ตอนที่ 294 คนที่ร้ายกาจที่แท้จริง
เทียบกันแล้ว ตัวเขาลิ่งหูชิวเป็นเพียงผู้ชมคนหนึ่ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาย่อมเอ่ยได้อย่างไร้แรงกดดัน
แต่สำหรับตัวหนิวโหย่วเต้า หากจะไม่ให้เขาคิดมากคงเป็นไปได้ยาก ทว่าเขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าตนมีคุณสมบัติใดที่ควรค่าพอให้องค์ฮ่องเต้แคว้นฉีลงมือจัดการด้วยตัวเองเช่นนี้ หากว่าเป็นแคว้นเยี่ยนที่เล่นงานเขา เขายังพอเข้าใจได้ แต่ตนน่าจะไม่มีความแค้นใดกับแคว้นฉีหรือเปล่า
คืนนี้เขาถูกลิขิตให้ต้องนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน
……
“องค์หญิง พระองค์จะไปไหนเพคะ?”
ตะวันลอยสูง เฮ่าชิงชิงกระโดดโลดเต้นออกมาจากในเรือน ผมเปียทั่วศีรษะส่ายไหว ยามที่กำลังจะออกประตูลานเรือนไป กลับถูกเผยเหนียงจื่อออกมาขวางไว้
เฮ่าชิงชิงเชิดหน้า เอ่ยว่า “ไปหาเสด็จแม่”
เผยเหนียงจื่อเอ่ยเสียงเรียบ “ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง นับตั้งแต่นี้ไป หากไม่มีพระบัญชาจากฝ่าบาท ห้ามองค์หญิงออกจากเรือนนี้เพคะ”
เฮ่าชิงชิงเบิกตากว้าง “กักบริเวณข้าหรือ? ข้าทำอะไรผิด? ข้าจะไปหาเสด็จแม่ก็ไม่ได้หรือ?”
เผยเหนียงจื่อส่ายหน้า “ไม่ได้เพคะ!”
เฮ่าชิงชิงร้องอุทาน “เพราะอะไร?”
เผยเหนียงจื่อส่ายหน้า “หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ นี่คือบัญชาของฝ่าบาท”
เฮ่าชิงชิงเอ่ยด้วยความโกรธ “ข้าไม่เชื่อ ข้าจะไปคุยกับเสด็จพ่อให้รู้เรื่อง” นางต้องการจะฝ่าออกไป
เผยเหนียงจื่อดึงแขนนางไว้ เอ่ยว่า “ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากองค์หญิงกล้าขัดขืน ให้จับมัดได้!”
“….” เฮ่าชิงชิงพูดไม่ออก
หลังจากเกลี้ยกล่อมให้นางกลับเข้าไปได้แล้ว เผยเหนียงจื่อก็สั่งให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนางหนึ่งคอยเฝ้าเฮ่าชิงชิงไว้อย่าให้คลาดสายตา สรุปคือไม่ให้เฮ่าชิงชิงออกไปได้
เมื่อออกมาจากเรือน ก็พบกับไฉเฟย
พอไฉเฟยเห็นนางก็เอ่ยถาม “ศิษย์พี่ ได้ยินข่าวหรือยัง? เกรงว่าหนิวโหย่วเต้าจะเจอปัญหาแล้ว”
“เฮ้อ!” เผยเหนียงจื่อถอนหายใจเบาๆ “ฝ่าบาทยังคงไม่เห็นหนิวโหย่วเต้าคนนี้อยู่ในสายตาอยู่ดี หนิวโหย่วเต้าเพียงบังเอิญมาชนตออย่างฝ่าบาทเข้าเท่านั้น”
ไฉเฟยตอบอืมแล้วเอ่ยว่า “ทรงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยจริงๆ และอาจจะไม่สนใจความเป็นความตายของเขาด้วย”
เผยเหนียงจื่อช้อนตามอง “เจ้ามีความเห็นเช่นไร?”
ไฉเฟยผายมือออก “ข้าจะมีความเห็นอะไรได้ พวกเรามีความเห็นแล้วมีประโยชน์หรือ? ฝ่าบาทลงมือเช่นนี้แล้ว ผู้ใดจะเปลี่ยนแปลงได้เล่า? นอกจากฝ่าบาทจะมีรับสั่งลงมาเอง ดาบของฝ่าบาทถูกเงื้อขึ้นแล้ว ฉากนองเลือดถูกลิขิตแล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่รู้เลยว่าจะมีคนตายมากน้อยเท่าไร!”
เผยเหนียงจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “บางครั้งสภาวะของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราก็ไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ ฝ่าบาทต่างหากถึงจะเป็นคนที่ร้ายกาจที่แท้จริง!”
…..
ณ จวนเสนาบดีปฏิคม จั่วเต๋อซ่งกลับมาจากเข้าเฝ้าช่วงเช้า เฉียนโยวที่เดินกลับไปกลับมารออยู่หน้าประตูเข้ามาต้อนรับ เข้าไปด้านในพร้อมกัน ระหว่างที่เดินอยู่ข้างกายเขาก็รายงานข่าวไปด้วย
ภายในลานเรือน จั่วเต๋อซ่งชะงักเท้า เอ่ยถามว่า “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไร?”
เฉียนโยวกล่าวว่า “เพิ่งมีข่าวแพร่ออกมาช่วงเช้าวันนี้ขอรับ ใต้เท้า ท่านคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ขอรับ?”
จั่วเต๋อซ่งถามกลับ “เจ้าคิดว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้ใดจะกล้ากุข่าวใส่ความฝ่าบาทเล่า?”
เฉียนโยวพยักหน้ารับเงียบๆ “ก็ถูกขอรับ ใต้เท้ากล่าวมีเหตุผล ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง”
จั่วเต๋อซ่งมองไปทางวังหลวง “ให้ศิษย์ร่วมสำนักของเจ้าอยู่นิ่งๆ ไว้หน่อยแล้วกัน ระยะนี้พยายามอย่าเข้าไปข้องแวะกับเรื่องใด ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยแล้ว ฝ่าบาทมีเจตนาจะสังหารคน!”
เฉียนโยวกล่าวว่า “ใต้เท้าตักเตือนถูกต้องแล้ว เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะกลายเป็นเป้าในการลงดาบลงฝ่าบาท”
จั่วเต๋อซ่งหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ไม่แน่จริงย่อมไม่กล้าแผลงฤทธิ์ในต่างแดน อยากเห็นนักว่าเขาจะแผลงฤทธิ์อย่างไรต่อ…”
ณ จวนแม่ทัพใหญ่ฮูเหยียน ฮูเหยียนเวยเดินอาดๆ มุ่งไปทางประตูใหญ่
เงาร่างของฉาหู่ก้าวออกมาจากศาลาด้านข้าง ฮูเหยียนเวยเห็นก็ประสานมือคำนับ “อรุณสวัสดิ์ท่านอาหู่”
“อรุณสวัสดิ์หรือ? ท่านลองดูสิว่านี่มันยามใดแล้ว” ฉาหู่พยักเพยิดหน้าให้มองตะวันที่ลอยสูงโด่งอยู่บนฟ้า
ฮูเหยียนเวยหัวเราะแหะๆ เอ่ยไปว่า “นี่ไม่ใช่เพราะข้าบาดเจ็บอยู่หรอกหรือ” ว่าพลางชี้บั้นท้ายตน
ฉาหู่สอบถาม “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
ฮูเหยียนเวยตบอกกล่าวว่า “ถึงแม้จะมิใช่กระดูกเหล็กเอ็นทองแดง แต่อย่างน้อยก็เป็นชายชาตรีคนหนึ่ง เดินไหวแล้ว”
ฉาหู่ถาม “ไอ๊หยา แล้ววันนั้นผู้ใดกันที่เจ็บจนร้องไห้หาท่านพ่อท่านแม่ น้ำมูกน้ำตาไหลย้อย?”
“อะแฮ่มๆ!” ฮูเหยียนเวยกระแอมสองครา มองไปรอบอย่างค่อนข้างกระอักกระอ่วน กระซิบว่า “ท่านอาหู่ ท่านเห็นคนจะตายแต่ไม่ยอมช่วยก็ว่าไปอย่าง ไยต้องเอ่ยเสียดสีด้วยเล่า”
ฉาหู่กล่าวว่า “ขอรับ ไม่เสียดสีแล้ว ท่านจะไปไหนหรือ?”
ฮูเหยียนเวยพลันหัวเราะแหะๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “เพิ่งรู้จักสหายคนหนึ่ง รับปากไว้แล้วว่าจะพาเขาไปเที่ยวเรือนเมฆาขาว ท่านอาหู่ แม่นางในเรือนเมฆาขาวไม่เลวจริงๆ นะ ท่านอยากจะเปิดหูเปิดตาด้วยกันหรือไม่? ข้าเลี้ยงเอง!”
ฉาหู่เอ่ยยิ้มๆ “ดูเหมือนกิจการร้านเต้าหู้จะทำกำไรได้จริงๆ ถึงขนาดคิดจะเลี้ยงข้าแล้ว”
ฮูเหยียนเวยหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “ถึงลืมผู้ใดไปก็ไม่มีทางลืมท่านแน่ ขอเพียงต่อไปท่านอาหู่ช่วยพูดถึงข้าในแง่ดีกับทางท่านพ่อให้มากหน่อย วันหน้ามีเรื่องดีย่อมนึกถึงท่านแน่นอน”
ฉาหู่พยักหน้ารับ “อืม เรื่องออกเงินเลี้ยงข้าไม่ต้องการขอรับ ข้าค่อนข้างสนใจเรื่องเงินมากกว่า ถ้าไงให้ข้าไปเอ่ยกับท่านพ่อของท่าน ให้เขาริบหุ้นในร้านเต้าหู้ของท่านเข้าบัญชีของทางบ้านให้หมดดีไหมขอรับ?”
ฮูเหยียนเวยเบิกตากว้าง รีบเข้าไปเกาะแขนเขาไว้ เอ่ยอ้อนวอน “ท่านอาหู่ หลานชายท่านน่าเวทนามากพออยู่แล้ว ท่านอย่าได้ซ้ำเติมเลย!”
“ท่านหาใช่สตรีไม่ อย่ามาเกาะแกะเลยขอรับ” ฉาหู่ดันตัวเขาออก “ข้าต้องการสตรีเช่นไรล้วนหาได้ทั้งสิ้น ต่อให้ข้าอยากหลับนอนกับเถ้าแก่เรือนเมฆาขาว ซีย่วนต้าอ๋องก็ไม่มีทางว่าอะไร ไม่จำเป็นต้องให้ท่านเลี้ยงเลย น้ำใจของท่านข้ารับไว้ด้วยใจแล้ว ข้าไม่สนใจสถานเริงรมย์เช่นนั้น ใช่แล้ว คนที่ท่านต้องการรับรอง เป็นหนิวโหย่วเต้ากระมัง?”
ฮูเหยียนเวยยกนิ้วโป้งให้ “ปราดเปรื่อง ปิดบังอะไรท่านไม่ได้เลย”
ฉาหู่กล่าวว่า “ชะลอไปก่อนเถิดขอรับ ช่วงนี้อย่าออกไปเพ่นพ่านข้างนอก พักผ่อนอยู่ที่บ้าน ถือเสียว่าพักฟื้นอาการบาดเจ็บแล้วกัน บิดาท่านบอกมาขอรับ”
ฮูเหยียนเวยเอ่ยว่า “ไม่ได้ ข้ารับปากเขาไว้แล้ว จะผิดคำพูดได้อย่างไร อีกอย่าง อาการบาดเจ็บของข้าดีขึ้นพอสมควรแล้ว ออกไปเดินบ้างจะยิ่งหายเร็วขึ้น อ๊าก…” จู่ๆ เขาก็ร้องโหยหวนออกมา
เนื่องจากอยู่ๆ ฉาหู่ก็เตะเข้าที่บั้นท้ายเขา เตะเขาจนลอยขึ้นไปแล้วหล่นลงพื้นอีกครั้ง
ฉาหู่โบกมือเล็กน้อย คนสองคนเข้ามาหาทันที เขาชี้ฮูเหยียนเวยที่นอนโอดโอยจะเป็นจะตายอยู่บนพื้น “พาคุณชายสามกลับไปพักฟื้นซะ อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ห้ามเขาออกจากบ้าน”
“ขอรับ!” ลูกน้องทั้งสองพยุงฮูเหยียนเวยขึ้นมาจากพื้นแล้วลากตัวไปทันที
เหิงเทียนต้วนที่เดินเข้ามาหาได้ยินเสียงร้องพลันชะงักเท้าหยุดมอง
ฉาหู่เดินเข้ามา เหิงเทียนต้วนค้อมคำนับเล็กน้อย
ฉาหู่ปรายตามองด้วยสายตาเยือกเย็น กล่าวว่า “ระยะนี้อาจจะเกิดความไม่สงบขึ้น ให้สหายร่วมสำนักของเจ้าคอยสังเกตการณ์ให้ดี จับตามองในบ้านอย่างเข้มงวด หากเลินเล่อจนทำให้คนในตระกูลฮูเหยียนเกิดเรื่องขึ้น อารมณ์ของข้าไม่โสภาแน่!”
วาจานี้ไร้ซึ่งความเกรงใจ เหิงเทียนต้วนสีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย เหลือบมองฉาหู่อย่างค่อนข้างยำเกรง ค้อมกายลงนิดๆ เอ่ยว่า “จะไปจัดการให้ขอรับ”
……
ณ เรือนเมฆาขาว ภายในศาลาหลังหนึ่ง นางรำกลุ่มหนึ่งเริงรำพลิ้วไหว ซูจ้าวบรรเลงพิณให้พวกนางด้วยตัวเอง
ฉินเหมียนเดินเข้ามาตามเฉลียงทางเดิน เดินเข้าไปหยุดด้านข้างซูจ้าว โน้มตัวลงกระซิบข้างหูซูจ้าวอยู่พักหนึ่ง
เสียงพิณหยุดลงกะทันหัน ซูจ้าวพลันหันไปมองนาง จากนั้นลุกขึ้น โบกมือส่งสัญญาณให้นักบรรเลงพิณที่อยู่ด้านข้างมารับช่วงบรรเลงพิณต่อจากนาง
เสียงพิณแว่วขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองเดินมาที่มุมหนึ่ง ซูจ้าวถามด้วยความสงสัย “องค์หญิงใหญ่แคว้นฉีติดหนี้หนิวโหย่วเต้าสองล้านเหรียญทองกับม้าศึกอีกแสนตัวอย่างนั้นหรือ? หรือนี่คือเป้าหมายที่ทำให้หนิวโหย่วเต้าเดินทางอย่างเอื่อยเฉื่อยมาตลอดทางได้?”
ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ตอนนี้เรื่องนี้ยังสำคัญอีกหรือเจ้าคะ?”
ซูจ้าวยิ้มออกมา “หนิวโหย่วเต้าหาเรื่องเดือดร้อนครั้งใหญ่ใส่ตัวเช่นนี้ คงมีละครสนุกๆ ให้ชมแล้ว!”
ส่วนในเวลานี้หนิวโหย่วเต้ากำลังยืนกางแขนอยู่ในห้องนอน เฮยหมู่ตานช่วยจัดแจงเสื้อผ้าให้เขาอยู่ ต้องออกไปพบแขกสูงศักดิ์ เพื่อไม่ให้เสียมารยาทจึงต้องจัดการรูปลักษณ์ภายนอกให้เรียบร้อยสักหน่อย
“เวลานี้ ขุนนางใหญ่เหล่านั้นน่าจะกลับจากราชสำนักกันหมดแล้วกระมัง?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม
เฮยหมู่ตานตอบว่า “น่าจะกลับแล้วเจ้าค่ะ คนที่ไม่มีหน้าที่ต่อ สมควรกลับบ้านก็น่าจะกลับมากันหมดแล้ว”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดี! วันนี้พยายามไปเยี่ยมเยือนให้ได้สามสี่ที่เถอะ”
เมื่อทางนี้จัดการเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อยและกำลังจะก้าวออกประตู ก็เห็นลิ่งหูชิวรีบร้อนเดินเข้ามา ร้องเรียกแต่ไกล “น้องหนิว เกิดเรื่องแล้ว มีเรื่องแล้ว!”
หนิวโหย่วเต้าถาม “เรื่องใดกันถึงทำให้พี่ลิ่งหูตกใจเช่นนี้?”
ลิ่งหูชิวเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เรื่องเมื่อคืนนี้ กลายเป็นเรื่องแล้วจริงๆ ด้วย”
เรื่องเมื่อคืนยังคงค้างคาอยู่ในใจหนิวโหย่วเต้ามาตลอด พอได้ยิน สีหน้าก็ขรึมลงทันที “เกิดอะไรขึ้น?”
ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “เรื่องที่องค์หญิงใหญ่แคว้นฉีติดหนี้เจ้ากับเรื่องเมื่อคืนนี้ จู่ๆ เช้านี้ก็แพร่ออกแล้ว!”
“เรื่องเมื่อคืนนี้ ทางฝั่งเรามีคนรู้ไม่มาก…” หนิวโหย่วเต้ากล่าวออกไปได้ครึ่งเดียว ก็เงยหน้ามองเขาทันที “ในข่าวลือได้กล่าวถึงองค์ฮ่องเต้แคว้นฉีหรือไม่?”
ลิ่งหูชิวพยักหน้ารับ “ในข่าวลือกล่าวถึงฮ่องเต้แคว้นฉีด้วย บอกเล่าแจ่มแจ้งชัดเจนว่าฮ่องเต้แคว้นฉีใช้หนี้แทนพระธิดา มอบใบอนุญาตส่งออกม้าศึกหนึ่งแสนตัวให้เจ้า!”
หนิวโหย่วเต้ากระจ่างขึ้นมาในทันใด จู่ๆ มีข่าวแพร่ออกไป กล้าปล่อยข่าวลือขององค์ฮ่องเต้ภายในอาณาเขตขององค์ฮ่องเต้ เอ่ยถึงความไม่ได้เรื่องขององค์หญิงใหญ่ กล้าเปิดโปงเรื่องน่าอับอายภายในครอบครัวขององค์ฮ่องเต้ในเมืองหลวงแห่งนี้ ข่าวลือหลุดมาจากที่ใดยังต้องถามอีกหรือ?
ลิ่งหูชิวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง “ใบอนุญาตส่งออกม้าศึกหนึ่งแสนตัว! น้องหนิว เจ้ากลายเป็นเป้าของทุกคนแล้ว ครั้งนี้เจ้าเดือดร้อนหนักแล้ว!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างทั้งฉุนทั้งขำ “นี่องค์ฮ่องเต้แคว้นฉีมีเจตนาใดกัน ข้ามีปัญหากับบุตรสาวเขาเล็กน้อยเท่านี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว เพื่อเล่นงานข้าแล้วถึงกับยอมเผยเรื่องน่าอับอายของบุตรสาวตนเลยอย่างนั้นหรือ? เพื่อจัดการข้าแล้ว เขาต้องลำบากขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ฮึ่ย!” ลิ่งหูชิวกระทืบเท้าพลางชี้หน้าเขา “น้องหนิว เจ้าอย่าประเมินตนสูงเกินไปนักเลย ถึงตอนนี้แล้วยังนึกว่าฮ่องเต้พุ่งเป้ามาที่เจ้าอีกหรือ? แน่นอน ตอนแรกที่ข้าได้ยินข่าวก็คิดว่าพุ่งเป้ามาที่เจ้าเช่นกัน แต่พอลองคิดดูอีกที มันไม่ใช่ เป้าหมายที่เขาอยากจัดการคือผู้บำเพ็ญเพียรที่มุ่งหน้ามายังแคว้นฉีเพื่อม้าศึกเหล่านั้น ใบอนุญาตส่งออกม้าศึกหนึ่งแสนตัว นั่นมิใช่เรื่องเงินแล้ว แต่มันจะทำให้กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ตื่นตัว ทำให้คนฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิง ต้องมีคนสิ้นชีวิตมากเพียงใด ต้องเสียเลือดเสียเนื้อมากแค่ไหนถึงจะทำให้เรื่องในครั้งนี้สงบลงได้เล่า!เกรงว่าเขาคงไม่พอใจที่ผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักต่างๆ มารวมตัวกันในเมืองหลวงแห่งนี้แต่แรกแล้ว เจ้าแค่บังเอิญไปชนคมดาบของเขาเข้าเท่านั้น ทำให้เขามีข้ออ้างในการลงมือได้พอดี!”
เฮยหมู่ตานที่ขมวดคิ้วอยู่สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
“เฮือก!” หนิวโหย่วเต้าสูดลมเข้าไปด้วยความตกใจ ทันใดนั้นเอง เรื่องราวที่เมื่อคืนขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ในที่สุดก็มีคำตอบแล้ว
ในเวลานี้ เขาเพิ่งพบว่ามุมมองของตนยังคับแคบอยู่เมื่อเทียบกับองค์ฮ่องเต้ที่ก้มลงมองดูใต้หล้าจากเบื้องบน
เขาคิดเพียงว่าฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่ต้องจัดการเขา ซึ่งก็ไม่ผิดเลย ฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่ต้องจัดการเขาจริงๆ
เขานึกว่าขอเพียงทางนี้ไม่แพร่งพรายความลับออกไป ทางฝั่งฮ่องเต้ก็น่าจะไม่แพร่งพรายออกไปเช่นกัน ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยให้คนภายนอกทราบถึงความไม่เอาไหนของธิดาตน เรื่องน่าอับอายในครอบครัวไม่ควรเผยต่อภายนอก!
ผู้ใดจะคาดคิดเล่า ความจริงแล้วตนเป็นเพียงเหยื่อล่ออย่างหนึ่ง เป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญอะไรเลย เป้าหมายที่ฮ่องเต้อยากจัดการคือผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มใหญ่ ต้องการเล่นงานเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ ต้องการให้ผู้บำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วนเข่นฆ่ากันเอง
เขาสนใจเพียงผลได้ผลเสียและความเสี่ยงของทางฝั่งเขาเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเป้าหมายของฮ่องเต้จะเป็นการสังหารผู้บำเพ็ญเพียรมากมายขนาดนั้น เขาไม่เคยคิดไปในทางนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
เป็นผู้บำเพ็ญเพียรมานานขนาดนี้ เผลอซึมซับเอานิสัยโอหังเย่อหยิ่งของผู้บำเพ็ญเพียรมาโดยไม่รู้ตัว ไหนเลยจะเคยนึกถึงว่าในโลกนี้จะมีคนที่กล้าลงมือกับผู้บำเพ็ญเพียรมากมายขนาดนี้ ทว่าในความเป็นจริงกลับมีคนที่มีความกล้าถึงขนาดคิดจะกลืนกินใต้หล้าอยู่จริง มีคนที่กล้าทำเช่นนี้อยู่จริงๆ!
ดังนั้นสำหรับฮ่องเต้แล้ว เรื่องน่าอับอายในบ้านหาได้มีอยู่ไม่ ในมุมมองของคนนอก ไม่มีเรื่องน่าอับอายในบ้านอันใดเลย ล้วนเป็นแผนการขององค์ฮ่องเต้ทั้งสิ้น!
ในแง่ของส่วนได้ส่วนเสียแล้ว เฮ่าชิงชิงติดหนี้เขา ฮ่องเต้เองก็ถือโอกาสช่วยสะสางหนี้ให้ธิดาเสีย
……………………………………………………………………….