ตอนที่ 86 ผูกมิตรด้วยเชิงกลอน
ใครบางคนอยากกินไก่ แต่ใครอีกคนมีไก่ที่ตุ๋นเสร็จเรียบร้อยวางอยู่ตรงหน้า ทว่ากลับกินไม่รู้รส เอาแต่ทอดถอนใจ
พื้นที่รกร้างห่างไกลอย่างอำเภอชางหลูไม่มีปราชญ์เรืองปัญญาอย่างแท้จริง ถึงต่อให้มี เมืองเล็กๆ เช่นนี้ก็ไม่สามารถรั้งตัวเอาไว้ได้ คงจะจากเมืองไปนานแล้ว หลินซั่งปอถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้คนหนึ่งในอำเภอ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับเทียบเชิญเช่นกัน
อาหารทั้งจานเนื้อจานผักจัดวางไว้บนโต๊ะ ทว่าหลินซั่งปอหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วก็วางลงไปอีก หยิบเทียบเชิญที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาอ่านซ้ำ คล้ายอยากจะมองจนมีดอกไม้งอกออกมา ท้ายที่สุดก็หยิบเทียบเชิญลุกจากโต๊ะ ทิ้งภรรยาและบุตรสาวไว้ที่โต๊ะอาหาร เดินไปเดินมาอยู่ในป่าไผ่นอกบ้าน
ไม่นานนักหลินฮูหยินก็ตามออกมา เอ่ยถามว่า “เทียบเชิญของท่านหญิง ผู้อื่นมิใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ไยท่านถึงกังวลเช่นนี้เล่า? ”
หลินซั่งปอส่ายหน้า ถอนใจพลางกล่าวว่า “เมืองหลวงต่างหากถึงจะเป็นสถานที่ที่มียอดบัณฑิตเลื่องชื่อและนักปราชญ์เรืองปัญญามารวมตัวกันอย่างแท้จริง ท่านหญิงอย่างนางมีสิ่งใดบ้างที่ยังไม่เคยพบพานมาก่อน ในอำเภอเล็กๆ เช่นนี้จะไปมียอดกวีอันใดได้ ผูกมิตรด้วยเชิงกลอนที่ว่า มองอย่างไรก็เป็นข้ออ้างทั้งเพ เจ้าไม่เห็นความเคลื่อนไหวของอำเภอชางหลูในช่วงนี้หรือ? คหบดีหลายตระกูลถูกยึดทรัพย์แทบจะถ้วนหน้า เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องผู้นั้นกำลังหาเงินอยู่ ครอบครัวเราค่อนข้างมั่งมี เทียบเชิญนี้ เกรงว่าคงจัดงานเลี้ยงขึ้นโดยมีจุดประสงค์แอบแฝงเป็นแน่!”
หลินฮูหยินพลันเอ่ยด้วยความกังวล “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”
หลินซั่งปอถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “จะทำอย่างไรได้เล่า? ถูกเพ่งเล็งแล้ว เกรงว่าคงหนีไม่พ้น…”
……
คฤหาสน์ตระกูลซูที่ก่อด้วยกำแพงสีขาวหลังคาสีดำ นับเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงที่มีอยู่น้อยนิดในอำเภอชางหลู ท่านผู้เฒ่าซูเต๋อคังก็นับว่าเป็นผู้มีการศึกษาที่มีชื่อเสียงในอำเภอชางหลูเช่นกัน ในอดีตเคยไปร่ำเรียนที่เมืองหลวง ได้ยินว่าเป็นสหายร่วมชั้นเรียนของผู้สำเร็จราชการคนหนึ่งในปัจจุบันนี้ อีกทั้งบรรพบุรุษก็เคยเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก กิจการของตระกูลในปัจจุบันนี้ก็นับว่าตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
ซูเต๋อคังก็เป็นหนึ่งในคณะที่ไปต้อนรับซางเฉาจงในวันนั้น เดิมทีเขานั่งรถม้าไป ผลคือไม่เพียงแต่จะได้เห็นฉากนองเลือด แต่สุดท้ายยังต้องเดินกลับอีก ผู้เฒ่าสูงวัยคนหนึ่งถูกบังคับให้เดินเป็นระยะทางไกลปานนั้น แทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ในความโชคร้ายก็มีโชคดีอยู่ เขารอดชีวิตกลับมาได้ และตระกูลซูก็นับเป็นหนึ่งในตระกูลส่วนน้อยที่ไม่ถูกตรวจยึดทรัพย์ ได้รับความตระหนกทว่าไม่ประสบอันตราย
พ่อบ้านถือเทียบเชิญไว้ เดินเป็นเพื่อนซูเต๋อคังที่ยันไม้เท้าเดินเล่นอยู่ในสวน เอ่ยถามประโยคหนึ่ง “นายท่าน ท่านหญิงผู้นี้ต้องการผูกมิตรด้วยเชิงกลอนหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ?”
ไม้เท้ากระทบพื้นดังต๊อกๆ ซูเต๋อคังแค่นเสียงหยัน “จะหมายความว่าอย่างไรได้อีก ก็แค่เข่นฆ่าก่อกรรมมากเกินไปจึงอยากซื้อใจคน จงใจเสแสร้งให้คนเห็นก็เท่านั้น!”
พ่อบ้านถามอีกครั้ง “นายท่าน เช่นนั้นจะไปหรือไม่ขอรับ?”
ซูเต๋อคังใคร่ครวญดูเล็กน้อย จากนั้นถอนใจ “ข้าเองก็ลำบากใจเช่นกัน! หากไม่ไป ชีวิตของคนทั้งตระกูลจะตกอยู่ในอันตราย! แต่ถ้าไป เห็นได้ชัดว่ายงผิงจวิ้นอ๋องผู้นี้คิดก่อกบฏ วางแผนทรยศ เมื่อทัพใหญ่ของราชสำนักมาถึง เขาจะต้องพินาศยับเยินแน่ เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลซูของข้าอาจถูกคาดโทษว่าสมคบกับกบฏ เผลอๆ อาจจะถูกคิดบัญชีไปด้วย…”
……
ช่วงพลบค่ำในอำเภอชางหลู เนื่องจากมีเทียบเชิญสิบกว่าใบถูกส่งออกไป ภายในอำเภอจึงเกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย
ภายในร้านหมึกวิเวก ลู่เซิ่งจงยืนประสานมือพูดจามีมารยาทหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดก็ไล่เพื่อนบ้านรอบข้างที่มาชมเรื่องครื้นเครงกลับไปได้
สาเหตุย่อมมาจากเทียบเชิญใบนั้น คนของร้านค้ารอบข้างเห็นเจ้าหน้าที่ของทางการขี่ม้านำเทียบเชิญมาส่งให้ลู่เซิ่งจง พอได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นเทียบเชิญจากท่านหญิง พวกเขาย่อมมามุงดูด้วยความตื่นตะลึงอยากรู้อยากเห็น
หลังจากสงบลงแล้ว ลู่เซิ่งจงก็เดินกลับไปด้านหลังโต๊ะคิดเงิน เปิดเทียบเชิญใบนั้นอ่านดูอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สอดเทียบเชิญเก็บไว้ในแขนเสื้อ ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยามที่รัตติกาลมาเยือน มีโคมไฟสองดวงแขวนอยู่หน้าประตู ทว่าเขาจุดโคมแค่ดวงเดียว
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม มีแขกเข้ามาในร้าน รั้งอยู่พักใหญ่ถึงจะจากไป
…….
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหนิวโหย่วเต้าเปิดประตู ซางซูชิงก็ยืนคอยอยู่นอกประตูตามที่คาดไว้
“อรุณสวัสดิ์ เต้าเหยี่ย”
“อรุณสวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะ ท่านหญิง”
ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ หนิวโหย่วเต้าเปิดหน้าต่างทุกบานไว้ก่อนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ จากนั้นนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างรู้หน้าที่
ซางซูชิงก็เดินไปหยุดอยู่ด้านหลังเขาอย่างเป็นธรรมชาติ เริ่มช่วยเกล้าผมให้เขา
ตามปกติแล้ว ทุกครั้งที่ซางซูชิงมาจะพูดคุยเล็กน้อย ทว่าหนนี้กลับนิ่งเงียบไม่พูดจา จนกระทั่งช่วยเกล้าผมให้หนิวโหน่วเต้าเสร็จก็ยังไม่พูดอะไร
สุดท้ายก็เป็นหนิวโหย่วเต้าที่จ้องนางผ่านคันฉ่องพลางเอ่ยถาม “ท่านหญิงไม่คิดจะถามอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงย้อนถาม “เต้าเหยี่ยจะยอมบอกข้าหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปตามตรง “อันที่จริงก็ไม่คิดปิดบังพวกพระองค์อยู่แล้ว คนที่ไปจัดการก็เป็นคนของพวกพระองค์”
ซางซูชิงเอ่ยสั้นๆ “แต่ก็ยังไม่กระจ่างอยู่ดี”
หนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยขึ้นว่า “ลำบากท่านหญิงต้องมาทำงานเช่นนี้ให้ทุกวัน กระหม่อมรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง ประเดี๋ยวขอเชิญท่านหญิงมาชมละครสักฉากดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงกะพริบตาปริบๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดี!”
……
แสงตะวันสีทองสาดส่องทั่วผืนป่า ณ เชิงเขาที่อยู่ห่างออกมาจากตัวอำเภอ ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญเมื่อวานนี้ บ้างก็นั่งเกวียนเทียมวัว บ้างก็นั่งเกี้ยว บ้างก็เดินเท้ามาเข้าร่วมงานเลี้ยง
ลู่เซิ่งจงเดินเท้ามา สวมหมวกผ้าใบหนึ่ง สายตามองสอดส่องรอบข้างเป็นระยะ เมื่อคืนเขาได้ทราบข่าวแล้ว เมื่อรู้ว่ามิได้มีเพียงตนที่ได้รับเทียบเชิญ เขาก็คลายความระแวงลง
ยามนี้ทุกคนที่ได้รับเทียบเชิญต่างรออยู่ที่ศาลาใหญ่หลังหนึ่งตรงเชิงเขา ผู้ที่มาเข้าร่วมงานถือเทียบเชิญไว้ในมือ ต่างทักทายกันและกัน ตัวอำเภอไม่ได้ใหญ่โตนัก ต่อให้ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงจะไม่รู้จักคุ้นเคยกัน แต่ส่วนมากก็เคยพบหน้าค่าตากันมาบ้าง มีเพียงลู่เซิ่งจงที่ค่อนข้างแตกต่างจากผู้อื่น ทุกคนล้วนไม่คุ้นหน้าเขา เมื่อทราบว่าเป็นเจ้าของใหม่แห่งร้านหมึกวิเวก บางคนก็อดไม่ได้ที่จะถามว่าเจ้าของร้านคนเก่าไปไหน ลู่เซิ่งจงย่อมตอบด้วยถ้อยคำที่เรียบเรียงเตรียมไว้แล้ว
ระหว่างที่รอคอย สีหน้าของทุกคนแตกต่างกันไป บางคนมีสีหน้าตึงเครียดไม่พูดไม่จา บางคนมีท่าทางเคร่งขรึม ส่วนบางคนมีสีหน้าตื่นเต้น หัวข้อสนทนาย่อมไม่พ้นไปจากการผูกมิตรด้วยเชิงกลอนในครานี้ของท่านหญิง
ลู่เซิ่งจงไม่ค่อยพูดจาเท่าไร ใบหน้าเจือรอยยิ้มจางๆ อยู่ตลอดเวลา ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความสุภาพอ่อนน้อม ฟังทุกคนพูดคุยกัน ทว่าลอบค่อนขอดอยู่ในใจ ผูกมิตรด้วยเชิงกลอนรึ? หากไม่มีกลอนบทนั้นของข้าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรือ?
เขาเองก็พอจะเข้าใจว่าเหตุใดซางซูชิงถึงจัดงานเลี้ยงผูกมิตรด้วยเชิงกลอนขึ้น ถึงอย่างไรซางซูชิงก็เป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน จะให้พบปะกับบุรุษอย่างเขาตามลำพังก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร
เพียงแต่ไม่ทราบเลยว่างานเลี้ยงผูกมิตรด้วยเชิงกลอนครั้งนี้เป็นงานเลี้ยงรูปแบบใด ทางเขาได้เตรียมกลอนอีกบทที่ซ่งเหยี่ยนชิงเคยมอบให้ไว้เอาไว้แล้ว จะต้องดึงดูดความสนใจของซางซูชิงได้มากขึ้นแน่นอน ไม่ทราบเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าจะโผล่มาด้วยหรือไม่ ถ้าโผล่มาแล้วจะมีโอกาสลงมือหรือไม่ ลงมือแล้วจะหลบหนีออกมาอย่างปลอดภัยได้หรือไม่?
ขณะที่เขาคิดไปสารพัด องครักษ์ที่สวมชุดลำลองคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในศาลา ประสานมือเอ่ยทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม “ลำบากทุกท่านต้องคอยเสียนาน บกพร่องเสียแล้ว”
“หามิได้ๆ!” มีบางคนตอบรับตามมารยาท บางคนกลับไม่ปริปากเลย
องครักษ์คนนั้นก็ไม่พิรี้พิไร ผายมือเชื้อเชิญ “ท่านหญิงให้มาเชิญตัวทุกท่าน โปรดตามข้ามา!”
ทุกคนพากันเดินออกจากศาลา แต่กลับถูกองครักษ์แจ้งให้ทราบว่าขบวนผู้ติดตามและยานพาหนะล้วนเข้าสู่หุบเขาไม่ได้ ต้องเดินเท้าเท่านั้น กล่าวว่าเป็นกฎระเบียบของที่นี่ ทุกคนต่างทำอะไรไม่ได้ เรื่องบางอย่างประชาชนธรรมดาอย่างพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์เลือก ทำได้เพียงปฏิบัติตาม
ระหว่างทาง บางคนที่มีอารมณ์สุนทรีก็ชื่นชมทิวทัศน์ไปตลอดทาง เอ่ยชมว่าเป็นพื้นที่ทำเลงามปลูกฝังยอดคน เป็นแหล่งเสือหมอบมังกรซ่อนอะไรทำนองนั้น
ผู้สูงวัยอย่างซูเต๋อคังกลับไม่มีอารมณ์สุนทรี เส้นทางเข้าสู่หุบเขาแม้จะไม่ลาดชัน อีกทั้งไม่มีบันได ทว่าเลี้ยวลดคดเคี้ยวค่อยๆ ไต่สูงขึ้นไป เท่ากับต้องปีนขึ้นเขาไปตลอดทาง เขาอายุปูนนี้แล้วย่อมเดินเหินค่อนข้างลำบาก เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ รอบกายย่อมมีผู้เยาว์ที่มีน้ำใจคอยช่วยประคองผู้อาวุโสอย่างเขา
เมื่อมาถึงด้านนอกคฤหาสน์ที่มีทหารคุ้มกันแน่นหนา ก็เท่ากับมาถึงยอดเขาสูงที่สามารถทอดสายตามองเห็นได้ทั่วอำเภอแล้ว
ขณะที่ทุกคนเข้าสู่คฤหาสน์ ข้างประตูมีชายหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ ทำให้ภายในใจของหลายๆ คนเริ่มบ่นพึมพำขึ้นมา ไม่ทราบเช่นกันว่าทำอะไรผิดมา ท่าทางดูอิดโรยเหนื่อยล้ายิ่งนัก
ทุกคนถูกพาไปยังสวนบุปผาหลักของคฤหาสน์ องครักษ์แย้มยิ้มกล่าวกับทุกคนอีกครั้ง “ทางเราได้จัดเตรียมห้องรับรองส่วนตัวให้ทุกท่านได้พักผ่อนแล้ว ภายในห้องมีอุปกรณ์เครื่องเขียนครบครัน ท่านหญิงอยากเชิญให้ทุกท่านรังสรรค์ผลงานขึ้นมา จะเป็นกาพย์กลอนเพลงศิลป์ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น กำหนดเวลาครึ่งชั่วยาม เมื่อครบครึ่งชั่วยามแล้วท่านหญิงจะมาชื่นชมบทกวีร่วมกับทุกท่านที่นี่”
สิ้นเสียงขององครักษ์ผู้นั้นก็มีข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เชิญแขกแต่ละคนให้ติดตามตนออกไปโดยไม่สนใจว่าทุกคนจะเห็นด้วยหรือไม่
มีบางคนประสานมือกล่าวกับทุกคนอย่างตื่นเต้นว่า “ทุกท่าน อีกครึ่งชั่วยามค่อยพบกันใหม่!”
ลู่เซิ่งจงตามข้ารับใช้คนหนึ่งเข้าไปในส่วนลึกของสวนบุปผา ลอบกวาดสายตามองสำรวจรอบข้างอยู่ตลอดทาง นับตั้งแต่เข้าสู่คฤหาสน์ เขาก็สังเกตสภาพแวดล้อมด้านในอยู่ตลอด
สถานที่ที่จัดไว้ให้เขาคือศาลาที่เงียบสงบหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของสวนบุปผา ข้ารับใช้นำทางเข้าไปในศาลา หลังจากรินน้ำชาให้ก็เชิญให้เขาทำตัวตามสบาย จากนั้นถอยออกไป
ลู่เซิ่งจงเหลียวมองรอบศาลา มีน้ำชาของว่างครบครัน บนโต๊ะมีอุปกรณ์เครื่องเขียนจัดวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย
เขาค่อยๆ เดินวนอยู่ในศาลา ไม่แตะต้องน้ำชาและของว่างเลย เดินไปหยุดข้างโต๊ะ รินน้ำใส่จานฝนหมึก ฝนหมึกไปช้าๆ
ในขณะที่เขาเตรียมจะคัดลอกกลอนอีกบทหนึ่งที่ซ่งเหยี่ยนชิงเคยมอบให้ พลันมีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากด้านนอก คนสี่คนเดินเข้ามา คนหนึ่งคือสตรีที่สวมหมวกม่านแพรเอาไว้ คนหนึ่งคือชายวัยกลางคนที่กอดกระบี่เอาไว้ ผมขาวราวหิมะ สีหน้าท่าทางสงบเยือกเย็น อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มที่ท่าทางเฉื่อยชาคนหนึ่ง หลังเดินเข้ามาก็ใช้กระบี่ในมือค้ำพื้นเอาไว้ ข้างกายเขามีชายหนุ่มที่รูปร่างสูงใหญ่สีหน้าเย็นชาอยู่คนหนึ่ง
เพียงกวาดสายตามองแวบเดียว ลู่เซิ่งจงก็แยกแยะตัวตนของคนทั้งสี่ได้แล้ว ยามที่ซางเฉาจงเพิ่งเข้ามาในตัวเมืองของอำเภอชางหลู ลู่เซิ่งจงที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคนก็จำหน้าหนิวโหย่วเต้าได้ ไม่คิดเลยว่าเพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ก็ได้เจอเป้าหมายเข้าเสียแล้ว แต่เขาไม่กล้าลงมือ เพราะชายผมขาวที่กอดกระบี่ไว้ผู้นั้นทำให้เขาแอบรู้สึกตึงเครียด ด้วยกลัวว่าจะถูกจับพิรุธอันใดได้
พอเห็นว่ามีคนมา ลู่เซิ่งจงก็รีบผละจากโต๊ะยาวมาคำนับ เสแสร้งวางท่าเป็นบัณฑิตได้สมจริงนัก
หนิวโหย่วเต้าแย้มยิ้มพลางแนะนำฐานะของซางซูชิง “คุณชายฟางผิงใช่หรือไม่? ท่านผู้นี้ก็คือท่านหญิง!”
ลู่เซิ่งจงรีบทำความเคารพ “ผู้น้อยน้อมพบท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงพยักหน้าทักทายเล็กน้อย คิดอยู่ในใจ ไม่ทราบว่าหนิวโหย่วเต้าเชิญตนมาชมละครอันใดกันแน่
หนิวโหย่วเต้าผายมือ เชิญซางซูชิงไปนั่งหลังโต๊ะ ตนและหยวนกังยืนประกบซ้ายขวาของซางซูชิง ส่วนไป๋เหยาก็ก้าวไปยืนด้านหลังลู่เซิ่งจงอย่างเงียบๆ ทำให้ลู่เซิ่งจงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
“ได้ยินว่าคุณชายฟางผิงแต่งกลอนได้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าแย้มยิ้มเอ่ยถามอีกครั้ง
ลู่เซิงจงกล่าวอย่างถ่อมตัว “มิกล้าๆ ผลงานหยาบกระด้างไม่ควรค่าให้กล่าวถึง”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “ข้าก็แต่งกลอนไว้เช่นกัน อยากให้คุณชายช่วยชี้แนะสักหน่อย”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยอย่างเกรงใจ “ชี้แนะคงมิกล้า ทว่ายินดีรับฟัง”
หนิวโหย่วเต้าทำทีเหมือนเรียบเรียงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มละไมร่ายกลอนออกมา “ลองได้เยือนสมุทรไซร้ นทีใดมิเทียบทาน หากได้ยลเขาอูซาน เมฆาครามล้วนหมองมัว แม้นยืนกลางบุปผชาติ ก็ยังคร้านจะเหลียวดู หนึ่งเพราะใจมุ่งสู่ อีกหนึ่งเพราะคะนึงนาง…มิทราบว่ากลอนที่ข้าแต่งบทนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“……” ลู่เซิ่งจงมองเขาด้วยความตะลึง นึกในใจ นี่คิดจะกดดันข้าเพื่อลอกงานไปเป็นของตนหรือ?
ซางซูชิงมองหนิวโหย่วเต้าอย่างงุนงงสงสัยเช่นกัน
………………………………………………