ตอนที่ 269 เรือนเมฆาขาว
เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ เมืองที่ตั้งอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้จึงต้องสร้างขึ้นริมแม่น้ำด้วยเช่นกัน
หากต้องการมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย เดินทางเลียบแม่น้ำสายนี้ไปตลอดย่อมไม่มีผิดพลาดแน่
ม้าวิ่งจนล้าแล้ว พบคอกเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งของชนเผ่าพื้นเมืองเข้าพอดี พวกเขาหยุดม้า ทั้งกลุ่มลงจากหลังม้า จ่ายเงินให้ จึงได้รับการต้อนรับอย่างเป็นมิตรจากเจ้าของคอก
หนิวโหย่วเต้ามองดูทุกคนเลือกสรรม้า คล้ายใจลอยไปเล็กน้อย
เรื่องทำเนียบโอสถ เขาได้รับข่าวตอนอยู่ระหว่างทางแล้ว เรื่องนี้ทำให้เขาตกใจ หอหิมะเหมันต์รู้เรื่องที่เขาสังหารจั๋วเชา หอหิมะเหมันต์ทราบได้อย่างไร?
สถานการณ์ในตอนที่ต่อสู้ฆ่าฟันกันตอนนั้น ทางฝั่งมือสังหารที่ตายก็ตายไป ที่ถูกจับก็โดนจับไว้แล้ว ไม่มีทางแพร่งพรายรายละเอียดในตอนนั้นได้
ตัวเขาเองก็ยอมไม่เที่ยวโพนทะนาไปทั่ว เช่นนั้นจุดที่ข่าวจะรั่วไหลออกไปได้ก็มีเพียงสองทางเท่านั้น หากมิใช่เพราะผู้บำเพ็ญเพียรจากสามสำนักที่อยู่ในเหตุการณ์แพร่งพรายออกไป ก็อาจเป็นไปได้ว่าหลังจากศิษย์สามสำนักส่งข่าวกลับไปให้ทางสำนักแล้ว มีคนในสำนักแพร่งพรายข้อมูลออกไป
เขาถึงขั้นสงสัยว่าในหอจันทร์กระจ่างก็น่าจะมีหูตาของหอหิมะเหมันต์อยู่ด้วย พอได้ข่าวจากทางหนึ่ง ก็ส่งต่อไปยืนยันกับอีกทางหนึ่ง เพราะข้อมูลที่หอหิมะเหมันต์ประกาศออกไปทั่วหล้าเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องล้อเล่น
เขาส่งจดหมายตอบกลับไปทันที ให้สามสำนักตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทว่าคำตอบจากสามสำนักคือ ไม่กล้าตรวจสอบ!
สำหรับคำตอบนี้ เขาก็ทำได้เพียงยอมรับไปโดยปริยาย พอจะเข้าใจถึงความหวาดหวั่นของสามสำนัก ไม่กล้าไปตรวจสอบคนของหอหิมะเหมันต์!
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโชคดี ดีที่ตอนวางแผนชิงผลตะวันชาด เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ได้เรียกใช้คนของสำนักใดเลย แต่ใช้ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักทั้งหลายที่ติดตามอยู่ข้างกาย เขาไม่เชื่อว่าหอหิมะเหมันต์จะสอดมือเข้าไปยุ่งกับผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักทุกคนในใต้หล้าได้
แต่เรื่องที่ทำให้เขากังวลคือจะมีคนของทางสำนักเขามหายานเผยแพร่ข้อมูลเรื่องที่เขาต่อสู้งัดคานกับเซ่าผิงปอออกไปหรือไม่?
เฮยหมู่ตานจูงม้าที่สวมอานเรียบร้อยแล้วเข้ามาหา เอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย ยังพะวงเรื่องทำเนียบโอสถอยู่หรือเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “หอหิมะเหมันต์ช่างร้ายกาจนัก แทรกซึมไปได้ทุกที่!”
เฮยหมู่ตายเอ่ยว่า “มันก็ไม่แปลกเจ้าค่ะ ด้วยอำนาจของหอหิมะเหมันต์แล้ว หากคิดจะวางตัวสายลับไว้ในสำนักใด ย่อมหาตัวคนที่ยินดีทำงานรับใช้ได้ไม่ยากเย็นอะไร อีกอย่างหนึ่งคือไม่แน่ว่าจะเป็นหอหิมะเหมันต์ที่สอดมือเข้าไปยุ่งกับทางสามสำนัก ทำเนียบโอสถนี้ได้รับการสนับสนุนจากยอดคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของใต้หล้าจำนวนหลายคน มิเช่นนั้นคงไม่อาจจัดทำขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงไม่แน่ว่าจะเป็นทางหอหิมะเหมันต์ที่หาข่าวมาด้วยกำลังของตน แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าได้รับมาจากกลุ่มอำนาจอื่น สรุปคือในสถานการณ์ทั่วไป ขอเพียงยังคงเล่นไปตามกฎกติกาของพวกเขา ขอเพียงไม่ไปล่วงเกินพวกเขา พวกเขาที่คอยมองดูเหล่าผู้คนจากเบื้องบนก็ไม่มีทางสอดมือเข้ามายุ่งอะไร ไม่ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอะไรเจ้าค่ะ”
ไม่อันตรายหรือ? หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้ว เรื่องนี้กลับเป็นคำเตือนที่ทำให้เขารู้ตัวขึ้นมา วันหน้าทำงานต้องระวังเข้าไว้
“หากว่าหอหิมะเหมันต์ต้องการให้เจ้ากลายเป็นสายลับของพวกเขา เจ้าจะตอบตกลงไหม?” หนิวโหย่วเต้าหันไปถาม
เฮยหมู่ตานถอนหายใจ “หากมาหาข้าจริงๆ ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ? ข้าไม่สามารถต่อต้านและไม่สามารถปฏิเสธได้! เพียงแต่ข้ารับประกันได้ว่าข้าจะแอบบอกท่านแน่นอนเจ้าค่ะ!” พูดจบก็ยิ้มให้
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เงยหน้ามองนภา วิหคบินผ่าน เขาทอดถอนใจเอ่ยว่า “ทำเนียบโอสถนี่ร้ายกาจนัก! ไม่เพียงแต่จะทำให้คนฆ่ากันเองได้ แต่ยังสร้างความหวาดหวั่นให้คนมากมายได้ด้วย ทำให้คนไม่กล้าไปแตะต้องผลประโยชน์ของคนเหล่านั้น!”
ครั้งนี้เขารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาแล้ว หลังเผชิญกับเรื่องราวในครั้งนี้ เขาไม่กล้าใช้ประโยชน์จากคนเหล่านั้นง่ายๆ อีกต่อไป พอนึกถึงเรื่องผลตะวันชาด เขาก็นึกหวาดกลัวขึ้นมา!
ทุ่งหญ้าเขียวขจีทอดตัวสูงต่ำเหมือนดั่งเกลียวคลื่น กว้างไกลไร้ขอบเขต ปีกทองตัวหนึ่งร่อนลงมาจากบนท้องฟ้า บินลงมาในมือของศิษย์จากสำนักเบญจคีรี
หลังจากถอดความจดหมายลับออกมาอย่างเร่งด่วน กงซุนปู้ก็นำมาส่งให้ เอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย มีข่าวส่งมาจากทางบ้านขอรับ”
หลังจากหนิวโหย่วเต้ารับมาอ่าน เขาก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ เอ่ยขึ้นว่า “แจ้งกลับไปหาทางบ้าน ไม่มีอะไรให้เจรจาทั้งนั้น ให้พวกเขาไสหัวกลับไปซะ!”
กงซุนปู้ถาม “จะให้ตอบไปเช่นนี้หรือขอรับ?”
เขาเองก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน สำหรับข่าวลือบางอย่าง เขาก็เพิ่งทราบวันนี้ว่าเป็นความจริง เดิมทีคนผู้นี้สมควรได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จริงๆ ด้วย
แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ เรื่องนี้เป็นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีตาแต่ไร้แววจริงๆ!
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “บอกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปสั้นๆ ว่าสายน้ำไม่หวนคืน!”
“ขอรับ!” กงซุนปู้หันหลังจากไป
เฮยหมู่ตานสงสัย เอ่ยถาม “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาหาหรือเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้ายื่นจดหมายส่งให้นาง
เฮยหมู่ตานรับไป ในเมื่อมอบให้นาง ย่อมแปลว่าให้นางอ่านได้ หลังจากอ่านจบก็อดส่ายหน้าไม่ได้
เนื้อความในจดหมายบอกว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ส่งถูฮั่นมายังจังหวัดชิงซาน นำจดหมายที่ถังอี๋เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เขียนด้วยตัวเองมาด้วย เจตนาของถังอี๋คือยินดีลงจากตำแหน่ง คืนตำแหน่งเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้หนิวโหย่วเต้า
ส่วนความผิดใดๆ ในอดีต ถังอี๋กล่าวว่านางยินดีแบกรับไว้เพียงผู้เดียว ยินดีแบกรับผลลัพธ์ใดๆ ก็ตามที่หนิวโหย่วเต้าจะมอบให้
เฮยหมู่ตานแอบทอดถอนใจ มือกุมอำนาจเจ้าสำนักไว้ แต่ยินดีจะสละอำนาจด้วยตัวเอง ซ้ำยังยินดีรับผิดชอบผลที่ตามมาด้วย อาศัยเพียงแค่เรื่องนี้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำได้!
ตอนนี้มุมมองที่นางมีต่อถังอี๋ดีขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
นางขยำจดหมายในมือ ใช้พลังค่อยๆ บดขยี้ให้กลายเป็นผงธุลี สังเกตดูสีหน้าของหนิวโหย่วเต้า ลองเอ่ยเตือนว่า “ถังอี๋นับได้ว่าเป็นโฉมงามคนหนึ่ง เต้าเหยี่ยหักใจทอดทิ้งไปเช่นนี้ได้หรือเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้าหันไปถาม “ลีลาสู้เจ้าได้หรือเปล่า?”
เฮยหมู่ตานกลอกตาใส่ทีหนึ่ง ยกมือขึ้นโปรยผงธุลีที่กลายสภาพมาจากจดหมายทิ้ง สีหน้าดูแคลน
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ ระหว่างทางน่าเบื่อหน่าย หาเรื่องสนุกมาพูดคุยบ้างก็ไม่มีเสียหาย แต่ประเด็นหลักคือไม่อยากคุยเรื่องถังอี๋กับนาง
ทว่าเฮยหมู่ตานกลับมองออกว่าเขาไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนอย่างที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอก คล้ายจะยังมีห่วงพะวงกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่
หนิวโหย่วเต้ายกมือไพล่หลังมองท้องฟ้า รู้สึกคิดไม่ตก ก่อนหน้านี้ยังพอว่า แต่หลังจากเผชิญเหตุการณ์ที่หอไร้ขอบเขต สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับมาหาถึงที่ ทำให้เขาค่อนข้างหงุดหงิด
เขาไม่มีทางกลับไปที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก แล้วก็ไม่มีความสนใจอะไรในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว ต่อให้ตัดประเด็นเรื่องความรู้สึกส่วนตัวออกไป เขาก็ไม่มีทางกลับไปเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก จะให้พาสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาอยู่กับทางซางเฉาจงก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เนื่องจากผลพวงจากเรื่องในอดีต สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จึงไม่เหมาะจะเข้ามาเกี่ยวข้องคลุกคลีกับทายาทของซางเจี้ยนปั๋วอีก มิเช่นนั้นผลลัพธ์แบบใดก็ล้วนแต่อาจจะเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้…ถูกต้อง สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำผิดต่อเขา และไม่เคยถ่ายทอดอะไรแก่เขา แต่เขากลับติดหนี้บุญคุณตงกัวเฮ่าหราน สภาวะทั้งหมดที่มีเรียกได้ว่ารับสืบทอดมาจากตงกัวเฮ่าหราน ในการต่อกรกับจั๋วเชาครานี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นแก่นพลังที่เกิดจากการหลอมรวมของสภาวะของตงกัวเฮ่าหรานที่ช่วยชีวิตเขาไว้
ตงกัวเฮ่าหรานตายไปแล้ว คิดจะทดแทนบุญคุณเกรงว่าคงทำไม่ได้แล้ว!
เรื่องราวที่พัวพันกันยุ่งเหยิงเหล่านี้ทำให้เขาค่อนข้างหงุดหงิด
…..
ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ทิวเขาเส้นหนึ่งอ้อมโค้งเป็นวงโอบล้อมพื้นที่แอ่งกระทะไว้
แม่น้ำสามสายไหลเข้าสู่แอ่งกระทะ จากนั้นผันแปรเปลี่ยนเป็นสายธารหกสายไหลลดเลี้ยวออกไป ใจกลางพื้นที่แอ่งกระทะมีเมืองใหญ่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดบนพื้นที่ทุ่งหญ้าทั้งหมด ดั่งไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งที่ส่องสว่างอยู่บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล อีกทั้งถูกผู้คนในดินแดนทุ่งหญ้าขนานนามให้เป็นเมืองแห่ง ‘ไข่มุก’
ที่นี่ก็คือเมืองหลวงของแคว้นฉี ตั้งอยู่ในพื้นที่แอ่งกระทะนี้ ทิวเขารอบข้างเป็นปราการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สะดวกต่อการป้องกันยากต่อการโจมตี!
ในเมื่อเป็นเมืองหลวงของแคว้น เช่นนั้นก็ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องความเจริญรุ่งเรืองในตัวเมืองเลย ผู้คนสัญจรไปมาตามท้องถนน บ้านเรือนเรียงรายเป็นแถว ซ้ำยังมีคฤหาสน์ส่วนตัวด้วย
ในเมืองหลวงอันคึกคักย่อมมีย่านเริงรมย์อยู่ ‘เรือนเมฆาขาว’ ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งเริงรมย์อันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี เรียกได้ว่าแหล่งละลายทรัพย์อย่างแท้จริง ลำพังมองจากกำแพงสีแดง กระเบื้องสีเขียวและคานแกะสลักเสาวาดลายที่อยู่ด้านนอกแล้ว ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความหรูหรา มีแขกมาเยือนไม่ขาดสาย โฉมงามที่แต่งตัวฉูดฉาดคอยต้อนรับน้อมส่ง แสงตะเกียงด้านในส่องสว่างอยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่มีมอดดับ
ในส่วนลึกของหอคณิกาเป็นสถานที่สงบท่ามกลางความวุ่นวาย ลานเรือนเงียบสงัด คล้ายจะหลีกลี้หนีห่างออกจากโลกปุถุชน
ท่ามกลางศาลาอาคารที่มีต้นไม้ปกคลุมร่มรื่น เสียงพิณแว่ววิเวก คล้ายจะแฝงความหดหู่ที่ยากจะสลายไปได้ไว้
ซูจ้าวในชุดชาววังนั่งบรรเลงพิณเพียงลำพัง นิ้วเรียวงามทั้งสิบขยับไหวเป็นธรรมชาติ ดวงหน้างามสะคราญ ทว่านิ่งเฉยไร้อารมณ์
เสื้อผ้าที่สวมใส่ขับเน้นทรวดทรงอรชร
หญิงวัยกลางคนร่างท้วมเล็กน้อย สวมใส่อาภรณ์งดงาม ใบหน้าผัดแป้งประทินโฉม เดินเข้ามาหาเพราะได้ยินเสียง ยืนนิ่งเงียบอยู่นอกศาลาพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในศาลา เดินไปหยุดข้างพิณพลางเอ่ยว่า “หากนายหญิงอารมณ์ไม่ดีก็อย่าดีดเลยเจ้าค่ะ”
ในฉากหน้า ซูจ้าวคือเถ้าแก่ของ ‘เรือนเมฆาขาว’ แต่คนบางกลุ่มในเมืองหลวงของแคว้นฉีที่รู้เรื่องราวกล่าวกันว่าเจ้าของตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ‘เรือนเมฆาขาว’ เป็นท่านอ๋องคนหนึ่ง ส่วนซูจ้าวก็เป็นนางห้ามที่ท่านอ๋องคนนั้นเลี้ยงดูไว้อย่างลับๆ
ส่วนหญิงวัยกลางคนร่างท้วมคนนี้เป็นแม่เล้าที่คอยออกหน้าอยู่ใน ‘เรือนเมฆาขาว’ นามว่าฉินเหมียน
ซูจ้าวทำตามที่นางว่า วางสองมือลงแล้วลุกขึ้น ไม่ได้บรรเลงต่อ เดินมายังราวกั้นของศาลา ชมมัจฉาที่อยู่ในสระ
ฉินเหมียนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนางพลางเอ่ยถาม “นายหญิงยังยึดติดเสียใจกับคำตำหนิของท่านไป๋อยู่หรือเจ้าคะ?”
“ข้าจัดการงานไม่ดีเอง อาจารย์จะตำหนิก็สมควรแล้ว ข้าน้อมรับไว้” ซูจ้าวกล่าวอย่างสงบเยือกเย็น ทว่าอารมณ์กลับยากจะปล่อยวางได้
ที่นางรู้สึกไม่สบอารมณ์มิใช่เพราะถูกอาจารย์ตำหนิด่าทอ หากแต่เป็นเพราะได้ทราบจากการวิเคราะห์ของเซ่าผิงปอ รู้แล้วว่าลิ่งหูชิวเป็นคนของหอจันทร์กระจ่างจริงๆ เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ทราบเรื่องดี แต่จงใจปิดบังตนไว้ชัดๆ หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว นี่เท่ากับอาจารย์ยังไม่ไว้ใจตนใช่หรือไม่?
ฉินเหมียนยิ้มพลางกล่าวว่า “หากนายหญิงอารมณ์ไม่ดี มิสู้ออกไปผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อยล่ะเจ้าคะ ข้ารู้จักสถานที่แห่งหนึ่งที่มีอาหารเลิศรส ให้ข้าพานายหญิงไปลิ้มลองดูดีไหมเจ้าคะ?”
ซูจ้าวเอ่ยอย่างเฉยชา “กินไปกินมาก็มีอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น ยังจะมีอาหารเลิศรสอันใดได้?”
ฉินเหมียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่นั่นต่างออกไปเจ้าค่ะ ทางตอนใต้ของเมืองมีร้านอาหารเปิดใหม่ชื่อว่า ‘ร้านเต้าหู้’ อาหารในร้านน่าสนใจยิ่งนัก ยอดเยี่ยมเกินบรรยาย!”
“ร้านเต้าหู้หรือ?” ซูจ้าวฉงน หันไปเอ่ยถาม “เหตุใดชื่อนี้ฟังดูแปลกพิกลนัก ทำไมถึงใช้ชื่อนี้ล่ะ?”
ฉินเหมียนตอบว่า “ตามคำอธิบายของคนในร้านนั้น อาหารที่ขายทำขึ้นจากถั่วเหลือง ดังนั้นจึงเรียกเต้าหู้เจ้าค่ะ”
ซูจ้าวคล้ายจะไม่เชื่อ “ใช่ว่าข้าจะไม่เคยลิ้มลองถั่วเหลืองมาก่อน ยังจะนำมาดัดแปลงเป็นอะไรอย่างอื่นได้อีก?”
ฉินเหมียนเอ่ยหัวเราะคิดคัก “นายหญิง ถูกดัดแปลงเป็นอาหารอย่างอื่นได้จริงๆ ค่ะ ขายดีอย่างมาก ตอนนี้หากอยากกินก็ต้องไปต่อแถวซื้อแล้วเจ้าค่ะ”
“โอ้!” ซูจ้าวนึกสนใจขึ้นมาหลายส่วน พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ก็ได้ ลองก็ลอง”
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงเดินออกมาจากศาลา ระหว่างที่เดินออกมา ฉินเหมียนโบกมือไปรอบๆ ชายฉกรรจ์ที่สวมชุดคล้ายข้ารับใช้สี่คนปรากฏตัวออกมา ติดตามไปด้วยทันที
ตรงประตูด้านหลังของ ‘เรือนเมฆาขาว’ เป็นคลองสายหนึ่ง ทั้งกลุ่มเดินผ่านประตูหลังออกมายังศาลาท่าน้ำ โดยสารเรือที่ตกแต่งงามวิจิตรลำหนึ่ง บนเรือแขวนโคมที่มีตราสัญลักษณ์ของเรือนเมฆาขาวไว้
นายท้ายเรืองัดพาย เรือเคลื่อนตัวออกจากศาลาท่าน้ำ ลอยโคลงเคลงไป
ซูจ้าวนั่งอยู่ในห้องโดยสารที่ตกแต่งประณีตงดงาม ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่างผ่านม่านระย้า ทว่าใจลอยไปเล็กน้อย ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่
ล่องเรืออ้อมตามเส้นทางน้ำภายในเมือง เสียเวลาไปไม่น้อยเลย ในที่สุดก็มาถึงทะเลสาบพราวแสงทางตอนใต้ของเมือง
เรือยังคงลอยตัวอยู่ในทะเลสาบ ฉินเหมียนชี้ผ่านม่านระย้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งริมทะเลสาบที่มีต้นหลิวหลายต้นบดบังอยู่ “นายหญิง ดูสิเจ้าคะ สถานที่ที่มีคนต่อแถวกันยาวเหยียดตรงนั้นก็คือร้านเต้าหู้เจ้าค่ะ ”
…………………………………………………………..