ตอนที่ 107 งานเลี้ยงยามราตรี
หยวนฟางที่ยืนเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้างพอจะทราบถึงสถานการณ์อยู่บ้าง จึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรมากนัก
แต่ฟางเจ๋อที่มาด้วยกันนั้นรับไม่ค่อยได้ มองหนิวโหย่วเต้าด้วยความตกใจระคนสงสัย นี่มันอะไรกัน? สังหารซ่งหลงอย่างนั้นหรือ?
เขาอยากลากตัวหนิวโหย่วเต้าออกไปถามให้กระจ่างยิ่งนัก เจ้ามาทำงานให้ท่านอ๋อง แต่จะสังหารราชทูตประจำแคว้นอย่างนั้นหรือ? นี่จะมาทำงานให้ท่านอ๋องหรือมาสร้างปัญหาให้ท่านอ๋องกันแน่?
ผู้ติดตามจำนวนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังจูเก่อสวินมองหน้ากัน
จูเก่อสวินกลืนน้ำลาย รีบยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง สะกดความรู้สึกตกใจ พยายามอำพรางสีหน้าของตนเอาไว้
เขาวางถ้วยน้ำชาลง ยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม “น้องหนิว เจ้าล้อเล่นอยู่กระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “มิได้ล้อเล่น ข้าพูดจริง”
จูเก่อสวินส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะพูดจริงก็ดี จะล้อเล่นก็ช่าง ข้าจะถือเสียว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ดื่มชาเถอะ!” เขาผายมือเชื้อเชิญ
“ได้! ดื่มชา!” หนิวโหย่วเต้ายกถ้วยชาขึ้นมา ประคองถ้วยชาด้วยสองมือพลางหันไปทางอีกฝ่าย แสดงถึงความเคารพ จากนั้นก็ค่อยๆ ดื่มเข้าไป มิได้พูดอะไรอีก พอดื่มหมดก็ส่งสัญญาณให้คนมารินเพิ่ม
จูเก่อสวินรออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน ถามเขาว่า “ไม่ทราบว่าพื้นเพน้องหนิวเป็นคนที่ใด อยู่แห่งหนตำบลไหน?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าว “พื้นเพเป็นชาวแคว้นเยี่ยน ยามนี้เป็นฝ่าซือติดตามใต้บังคับบัญชาของยงผิงจวิ้นอ๋องซางเฉา จง องค์หญิงใหญ่ทรงเจริญพระชันษาสี่สิบปี ท่านอ๋องมีภารกิจปลีกตัวมาไม่ได้ จึงมีบัญชาให้ข้าเป็นตัวแทนมาร่วมอวยพรพระปิตุจฉาของพระองค์แทน”
ซางเฉาจง?
จูเก่อสวินร้องอ้อคำหนึ่ง สีหน้าซับซ้อนขึ้นมาหลายส่วน นามนี้มิได้แปลกใหม่สำหรับเขา ในอดีตตอนที่ซางเฉาจงกระทำความผิดขึ้นในเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนจนถูกส่งเข้าคุกหลวง ทางแคว้นหานก็ให้ความสนใจอยู่เช่นกัน
ในอดีตหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วเคยสร้างแรงกดดันมหาศาลให้แก่แคว้นหาน ทหารม้าเกราะเหล็กหมื่นนายทำลายทัพใหญ่เรือนแสนของแคว้นหานจนแตกพ่ายยับเยิน บุกโจมตีอย่างรวดเร็วจนต้านไม่อยู่ ทำลายขวัญกำลังใจและจิตใจของทหารและประชาชนแคว้นหานอย่างรุนแรง หากหนิงอ๋องยังไม่ตาย แคว้นหานก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกโจมตีทางตอนใต้ของแคว้นเยี่ยนโดยง่ายเช่นกัน ส่วนเรื่องบุตรชายทั้งสามของหนิงอ๋อง เขาย่อมต้องทราบดี
จูเก่อสวินเอียงคอส่งสายตา ผู้ติดตามค่อยๆ ถอยออกไปทันที เขาค่อยๆ จิบชา จากนั้นถามอีกครั้งว่า “ต่างก็เป็นข้าราชบริพารของแคว้นเยี่ยนเหมือนกัน เหตุใดน้องหนิวถึงต้องการสังหารซ่งหลงเล่า?”
หนิวโหย่วเต้าบอกเล่าสั้นๆ “ข้าเพิ่งมาถึงมหานครจินโจววันนี้ ซ่งหลงก็ลงมือกับข้าแล้ว ข้าโชคดีรอดตัวมาได้ แต่พี่น้องของข้ากลับถูกเขาจับไป ต้องไปขอให้คนของทางจวนผู้ว่าการมณฑลออกหน้าให้ถึงช่วยออกมาได้ เขาต้องการสังหารข้า แล้วเหตุใดข้าจะสังหารเขาไม่ได้?”
จูเก่อสวินเอ่ยด้วยความแปลกใจ “เหตุใดอยู่ดีๆ ซ่งหลงถึงต้องการสังหารน้องหนิวเล่า?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เดิมทีตัวข้าเป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แห่งแคว้นเยี่ยน เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับซ่งเหยี่ยนชิงที่เป็นหลานชายของซ่งหลง ภายหลังข้าถูกขับออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ทว่าซ่งเหยี่ยนชิงกลับไม่ยอมปล่อยข้าไป ตามมาดักสังหารระหว่างทาง ข้าฆ่าซ่งเหยี่ยนชิงเพื่อป้องกันตัว จึงเกิดปมแค้นนี้ขึ้น!”
แววตาของผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านหลังจูเก่อสวินคนหนึ่งวูบไหวเล็กน้อย ขยับเข้าไปใกล้เขา ก้มหน้าเอ่ยกระซิบข้างหูเขา “พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ ดูเหมือนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะมีคนที่ชื่อหนิวอันใดสักอย่างอยู่ คล้ายว่าจะมีเรื่องเช่นนี้อยู่จริง ในประกาศที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แถลงต่อโลกบำเพ็ญเพียรก็มีการประณามตระกูลซ่งในเรื่องนี้อยู่ แต่กลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยว่ามีเรื่องที่ศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนักคนนั้นได้สังหารทายาทตระกูลซ่งหรือไม่ และเมื่อไม่นานมานี้ได้รับแจ้งมาว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้มาขอสวามิภักดิ์เข้ากับเซ่าเติงอวิ๋นที่เป็นผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจวของแคว้นหานเราแล้วขอรับ!”
จูเก่อสวินคล้ายกำลังใคร่ครวญดู ก่อนจะรีบเอ่ยด้วยท่าทางคล้ายทอดถอนใจว่า “มิน่าเล่า ที่แท้น้องหนิวก็เคยมีปมแค้นกับตระกูลซ่งนี่เอง ในฐานะราชทูตประจำแคว้น ซ่งหลงไม่คำนึงถึงแว่นแคว้นเป็นหลัก กลับก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นเพราะเรื่องส่วนตัว ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
“แต่จะว่าไปแล้วราชทูตนั้นนับว่าเป็นตัวแทนที่แสดงถึงเกียรติยศหน้าตาของแว่นแคว้น ไม่ว่าจะไปเยือนแคว้นใด หากไม่มีความผิดที่ชัดเจนก็ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องส่งเดช มิเช่นนั้นจะก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างสองแคว้นขึ้นมาโดยง่าย ธุระที่น้องหนิวอยากให้ข้าช่วยนี้ มันค่อนข้างฉุกละหุกไปหน่อยจริงๆ”
“มาตรว่าแคว้นหานและแคว้นเยี่ยนจะเป็นศัตรูกัน แต่การที่จู่ๆ จะไปสังหารราชทูตส่งเดช ไม่ว่าจะเป็นแคว้นไหนก็ล้วนเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากยิ่ง แม้ว่าทั้งสองแคว้นจะทำศึกสงครามกันก็ไม่อาจสังหารราชทูตได้ แล้วข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “พี่จูเก่อไม่จำเป็นต้องลงมือ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรด้วย ข้าเพียงแต่อยากให้พี่จูเก่อช่วยสร้างโอกาสให้ข้าได้ลงมือเท่านั้น!”
จูเก่อสวินเลิกคิ้ว เรื่องนี้มัน…เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาฉายแววใคร่ครวญ
ไม่นานนัก คนที่ถอยออกไปก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ เข้ามาอีกครั้ง ก้มหน้าเอ่ยกระซิบข้างหูเขา “ไปสอบถามยืนยันกับทหารยามทางฝั่งเรือนพำนักของพวกเขามาแล้วขอรับ เขาชื่อหนิวโหย่วเต้าจริงๆ ขอรับ เป็นคนที่ยงผิงจวิ้นอ๋องซางเฉาจงแห่งแคว้นเยี่ยนส่งมาร่วมอวยพรไห่หรูเยวี่ยจริงๆ ขอรับ”
จูเก่อสวินกำลังรอข่าวนี้อยู่ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่หนิวโหย่วเต้าแนะนำตัวว่าเป็นใครแล้วเขาจะเชื่อไปเช่นนั้น เขาย่อมต้องทำการตรวจสอบดูสักหน่อย
หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาก็รีบวางถ้วยชาลง ถอนใจพลางเอ่ยว่า “น้องหนิว มิใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า อันที่จริงข้าเองก็หวังดีกับเจ้านะ เจ้าลองคิดดูนะ การสังหารราชทูตประจำแคว้นมิใช่เรื่องเล็กๆ เลย แคว้นเยี่ยนไหนเลยจะยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ? เกรงว่ากระทั่งจะออกไปจากเขตมณฑลจินโจวก็ยังเป็นไปได้ยากเลย!”
“นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ตระกูลซ่งต้องการเอาชีวิตข้า ทุกครั้งข้าล้วนเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ร่ำไป หรือจะปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกได้? ยามกระต่ายร้อนรน มันยังกัดคนเลย!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยพลางชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว จากนั้นลดมือลงแล้วเอ่ยถาม “หรือพี่จูเก่อคิดว่าหากข้าไม่สังหารซ่งหลง ซ่งหลงจะยอมปล่อยให้ข้าออกจากเขตมณฑลจินโจวไปได้ง่ายๆ? ข้าติดสินใจแล้ว!”
จูเก่อสวินยิ้มออกมา มุมปากแฝงรอยยิ้มลึกซึ้งเอาไว้ ชวนให้ขบคิดพิจารณา
….
ณ เรือนแคว้นเยี่ยน ซ่งหลงก็กำลังอ่านเอกสารราชการอยู่ใต้แสงตะเกียงเช่นเดียวกัน ในเอกสารที่ส่งมาจากทางเมืองหลวงแคว้นจ้าวมีข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับทางเมืองหลวง ในฐานะราชทูตที่ประจำการอยู่ในแคว้นจ้าว เขาจำเป็นต้องให้ความสนใจกับข่าวสารในด้านนี้ทุกๆ วัน ทำการคัดกรองข่าวสาร หากเรื่องใดมีประโยชน์ก็จะส่งปีกทองไปแจ้งทางเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนทันที
ผู้ติดตามของเขาเดินเข้ามา รายงานว่า “ใต้เท้า ข้าได้ไปตรวจสอบกับคนของจวนผู้ว่าการมณฑลมาแล้วขอรับ หนิวโหย่วเต้ามิได้เกี่ยวข้องอันใดกับจวนผู้ว่าการมณฑล แต่เป็นคนที่ซางเฉาจงส่งมาร่วมอวยพรไห่หรูเยวี่ยขอรับ”
ซ่งหลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แววตายุ่งเหยิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยสั่งว่า “ไปเชิญหวงซวี่เซิงมา”
“ขอรับ!” ผู้ติดตามถอยออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง หวงซวี่เซิงเดินเข้ามา เอ่ยถามเขา “ใต้เท้ามีเรื่องใดหรือขอรับ”
ซ่งหลงเอ่ยเนิบๆ “หนิวโหย่วเต้าเป็นเพียงคนที่ซางเฉาจงส่งมาอวยพรไห่หรูเยวี่ย ไห่หรูเยวี่ยมีฐานะเป็นเจ้าบ้าน แขกที่เดินทางมาร่วมงานฉลองวันเกิดประสบเหตุในพื้นที่ของนาง นางไม่มีทางเมินเฉยได้ ย่อมต้องออกหน้าช่วยแก้ปัญหา ก่อนหน้านี้พวกเราผลีผลามไปจริงๆ”
หวงซวี่เซิงไม่พูดอะไร ทว่าแอบบ่นอยู่ในใจ ยามนี้เจ้ามีฐานะเป็นราชทูตมันก็ไม่ควรกระทำเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว
ขณะเดียวกันก็รอให้เขาพูดต่อ ทราบดีว่าเขาไม่มีทางพูดแค่เรื่องเหล่านี้ ต้องมีอะไรอย่างอื่นด้วยแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่เรียกตนมาพบ
ซ่งหลงเงยหน้าถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าด้วยฐานะของข้าไม่เหมาะจะกระทำเรื่องเช่นนี้ ทว่าอันที่จริงมันเป็นเรื่องที่ข้าสามารถถือโอกาสจัดการไปได้ หากข้าปล่อยผ่านไป กลับไปข้าคงไม่อาจมอบคำอธิบายให้น้องสามได้! น้องสามมีลูกชายคนนี้เพียงคนเดียว ได้ยินว่าหลานสะใภ้ของข้าคนนั้นร่ำไห้น้ำตานองหน้าทุกวัน หากพบนางข้าจะอธิบายเช่นไรได้? น้องหวง จับตามองหนิวโหย่วเต้าไว้ หากพบโอกาสที่เหมาะสม ให้กำจัดทิ้งทันที!”
กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน ประสานมือค้อมคำนับหวงซวี่เซิง “รบกวนด้วย!”
หวงซวี่เซิงขมวดคิ้ว สุดท้ายยังคงพยักหน้ารับ “ข้าจะทำให้เต็มที่แล้วกันขอรับ!”
ซ่งหลงยิ้มออกมา “น้องหวงวางใจได้ หลังจัดการเรื่องนี้สำเร็จ ตระกูลซ่งย่อมมีคำขอบคุณให้แน่!”
ในเวลานี้เอง ผู้ติดตามคนหนึ่งเดินเข้ามา วางเทียบเชิญใบหนึ่งลงบนโต๊ะหนังสือ วางไว้เบื้องหน้าซ่งหลงพร้อมรายงานว่า “ท่านจูเก่อสวินราชทูตแคว้นหานให้คนมาส่งเทียบเชิญขอรับ เชิญใต้เท้าไปร่วมงานเลี้ยง!”
ซ่งหลงหยิบเทียบเชิญขึ้นมาเปิดอ่านเล็กน้อย หลังอ่านจบก็ขมวดคิ้ว “จัดงานเลี้ยงเสียดึกดื่น เจ้าหนุ่มจูเก่อสวินจะเล่นเล่ห์อันใด? ทางนั้นได้บอกหรือไม่ว่าเป็นเรื่องใด?”
ผู้ติดตามเอ่ยตอบ “ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องใด บอกเพียงว่าเป็นงานเลี้ยงราตรีที่จัดขึ้นเพื่อพูดคุยสังสรรค์เท่านั้นขอรับ ราชทูตของแคว้นต่างๆ ล้วนได้รับคำเชิญทั้งสิ้น”
“ทุกคนเลยหรือ?” ซ่งหลงนึกสงสัย หากมีเพียงเขาที่ได้รับเชิญ เขาคงจะพิจารณาดูเสียหน่อยว่าเรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่พอราชทูตของแคว้นต่างๆ ล้วนได้รับคำเชิญ นี่กลับทำให้เขาตื่นตัวขึ้นมา เพื่อไม่ให้ถูกคนเหล่านี้รวมหัวกันเล่นงานเขา เขาจำเป็นต้องไปร่วมงานเพื่อดูว่ามีอะไรกันแน่!
ในฐานะราชทูตด้วยกัน เขารู้จักอุปนิสัยของคนเหล่านี้ดี ล้วนเป็นคนที่ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อผลประโยชน์ของแว่นแคว้นที่อยู่เบื้องหลัง
คนเจ้าเล่ห์พวกนี้จะรวมตัวพูดคุยสังสรรค์กันอย่างนั้นหรือ? ถ้าเขาเชื่อก็แปลกแล้ว!
เขามองเวลาที่ระบุไว้บนเทียบเชิญ ใกล้ถึงเวลาแล้ว จึงสั่งให้คนรีบเตรียมการทันที
ศาลาร้อยบุปผา ตั้งอยู่กลางสวนบุปผาที่อยู่ในตำแหน่งใจกลางของเรือนสุคนธา ตัวศาลาที่ถูกประดับประดาด้วยโคมไฟสว่างไสวพร่างพราวดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง ด้านข้างมีทะเลสาบขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
แขกยังไม่มา เจ้าภาพของงานเลี้ยงมาถึงเป็นคนแรก จูเก่อสวินยกมือไพล่หลังเดินเตร็ดเตร่เลาะริมราวกั้นทะเลสาบ นักสังคีตจำนวนหนึ่งกำลังบรรเลงพิณและเป่าขลุ่ย เสียงพิณแว่วกังวาน เสียงขลุ่ยเอื่อยคลอ ท้องนภามืดมิด
รออยู่ไม่นาน ราชทูตจากแคว้นต่างๆ ก็ทยอยมาถึงตามเวลาที่กำหนดไว้ ซ่งหลงย่อมเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ผู้ที่มาถึงก่อนเอ่ยถามจูเก่อสวินว่ามีเรื่องใด จูเก่อสวินเพียงยิ้มให้แล้วตอบว่า อีกเดี๋ยวก็รู้เอง!
เขาหันไปสบตากับถูไหวอวี้ราชทูตแคว้นซ่งเล็กน้อย
ทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว สุราอาหารเลิศรสทยอยจัดขึ้นโต๊ะ จูเก่อสวินผายมือเชิญทุกคนเข้าไปนั่งในศาลายาว
หลังจากทุกคนนั่งลงหมดแล้ว ถึงได้พบว่ายังมีที่ว่างเหลืออยู่อีกที่หนึ่ง สุยไพ่ราชทูตแคว้นเว่ยเอ่ยถาม “จูเก่อ เจ้ายังเชิญคนอื่นมาด้วยหรือ?”
‘แปะ! แปะ! แปะ!’ จูเก่อสวินปรบมือสามครา
เสียงพิณและเสียงขลุ่ยที่อยู่ด้านล่างบันไดหยุดลงทันที ณ ปลายทางอีกด้านของศาลายาวที่ทุกคนนั่งอยู่ ประตูศาลาที่ปิดไว้ถูกเปิดออก หนิวโหย่วเต้าเดินออกมา ด้านหลังมีฟางเจ๋อ แล้วก็มีหยวนฟางที่กอดกระบี่เดินกระเผลกตามออกมา
บางคนฉงน บางคนไม่เข้าใจ ทว่าซ่งหลังกลับหรี่ตาลง เหลือบมองไปทางจูเก่อสวินด้วยสายตาเย็นชา
หยวนฟางและฟางเจ๋อหยุดรออยู่ด้านนอกศาลา ไม่ได้ตามเข้าไปด้านใน ผู้ติดตามของราชทูตคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เข้าไป พวกเขาย่อมไม่ได้รับอภิสิทธิ์ที่จะเข้าไปนั่งในศาลาเช่นกัน
คณะทูตเห็นหนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามา ทว่าไม่มีผู้ใดนึกกังวลว่าเขาจะมาก่อความวุ่นวายเลย รอบข้างมียอดฝีมืออยู่มากมายปานนี้ นอกเสียจากเขาเบื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
หลังจากเดินข้ามา หยิวโหย่วเต้าก็ประสานมือเอ่ยกับทุกคนว่า “ข้าพเจ้าหนิวโหย่วเต้า รับใช้อยู่ใต้บังคับบัญชายงผิงจวิ้นอ๋องแห่งแคว้นเยี่ยน เดิมทีครั้งนี้ท่านอ๋องจะเดินทางมาอวยพรพระปิตุจฉาด้วยตัวเอง จนใจที่ติดภารกิจไม่อาจปลีกตัวมาได้ จึงส่งข้าพเจ้ามาเป็นตัวแทน การที่ได้มาพบทุกท่านที่นี่ นับเป็นวาสนาที่สั่งสมมาสามชาติของแซ่หนิว!”
ทุกคนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา จูเก่อสวินผายมือเชิญเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปนั่งลงตรงกลางระหว่างฉู่เซียงอวี้ราชทูตแคว้นจิ้นและสุยไพ่ราชทูตแคว้นเว่ย
หนิวโหย่วเต้าเพิ่งนั่งลงไป ซ่งหลงก็ยิ้มหยันพลางเอ่ยว่า “ทุกคนในที่นี่ล้วนเป็นราชทูตจากแคว้นต่างๆ เจ้านับเป็นตัวอันใดกัน คู่ควรจะอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าสีหน้าราบเรียบ ก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา ปล่อยให้เขาถากถางไป
คนอื่นๆ กำลังสังเกตการณ์อยู่
จูเก่อสวินทำท่ากดมือลงเล็กน้อย สื่อให้ซ่งหลงสงบอารมณ์ลง จากนั้นเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก่อนจะคุยเรื่องสำคัญกัน มีเรื่องเล็กน้อยบางอย่างที่ต้องชี้แจงต่อทุกท่านเล็กน้อย ความจริงแล้วระหว่างเดินทางมายังมณฑลจินโจว ข้าบังเอิญพบน้องหนิวมาก่อน ทำความรู้จักกันแล้ว น่าเสียดายที่พบกันช้าไป! ก่อนหน้านี้น้องหนิวมาหาข้า พูดถึงบุญคุณความแค้นระหว่างตนกับตระกูลซ่งแห่งแคว้นเยี่ยน เขาไม่กล้าและไม่ต้องการจะต่อสู้กับตระกูลซ่ง แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว ยังจะทำเช่นไรได้เล่า? เขามาขอร้องข้า อยากให้ข้าช่วยออกหน้าเป็นผู้ประสานรอยร้าว สลายบุญคุณความแค้นนี้ ในเมื่อทุกท่านล้วนอยู่ที่นี่แล้ว จะได้เป็นสักขีพยานให้พอดี ไม่ทราบว่าพี่ซ่งคิดเห็นอย่างไร?”
………………………………………………………………….