋ “เจ้าสำนัก เราควรพิจารณาเรื่องละทิ้งฐานที่มั่นเดิมของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้วไปเสาะหาสถานที่กบดานหลบเลี่ยงปัญหาได้แล้ว หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วคงถูกทำลายล้างทั้งสำนัก หากหลบซ่อนตัวก็ยังพอรักษารากฐานบางส่วนเอาไว้ ยังมีโอกาสอยู่รอดสืบต่อไปได้!” ว่าจบก็ประสานมือคำนับ จากนั้นหันหลังสาวเท้าก้าวจากไป
ถังซู่ซู่ตวาดไล่หลังเขาไป “ไม่ได้! ที่นี่คือหัวใจสำคัญของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น จะละทิ้งไปง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด!”
ทว่าซูพั่วก็หันหลังจากไปเงียบๆ เช่นกัน เดินจากไปอย่างไม่เร่งร้อน
ถังอี๋ที่ยังอยู่ในตำหนักนิ่งเงียบไร้วาจา ถังซู่ซู่กำมือทั้งสองข้างไว้แน่น โมโหจนตัวสั่นเทิ้ม…
…….
ณ ภูเขาที่อยู่ด้านหลัง บนภูเขาหินที่โล้นเตียนลูกหนึ่ง ภายในถ้ำศิลาตรงไหล่เขาคือสถานที่ที่เว่ยตัวถูกลงโทษให้คุกเข่าหันหน้าเข้าหน้าผาเพื่อทบทวนความคิด เขากุมศีรษะไว้ สีหน้าเศร้าหมอง
ถูฮั่นเฝ้ามองอยู่ด้านข้าง ซูพั่วกำลังบอกเล่าเรื่องราวทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นในระยะนี้อย่างช้าๆ แต่มิได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตระกูลซ่งอาจจะต้องการล้างแค้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์
หลังฟังจบ เว่ยตัวพูดจาตะกุกตะกักด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “กะ…กฎถึง…ถึงจะตายตัวไปบ้าง…แต่กฎ…ก็…คือกฎ หากว่าไร้กฎ…เสื่อมกฎ…หาย…หายนะจะมาเยือน!”
ซูพั่วพยักหน้ารับ “แต่ตอนนั้นเจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่าเหล่าศิษย์ทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ไม่มีผู้ใดอยากให้เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ความอันใดขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ด้วยกำลังของเจ้าเพียงคนเดียวไม่มีทางขวางได้ ตอนนี้หนิวโหย่วเต้าระหกระเหินอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง ข้าเกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเขา เจ้ายินดีจะไปคุ้มครองเขาหรือไม่?”
เว่ยตัวลุกขึ้นมาทันที พยักหน้าหงึกๆ “ศิษย์ยะ…ยินดีขอรับ!”
ซูพั่วเผยสีหน้าชื่นชม “ดี! ข้าได้ทำการปรับกำลังของศิษย์ที่ไปทำการเฝ้าระวังแล้ว ที่ช่องเขาของภูเขาทางเหนือจะปลอดคนเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม เจ้าจงออกไปทางนั้น ใต้ศิลาขาวที่อยู่ในหุบเขาก้อนนั้นมีสัมภาระที่จัดเตรียมไว้สำหรับเจ้าอยู่ นำติดตัวไปใช้ระหว่างทางซะ”
“ขอรับ!” เว่ยตัวประสานมือรับคำสั่ง วิ่งออกไปโดยแทบจะไม่คิดให้มากความเลย
เมื่อซูพั่วและถูฮั่นเดินออกมาจากถ้ำศิลา ก็ไม่เห็นเงาร่างของเว่ยตัวแล้ว
ถูฮั่นมองซูพั่วที่อยู่ข้างกายแล้วเอ่ยขึ้นมา “ผู้อาวุโส สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำกับหนิวโหย่วเต้าเช่นนี้ ให้เว่ยตัวไปหา หนิวโหย่วเต้าไม่แน่ว่าจะซาบซึ้งในน้ำใจ”
ซูพั่วจึงอธิบายว่า “ข้าไม่ได้ต้องการให้เขามาซาบซึ้งอันใด หากแต่ตอนนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อาจเกิดเรื่องขึ้นได้ทุกเมื่อ เว่ยตัวเป็นคนซื่อสัตย์ภักดีคนหนึ่ง หากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีเรื่องเดือดร้อน เขาต้องสู้ตายจนถึงที่สุดแน่ ไม่มีทางคิดหาหนทางเอาตัวรอดแบบคนอื่น ข้าไม่อยากเห็นคนซื่อสัตย์ภักดีเช่นนี้ต้องสละชีพอย่างไร้ค่า หากข้าไม่พูดเช่นนี้เขาคงไม่มีทางหักใจทิ้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปได้” เขาหันไปมองถูฮั่นพลางเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ไปซะเถอะ รีบหาทางติดต่อกับอาจารย์คนนั้นของเจ้าที่เร้นกายอยู่ในยอดเขาภูตมารซะ หากเกิดเรื่องขึ้นกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ คงเหลือเพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขได้!”
“นี่…” ถูฮั่นเอ่ยด้วยความลังเล “อาจารย์ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขับไล่ออกจากสำนัก เกรงว่าคงไม่ยอมออกมาช่วยง่ายๆ”
ซูพั่วกล่าวว่า “เขาเห็นถังอี๋มาตั้งแต่เล็ก คาดว่าเขาก็คงไม่อยากเห็นถังอี๋ประสบอันตรายเช่นกัน สรุปแล้ว ไม่ว่าเขาจะยอมออกจากเขามาหรือไม่ก็ตามแต่ เจ้าแค่แจ้งต่อเขาไปว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กำลังเผชิญหน้ากับหายนะครั้งใหญ่ จากนั้นก็ให้เขาตัดสินใจเอาเอง”
…………………………………………………………….