ตอนที่ 76 สมคำร่ำลือ
เหยียนตั๋วพูดไม่ออก จะให้เขาขัดขวางอีกฝ่ายไม่ให้ปฏิบัติภารกิจก็คงไม่ดี เพราะถ้าอีกฝ่ายผลักความรับผิดชอบมาให้เขาทีหลังล่ะก็ เขากลับจะลำบากเอาได้
เขาไม่ได้รู้เลยว่าก่อนที่จะมาที่นี่ เซี่ยงอู่เหรินได้รับคำสั่งโดยตรงจากทางโจวโส่วเสียนมาก่อนแล้ว
และยังไม่ทันที่เหยียนตั๋วจะได้พูดอะไรอีกครั้ง ไพร่พลของเซี่ยงอู่เหรินก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ม้าศึกที่ซ่อนไว้ในหุบเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปก็เคลื่อนตัวออกมาแล้วเช่นกัน
สี่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาสำรวจเส้นทางเหินกลับไปรายงานอย่างรวดเร็ว “มีทหารดักซุ่มอยู่ในภูเขา ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด น่าจะมีไม่น้อยขอรับ!”
มีการซุ่มโจมตีจริงๆ อย่างนั้นหรือ? เฟิ่งรั่วหนานตะลึงงัน นางกุมบังเหียนในมือ สีหน้าท่าทางแปรเปลี่ยนในทันใด เหวี่ยงทวนพลางตะโกนออกมา “ตั้งขบวน!”
ทหารม้าและทหารราบจัดขบวนทัพอย่างรวดเร็ว ตั้งโล่ขึ้นมา พลธนูหยิบลูกธนูมาขึ้นสายเตรียมพร้อม
ซางเฉาจงโบกมือส่งสัญญาณ ทหารม้าของเขาก็คว้าอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อมอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ไป๋เหยาเอียงศีรษะส่งสัญญาณไปทางศิษย์ร่วมสำนักเล็กน้อย ทั้งหมดตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างรู้ใจกัน
ผ่านไปสักพักก็มองเห็นกองทัพขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากในป่าเขาที่อยู่เบื้องหน้า สำหรับผู้ที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชนแล้ว เพียงกวาดตามองก็พอจะประเมินจำนวนคร่าวๆ ได้แล้ว ไม่น้อยกว่าหมื่นคน
เซี่ยงอู่เหรินถือหอกไว้ในมือ ควบม้าพุ่งทะยานออกมาจากในป่า นำอยู่หน้าขบวน พวกผู้บำเพ็ญเพียรอย่างเหยียนตั๋วค่อยๆ ขี่ม้าตามมาอยู่ด้านหลังเขา
“เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลย ไม่หนีจริงๆ ด้วย!” เซี่ยงอู่เหรินหัวเราะฮ่าๆ จู่ๆ พลันชูทวนชี้ออกไป “ทหารม้าบุกโจมตี ทหารราบหนุนอยู่ด้านหลัง ต้องรั้งพวกเขาไว้ให้ได้!”
ทหารที่อยู่ข้างกายหยิบแตรเขาสัตว์ขึ้นมาทันที พองแก้มเป่าลมเกิดเสียงดัง ‘หวูดๆ’ ขึ้น ส่งสัญญาณโจมตี
“ฆ่า!” ผู้บัญชาการกองทหารม้าสะบัดบังเหียนตะโกนกร้าว ชั่วพริบตาเดียว อาชาศึกนับพันวิ่งห้อออกมา แปรเป็นขบวนทัพรูปหัวหอกพุ่งทะยานออกไป พื้นดินไหวสะเทือน
ด้านหลังกองทหารม้า เซี่ยงอู่เหรินควบม้าคุมกระบวนทัพเอาไว้อย่างไม่เร่งร้อน กองทหารราบจู่โจมที่ประกอบด้วยทหารเก้าพันนายติดตามรั้งท้ายขบวนโจมตี
เมื่อเห็นศัตรูเคลื่อนทัพจู่โจมเข้ามาตรงๆ คนที่ไม่เคยพบเห็นขบวนโจมตีแบบนี้ย่อมรู้สึกตื่นตระหนก ต่อให้ชาติก่อนหนิวโหย่วเต้าจะเคยผ่านโลกมามากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยเห็นฉากสงครามที่มีคนนับหมื่นต่อสู้กันด้วยอาวุธยุคโบราณมาก่อน
เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรอย่างไป๋เหยาใช้ตาทิพย์สำรวจขบวนจู่โจมของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ากำลังสังเกตอันใดอยู่
เฟิ่งรั่วหนานปรายตามองซางเฉาจง เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋อง คนที่ต้องการตัวพระองค์มากันแล้ว ศัตรูมีมากกว่าพวกเรา พระองค์กลัวหรือไม่ ถ้าจะหนีก็รีบหนีไปเสียตอนนี้ หากชักช้าจะไม่ทันการนะเพคะ”
ซางเฉาจงหันขวับ จ้องมองด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว
เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยอย่างดูแคลน “ได้กิตติศัพท์ด้านการรบของหนิงอ๋องมานานแล้ว แต่นั่นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพระองค์ ถึงคนของพระองค์จะมาขวางอยู่ด้านหน้าก็ไม่มีประโยชน์ หลบไปอยู่ด้านหลังจะดีกว่า! รีบพาคนของพระองค์ถอยออกมา อย่าเกะกะขวางทางอยู่ข้างหน้า เดี๋ยวแม่ทัพอย่างหม่อมฉันจะคอยปกป้องพระองค์เอง ไม่ต้องห่วงเพคะ!”
หนนี้มิใช่แค่ซางเฉาจงแล้ว ทหารองครักษ์ทั้งหมดล้วนมองเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน นึกถึงอดีตที่กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญสร้างชื่อเสียงก้องหล้า นั่นคือความภาคภูมิใจของพวกเขา เคยถูกคนดูแคลนเช่นนี้เสียที่ไหน จะให้สตรีนางหนึ่งมาปกป้องได้อย่างไร!
ทันทีที่หนิวโหย่วเต้าเห็นท่าทางของทหารเหล่านี้ เขาก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว แอบสบถอยู่ในใจ รีบเอ่ยกล่อมซางเฉาจงว่า “ท่านอ๋องอย่าใช้อารมณ์พ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงไม่สนใจเขา หันไปมองซางซูชิงผู้เป็นน้องสาว ส่วนตัวเองชักดาบง้าวที่ห้อยอยู่บนหลังม้าขึ้นมา
ซางซูชิงยกมือถอดหมวกม่านแพรออกแล้วโยนทิ้งไป เผยใบหน้าอัปลักษณ์ ดึงผ้าผืนหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระบนหลังม้า สะบัดกางท้าสายลม เป็นธงผืนใหญ่ที่แดงฉานดุจเปลวเพลิง ปักลายอินทรีทองที่ดูเหมือนหงส์เพลิงกำลังสยายปีก
บนผืนธงมีรูอยู่ประปราย คล้ายจะเกิดจากการถูกธนูยิง
สายตาขององครักษ์หลายร้อยนายล้วนจับจ้องไปที่ธงรบ ทรวงอกแต่ละคนกระเพื่อมขึ้นลง สภาพอารมณ์ซับซ้อน องครักษ์นายหนึ่งส่งทวนยาวด้ามหนึ่งให้
ทวนยาวถูกใช้ต่างเสาธงผูกธงรบเข้าไป ซางซูชิงยกทวนยาวขึ้น เชิดธงรบผืนนั้นขึ้นมา ปลิวไสวรับลม
กองกำลังจากจังหวัดกว่างอี้ของเฟิ่งรั่วหนานต่างมองดูธงรบขาดๆ ที่ปลิวสะบัดรับสายลมผืนนี้!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋เหยาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านอ๋อง เป้าหมายของอีกฝ่ายคือพระองค์ อย่าได้บุ่มบ่ามพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางเฉาจงไม่สนใจเขา สายตามองไปเบื้องหน้า ทัพศัตรูบุกเข้ามาใกล้พอสมควรแล้ว เขาชูดาบง้าวในมือขึ้น ส่งเสียงตะโกนว่า “ผู้ใดยินดีสละชีพ!”
กององครักษ์ที่อยู่ด้านหลังพลันตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน “เลิศล้ำห้าวหาญ!” ต่างพากันชักดาบง้าวออกมาในทันใด ไอสังหารอันแรงกล้าแผ่กระจายออกมา
เสียงตะโกนกร้าวที่โพล่งขึ้นมาโดยไม่มีวี่แววมาก่อนเช่นนี้ ทำให้ไพร่พลของทางเฟิ่งรั่วหนานสะดุ้งโหยง
ซางเฉาจงตะโกนอีกครั้ง “ผู้ใดยินดีสละชีพ!”
องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังคำรามขึ้นพร้อมกัน “ข้า!”
ซางซูชิงก็เป็นหนึ่งในคนที่ตะโกนว่า “ข้า!” ออกมา เวลานี้ไม่มีผู้ใดสนใจแล้วว่ารูปโฉมจะอัปลักษณ์หรือไม่ ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญกับหน้าตาของนางแล้ว
บัณฑิตอย่างหลานรั่วถิงก็ตะโกนออกมาเช่นกัน เขาชักกระบี่ที่หว่างเอวขึ้นมา!
ผู้ใดยินดีสละชีพ? ข้า! ประโยคถามตอบนี้ทำให้กองกำลังของจังหวัดกว่างอี้ตื่นตะลึงขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองคนบ้ากลุ่มนี้ เหล่าสมณะแห่งวัดหนานซานอย่างพวกหยวนฟางก็ตื่นตระหนกเช่นกัน ทว่าหยวนกังกลับหันขวับไปมองคนกลุ่มนี้ด้วยสีหน้าขึงขัง!
“ท่านอ๋อง…” หนิวโหย่วเต้ายังคิดจะเอ่ยทัดทาน
ซางเฉาจงดึงบังเหียนจนอาชาศึกยืนสองเท้า ยามที่เท้าหน้าทั้งสองข้างตกลงพื้นอีกครั้ง ร่างของม้าก็พุ่งทะยานออกไปเหมือนดั่งลูกศรพ้นแล่งธนู เขาขี่ม้านำทัพ กวัดแกว่งดาบง้าวนำอยู่ด้านหน้าสุด
ไม่มีเสียงตะโกนสั่งฆ่า ทว่าองครักษ์จำนวนหลายร้อยคนต่างควบม้าไล่ตามไป ไอสังหารคล้ายจะระเบิดขึ้นมาพร้อมเสียงฝีเท้าม้าที่ดังกระหึ่ม
สตรีที่ดูบอบบางอย่างซางซูชิง เงาร่างที่ดูเพรียวบางอ้อนแอ้นของสตรีนางนั้นเชิดธงรบไล่ตามหลังผู้เป็นพี่ชายไปติดๆ บัณฑิตผู้รอบรู้ทรงภูมิอย่างหลานรั่วถิงก็ไล่ตามไปด้วยเช่นกัน
เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรี! กองกำลังอันน้อยนิดของหนิงอ๋องที่เหลืออยู่กลุ่มนี้ล้วนพุ่งทะยานออกไป ราวกับได้เปล่งเสียงร่ำอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายแก่คนที่ตายและคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสตรีอ่อนแอ หรือบัณฑิตทรงปัญญา ต่างมิมีผู้ใดกลัวตาย เดินหน้าอย่างไม่ลังเล มุ่งหน้าออกไปหมายเข่นฆ่าทัพศัตรูที่มีกำลังคนมากกว่าตนเป็นเท่าตัว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ คนกลุ่มนี้คล้ายว่าสูญเสียสติปัญญาไปหมดแล้ว!
หนิวโหย่วเต้ายื่นฝักดาบในมือออกไป ขวางหยวนกังที่เกือบจะควบม้าตามไปเอาไว้! กระบวนทัพม้าศึกจำนวนมากขนาดนี้และบ้าระห่ำขนาดนี้ได้กรีฑาทัพออกไปแล้ว ภายใต้การสู้รบที่วุ่นวาย กระทั่งตัวเขาก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะรักษาตัวให้รอดได้ แล้วเขาจะปล่อยให้หยวนกังไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร?
ทันทีที่กองทหารม้ากลุ่มนี้พุ่งตัวออกไป ทั้งที่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีจำนวนคนที่น้อยกว่า แต่ความฮึกเหิมและความน่าเกรงขามที่ก่อตัวขึ้นมาในชั่วพริบตากลับกระแทกหัวใจของเฟิ่งรั่วหนานเข้าอย่างจัง นางเองก็มองออกเช่นกันว่าสิ่งใดที่เรียกว่ายอดทหาร
สายตาของเฟิ่งรั่วหนานจ้องมองบุรุษที่นำอยู่ด้านหน้ากองทหารที่บุกโจมตีเข้าไปผู้นั้น เม้มปากแน่น เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “เป็นถึงผู้บัญชาการ แต่กลับไม่รู้ว่าต้องสั่งการอย่างไร กลับนำทัพบุกจู่โจมเยี่ยงแมลงวันไร้หัว มีแต่ความกล้า แต่กลับไม่มีสมอง!” แม้ปากจะกล่าวไปเช่นนี้ ทว่านางทราบแก่ใจดี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ซางเฉาจงที่มีทหารออกศึกอยู่เพียงแค่นี้ไม่จำเป็นต้องบัญชาการอะไรแล้ว
“พระชายา ตอนนี้มิใช่เวลามาใช้อารมณ์ ยังไม่เคลื่อนทัพอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ไป๋เหยาตำหนิเสียงเข้ม
เฟิ่งรั่วหนานกลับตอบว่า “ไม่เห็นต้องรีบ ปล่อยเขาไปลองหยั่งเชิงความสามารถของอีกฝ่ายก่อนแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย พวกท่านจับตามองเขาไว้ให้ดีก็พอ!”
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ ไป๋เหยาก็ไม่พูดอะไรอีก การบัญชาทัพยามออกศึกคือสิ่งที่เฟิ่งรั่วหนานเชี่ยวชาญ
ไป๋เหยาโบกมือให้สัญญาเล็กน้อย ศิษย์ร่วมสำนักที่มีสภาวะระดับโอสถทองสองรายพุ่งฉิวออกไปทันที เป้าหมายย่อมเป็นการคุ้มครองไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับซางเฉาง
อันที่จริงแล้วในสถานการณ์ที่สองทัพเข้าห้ำหั่นกัน ผู้บำเพ็ญเพียรจะไม่เข้าร่วมการสังหารในสนามรบตรงๆ เหตุผลสำคัญนั้นเป็นเพราะว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีจำนวนน้อยไม่สามารถสร้างประโยชน์ในสนามรบได้มากนัก ต่อให้เจ้าติดตามทัพใหญ่ไปแล้วจะสังหารได้สักกี่คน? หากทัพใหญ่ไม่ได้พุ่งเข้ามาหาเจ้า เจ้าจะสกัดกั้นไว้ได้สักกี่คน? ยามที่ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารพังทลาย ต่อให้เจ้ามีพลังแกร่งกล้าแค่ไหนก็ไม่มีผู้ใดเชื่อฟังเจ้า หากผู้บำเพ็ญเพียรที่มีจำนวนน้อยติดตามทัพใหญ่เข้าร่วมสังหาร อย่างมากก็สังหารศัตรูเพิ่มขึ้นได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งสงครามมีขนาดใหญ่โตมากเท่าไร การเข้าร่วมต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรก็ยิ่งส่งผลต่อภาพรวมของสงครามน้อยลงเท่านั้น ส่วนคนที่มีสภาวะสูงส่งจนอยู่ในระดับที่สามารถอาศัยพลังของคนคนเดียวในการเปลี่ยนแปลงผลแพ้ชนะในสนามรบได้เหล่านั้นก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอยู่แล้ว พวกเขาเพียงแค่สั่งการคนบางคนให้ไปจัดการก็พอ จะเข้าร่วมการสังหารแบบนี้แล้วต้องแบกรับตราบาปในฐานะฆาตกรไปทำไม?
ก็เหมือนอย่างที่เฟิ่งรั่วหนานว่าไว้ ผู้บัญชาการมิได้มีไว้เพื่อนำทัพพุ่งเข้าไปหาศัตรู หากแต่มีไว้เพื่อบัญชาการ ส่วนหน้าที่ของฝ่าซือติดตามก็คือการดูแลอารักขาผู้บัญชาการ
ครืน! ทหารม้าของทั้งสองทัพเข้าปะทะกัน ซางเฉาจงใช้สองแขนตวัดดาบ ปัดทวนที่ศัตรูแทงเข้ามา พริบตาที่ม้าของทั้งสองฝ่ายวิ่งสวนกัน เขาชักดาบกลับมา ฟันแม่ทัพฝ่ายศัตรูจนตกจากหลังม้า สังหารปลิดชีพอย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่าเขาก็เชี่ยวชาญศึกบนหลังม้าเช่นกัน
ทหารทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะต่อสู้ พัวพันอุตลุด ม้ากระโจนคนคำราม
ซางเฉาจงกวัดแกว่งดาบง้าวฟันซ้ายฟันขวา โลหิตเปรอะหน้าเปื้อนตัว องครักษ์สองปีกซ้ายขวาตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด ไม่ปล่อยให้เขาอยู่เพียงลำพัง เมื่อมีคนถูกโจมตีจนพลัดตกม้า คนที่อยู่ด้านหลังจะเร่งม้าเข้าเสริมตำแหน่งแทนที่ทันที ทั้งเพื่อรักษาจังหวะการโจมตี แล้วก็เพื่อปกป้องซางเฉาจง
การประสานงานกันของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญเรียกได้ว่ารู้ใจกันเป็นอย่างยิ่ง บางคนถึงขั้นปกป้องความสมบูรณ์แบบของรูปขบวนไว้โดยไม่นึกเสียดายชีวิต เพื่อทำให้ขบวนโจมตีมีอานุภาพสูงสุด
ท่ามกลางเหล่าบุรุษ ซางซูชิงผู้มีรูปร่างเพรียวบางขบกรามแน่นแบกธงพาดบ่า ที่ผ่านมาแม้จะนับว่าคุ้นเคยกับทหารเป็นอย่างดี แต่นางก็เพิ่งเคยลงสนามรบอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ไม่เหมือนผู้เป็นพี่ชายที่ถูกบิดาบังคับให้ออกรบตั้งแต่เยาว์วัย หากบอกว่าในใจไม่ประหม่าและหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยก็คงจะไม่จริง แต่นางก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน
เมื่อเห็นแขนขาที่ถูกตัดขาด ศีรษะที่ถูกบั่นจนกระเด็น เสียงร้องโหยหวน ดาบทวนที่แทงสวนกันวุ่นวาย โลหิตที่สาดกระจาย แล้วก็ยังมีกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอบอวล ท่ามกลางเสียงกระทบกันของเหล็กและสัมฤทธิ์ที่แว่วขึ้นต่อเนื่อง ซางซูชิงที่ได้กลิ่นคาวเลือดฉุนจมูกเกิดความรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา ทว่าฝืนทนสะบัดหน้า กะพริบตาไล่โลหิตที่กระเด็นเข้าตา กัดฟันไล่ตามหลังพี่ชายไปติดๆ แทบจะกอดเสาธงไว้ในอ้อมแขน ถือกระบี่และบังคับบังเหียนด้วยมือข้างเดียว เผชิญกับดาบทวนที่พุ่งเข้ามาหาเป็นครั้งคราว ต้องพยายามสกัดต้านไว้ โชคดีที่ภัยคุกคามส่วนใหญ่ล้วนมีองครักษ์ที่อยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาคอยปัดป้องให้
แม้หลานรั่วถิงจะรู้เพลงกระบี่ แต่เวลานี้ก็ไม่เป็นโล้เป็นพายสักเท่าไร กระบี่ในมือฟาดฟันสะเปะสะปะ เพลงกระบี่อันน้อยนิดของเขาเรียกได้ว่าฝึกเพื่อเสริมสร้างร่างกายเท่านั้น ในเวลาปกติทำได้เพียงแค่ใช้ป้องกันตัวนิดหน่อย เมื่ออยู่ในสนามรบกลับใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ต้องยกความดีความชอบให้ทหารองครักษ์อยู่ดี
ทหารม้าของทั้งสองฝ่ายบุกตะลุยห้ำหั่นสังหารกัน ก่อนจะแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว ทหารม้าของฝ่ายที่ชูธงกองโจรเขี้ยวหมาป่าถูกไล่สังหารจนวุ่นวายปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด หลังการปะทะผ่านไป รูปขบวนก็แตกฉานซ่านเซ็น ไม่เป็นกลุ่มเป็นก้อนอีก เมื่อมองย้อนกลับไป กองกำลังของซางเฉาจงยังคงเหนียวแน่นเป็นกลุ่มเป็นก้อน ธงรบวิ่งไปทางไหน เหล่าทหารก็ติดตามไปอย่างใกล้ชิด รูปการณ์ดูราวกับว่าทหารที่มีจำนวนไม่ถึงห้าร้อยนายนี้บุกตะลุยสังหารศัตรูนับพันจนแตกกระจายได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ไพร่พลและม้าที่กองระเนระนาดบนพื้นส่วนใหญ่ก็เป็นทหารม้าใต้ร่มธงกองโจรเขี้ยวหมาป่า เข้าปะทะกันเพียงครั้งเดียว ก็จัดการศัตรูได้ราวๆ สองสามร้อยคนแล้ว ความเสียหายของไพร่พลทางฝ่ายซางเฉาดูน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ใช้คนจำนวนมากกว่าโจมตีคนจำนวนน้อยกว่า แล้วสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? เซี่ยงอู่เหรินที่นำทัพทหารราบรุกคืบติดตามมาด้านหลังรู้สึกตกใจ ยามนี้คล้ายมองเห็นธงรบที่ปลิวไสวอยู่ท่ามกลางกองทัพของซางเฉาจงได้ชัดเจนแล้วเช่นกัน เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยด้วยความตกใจระคนสงสัย “กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญหรือ? มิน่าล่ะ…”
เฟิ่งรั่วหนานที่กำลังเคลื่อนทัพรุกคืบเข้ามาก็เผลอกลั้นหายใจเช่นกัน ขบกรามกัดริมฝีปากแน่น ในใจรู้สึกตื่นตะลึง นี่คือกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญของหนิงอ๋องที่เล่าขานกันว่ายืนยงไร้พ่ายอย่างนั้นหรือ? ความรู้สึกละอายใจผุดขึ้นมาในใจรางๆ เช่นกัน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ดูหมิ่นทหารกล้าผู้เข้าท้าทายความตาย บุกตะลุยไปเบื้องหน้าอย่างองอาจเช่นนี้!
ไป๋เหยาเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมา “ได้ยินว่าในอดีตครานั้นหนิงอ๋องนำกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญรุดไปช่วยเหลือองค์ฝ่าบาท บดขยี้ทัพใหญ่แคว้นหานที่มีไพร่พลกว่าหนึ่งแสนนายได้อย่างง่ายดาย เสมือนบุกตะลุยเข้าไปในดินแดนที่ไร้ซึ่งผู้คน วันนี้ได้เห็นกับตา แข็งแกร่งสมคำร่ำลือ!”
ซางเฉาจงนำทัพตีวงวกกลับมา ควบม้านำอยู่เบื้องหน้า บุกโจมตีเข่นฆ่ากองกำลังฝ่ายศัตรูที่ถูกตีแตกฉานซ่านเซ็นอีกครั้ง โดยมีร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นแบกธงรบไว้ในอ้อมแขนตามหลังเขาไปติดๆ…
…………………………………………………….