ตอนที่ 354 ของขวัญชิ้นใหญ่!
ฉินเหมียนก็เพิ่งทราบตอนนี้เช่นกันว่าคำสั่งที่ให้เว่ยฉูแกล้งตายเกี่ยวข้องกับลิ่งหูชิว เบื้องบนปิดบังนางมาโดยตลอด
ตอนนี้แม้แต่นางก็ลอบตำหนิเบื้องบนอยู่ในใจว่าเลอะเลือนไปแล้ว เว่ยฉูมีความสำคัญถึงขนาดนี้ เหตุใดถึงดึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องประเภทนี้ง่ายๆ ได้?
หารู้ไม่ว่าเบื้องบนก็ไม่ได้ต้องการทำเช่นนี้ ทว่าพยายามทำทุกวิถีทางแล้วก็ยังไม่มีประโยชน์ หนิวโหย่วเต้าทำตัวเป็นเต่าหดหัวไม่ออกไปไหน หากอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่มีทางลงมือกับหนิวโหย่วเต้าได้เลย หงซิ่วหงฝูถึงขึ้นที่ยอมเสียสละตัวเอง ใช้แผนยั่วยวนแล้วก็ยังไม่เป็นผล สุดท้ายจึงจำเป็นต้องใช้แผนรับมือไปตามสถานการณ์ให้เว่ยฉูแกล้งตาย
เดิมทีคิดว่าหลังจากล่อหนิวโหย่วเต้าออกจากเมืองและจัดการหนิวโหย่วเต้าทิ้งไปแล้ว ก็ค่อยให้เว่ยฉูใช้ข้ออ้างว่าโชคดีเอาชีวิตรอดจากเคราะห์ภัยกลับมาได้ พอถึงเวลานั้นจะอธิบายอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ถึงอย่างไรคนนอกก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่
กลับไม่มีใครคาดคิดว่าฐานะของลิ่งหูชิวจะเปิดเผยออกมาในช่วงเวลานี้ แล้วก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ราชสำนักจะสอดมือเข้ายุ่ง การเปลี่ยนแปลงของเรื่องราวรวดเร็วจนตั้งรับไม่ทัน
เมื่อดูเผินๆ แล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเล่ห์กลของหนิวโหย่วเต้า หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ลิ่งหูชิวนำหัวเว่ยฉูไปให้หนิวโหย่วเต้าแล้ว หลังจากนี้เว่ยฉูยังรอดชีวิตกลับมาได้อีกหรือ? หากว่ากลับมาปรากฏตัวจริงๆ ก็แปลว่าลิ่งหูชิวและเว่ยฉูเป็นพวกเดียวมิใช่หรือ เกรงว่าจะไม่ให้หนิวโหย่วเต้านึกสงสัยในฐานะของเว่ยฉูก็คงเป็นเรื่องยากแล้ว
เรื่องราวเลยเถิดจนกลายเป็นเช่นนี้ แต่อย่างน้อยๆ การที่ลิ่งหูชิวตกอยู่ในกำมือของราชสำนักก็ไม่ได้น่ากลัวเลย เนื่องจากลิ่งหูชิวก็ไม่ทราบถึงตัวตนของเว่ยฉู แล้วก็ไม่รู้ว่าเว่ยฉูแกล้งตาย ไม่เป็นอันตรายต่อเว่ยฉู กลับเป็นหนิวโหย่วเต้าต่างหากที่จะเป็นอันตราย
ขอเพียงหนิวโหย่วเต้ายังมีชีวิตอยู่ เว่ยฉูก็ไม่มีทางกลับมาใช้ชีวิตได้อีก!
ขอถามหน่อยเถิดว่าหอจันทร์กระจ่างจะยอมปล่อยหนิวโหย่วเต้าไปได้หรือ? ครั้งนี้จึงยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตเขาให้ได้!
หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้จะมีความลับที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเช่นนี้อยู่!
“เพราะเหตุใด?” ซูจ้าวถาม
ฉินเหมียนส่ายหน้า “นายหญิง ท่านก็ทราบกฎดี หากสมควรบอกเบื้องบนย่อมบอกให้พวกเราทราบ เมื่อไม่บอกให้พวกเราทราบ พวกเราก็ห้ามถามมากเจ้าค่ะ”
ซูจ้าวถือหวีค่อยๆ สางผม ใคร่ครวญอยู่เงียบๆ ก่อนหน้านี้เบื้องบนปรามไม่ให้นางลงมือกับหนิวโหย่วเต้า ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเบื้องบนต้องการให้ลงมืออย่างเร่งด่วน ไม่รู้ว่าสรุปแล้วมีเรื่องใดซุกซ่อนอยู่กันแน่
….
มหาสมุทรกว้างใหญ่ เดือนดาวพร่างพราว โลกาดั่งฉากมายา!
เรือใหญ่สามลำรักษาระยะห่างระหว่างกันราวยี่สิบถึงสามสิบจั้ง ล่องไปภายใต้นภาดาษหมู่ดาว!
ภายในห้องโดยสาร โคมไฟดวงหนึ่งที่แขวนอยู่แกว่งไปมา ยังมีกรงนกอีกใบที่ไหวโยกไปมาเช่นกัน
บุรุษชุดดำหน้าขาวซีดคนหนึ่งยืนยกมือไพล่หลังอยู่หน้ากรงนก จ้องมองปีกทองหลายตัวที่อยู่ในกรง ดูเหมือนปีกทองจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับชีวิตที่ต้องโคลงเคลงอยู่บนท้องทะเลเช่นนี้
ด้านข้างมีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งพลิกคว่ำอยู่ สุราอาหารหกเกลื่อนพื้น ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่สวมเพียงชุดลำลองตัวในไร้เสื้อคลุมตัวนอกนอนหมอบอยู่บนพื้น หายใจหอบถี่ สะบัดศีรษะไปมาเป็นครั้งคราว คล้ายอยากจะเรียกสติตัวเองกลับมา
สุดท้ายเขาเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่ชายชุดดำคนนั้น เค้นเสียงถามว่า “ลู่หลีจวิน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ชายชุดดำหันไปมอง ก้าวเข้าไปหาพลางยกเท้าขึ้น เหยียบลงบนหลังของเขา เพียงออกแรงเล็กน้อยก็กดเขาให้หมอบพังพาบลงไปได้ไม่ยากเย็นอะไร
ปัง! ประตูห้องเปิดออก ผู้บำเพ็ญเพียรผีสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งพยักหน้าให้พลางเอ่ยว่า “ท่านสาม มีข่าวมาจากด้านหน้าแล้ว คนของซี่ย่วนต้าอ๋องบนขบวนเรือตั้งแต่ต้นจรดปลายขบวนล้วนถูกควบคุมไว้หมดแล้ว เป็นไปอย่างราบรื่น คนของทางเราไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ขอรับ”
“ก็สมควรจะราบรื่นอยู่แล้ว!” ชายชุดคนดำจ้องมองคนที่หมอบอยู่บนพื้นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา
เพื่อจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ทางด้านนั้นไม่กล้าเรียกใช้คนมากเกินไป กลัวว่าจะไว้ใจไม่ได้ กลัวว่าจะมีข่าวหลุดรอดออกไป ส่วนใหญ่แล้วทุกๆ ขบวนเรือสามลำจะมีผู้บำเพ็ญเพียรคอยจับตาดูในอัตราหนึ่งคนต่อสามลำ อีกทั้งส่วนใหญ่ก็เป็นคนของทางเขาลับแล ประกอบกับอีกฝ่ายไม่ได้ป้องกันพวกเขาเลย ทางนี้จึงเข้ายึดขบวนเรือได้อย่างง่ายดาย
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้เรือทุกลำหักลำกลับ มุ่งหน้าย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม!”
ชายชุดดำออกคำสั่ง พลางสะบัดเท้าเตะคนที่อยู่ใต้เท้าออกไป จากนั้นเร่งเดินออกมาจากห้องโดยสาร ออกมาที่ดาดฟ้าเรือ เงยหน้ามองจันทรา ยืนรับลมอยู่ตรงหัวเรือ
เรือบรรทุกทั้งสามลำเริ่มปรับใบเรือ ค่อยๆ หักเรือเลี้ยวกลับบนท้องทะเลอันกว้างใหญ่
หลังจากแน่ใจแล้วว่ากำลังหักเลี้ยวกลับไป ชายชุดดำก็หันไปเอ่ยสั่งว่า “แขวนโคมไฟแถวหนึ่งไว้ตรงกราบเรือฝั่งที่หันเข้าหาชายฝั่ง!”
“ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรผีที่ติดตามอยู่ด้านข้างไปทำตามที่สั่งทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง โคมไฟแถวหนึ่งที่ถูกจุดสว่างไสวแขวนอยู่ใต้ชายคาบริเวณกราบเรือ
ผู้บำเพ็ญเพียรผีรายนั้นกลับมารายงาน “เรียบร้อยแล้วขอรับ ท่านสาม สรุปแล้วพวกเราย้อนไปย้อนมาเช่นนี้เพื่ออะไรกันแน่ขอรับ? ตอนนี้พวกเราควบคุมคนของซีย่วนต้าอ๋องไว้ เช่นนี้จะไม่เกิดเรื่องขึ้นหรือขอรับ?”
ชายชุดดำกล่าว “นายหญิงสั่งให้พวกเราทำเช่นนี้ ท่านจะต้องมีเหตุผลของท่านอยู่แน่นอน จัดการตามที่สั่งก็พอ!”
“ท่านสาม ท่านดูสิขอรับ!” จู่ๆ ผู้บำเพ็ญเพียรผีคนนั้นก็ชี้ไปทางผิวทะเลที่อยู่ทางด้านหนึ่ง มองเห็นแสงไฟสามจุดปรากฏบนผิวทะเล
ชายชุดดำหมุนตัวเดินไปที่กราบเรือ ทอดสายตามองอยู่สักพัก ก่อนจะหันไปเอ่ยสั่งทันทีว่า “ดับตะเกียงแถวนั้นซะ”
ไม่นานนัก ตะเกียงที่แขวนอยู่ใต้ชายคากราบเรือแถวนั้นก็ถูกดับลง
จากนั้นแสงไฟสามจุดบนผิวทะเลก็ดับลงเช่นกัน
“ท่านสาม มีคนเข้ามาใกล้ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยเตือนขึ้นมา
“ไม่ต้องตระหนกไป พวกเดียวกัน!” ชายชุดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ผ่านไปสักพัก มีเงาคนกลุ่มหนึ่งเหินทะยานเข้ามา คนส่วนใหญ่หยุดรออยู่บนผิวทะเลที่อยู่ห่างออกไป มีคนเพียงสิบกว่าคนที่ทะยานขึ้นไปบนอากาศแล้วร่อนลงมา พวกเฮยหมู่ตานและกงซุนปู้ร่อนลงบนหัวเรือ
“ท่านใดคือลู่หลีจวิน?” เฮ่ยหมูตานถาม
“ข้าเอง!” ชายชุดดำตอบรับ เอ่ยถาม “เจ้าคือเฮยหมู่ตานกระมัง”
เฮยหมู่ตานประสานมือคำนับ เอ่ยถามว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
ลู่หลีจวินตอบว่า “ราบรื่นดี ควบคุมคนไว้หมดแล้ว ไม่มีข่าวหลุดออกไปแน่!”
เฮยหมู่ตานถามต่อ “สินค้าปลอดภัยดีกระมัง?”
ลู่หลีจวินยกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย พาคนทั้งกลุ่มเข้าไปในห้องโดยสาร จากนั้นเดินลงบันไดไปยังท้องเรือ
ท้องเรือจุดตะเกียงส่องสลัว คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเฉพาะของโรงเลี้ยงสัตว์
ภายใต้แสงตะเกียงที่ส่ายวูบไหว ภายในคอกไม้แต่ละคอก ม้าจำนวนมากถูกกั้นเอาไว้ มีเสียงพ่นลมหายใจของม้าแว่วขึ้นมาเป็นครั้งคราว
หากไม่ป้อนหญ้าในยามราตรี ม้าไม่มีทางอ้วนพีสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีคนเลี้ยงม้าที่ติดตามมากับเรือกำลังขนหญ้ามาแจกจ่ายให้ม้าทุกตัวอยู่ อีกทั้งมีคนที่กำลังทำความสะอาดมูลม้าอยู่ด้วย
อูเซ่าฮวนผู้อาวุโสของสำนักเซียนสถิตเร่งฝีเท้าเดินฉิวเข้าไปตามทางที่กั้นเป็นคอกไว้อย่างมีความสุข มองซ้ายทีขวาที ยื่นมือไปลูบไล้อาชาบ้างเป็นครั้งคาว หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ภาพลวงตา เขาก็หันกลับมาหัวเราะดังฮ่าๆ เดินแกว่งแขนที่เหลือเพียงข้างเดียวกลับมา เอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “ม้า! ล้วนเป็นม้าศึกชั้นดีทั้งสิ้น!”
คนของสามสำนักก็พากันเดินเข้าไปดูด้านในเช่นกัน แต่ละคนมีสีหน้าตื่นเต้นยินดี รู้สึกประหลาดใจ!
เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้พวกเขาอย่างมาก ตอนนี้พวกเขาสะกดอารมณ์ไม่อยู่แล้วจริงๆ
พวกเขาแอบสะกดรอยตามมาอย่างลับๆ ตามคำขอของหนิวโหย่วเต้า ซ้ำยังดักซุ่มรออยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเงียบๆ เป็นเวลานาน
พวกเขารับคำสั่งจากทางสำนักมาเพื่อดำเนินการจัดหาม้าศึก ผลคือไม่ได้ออกไปพบผู้คนเลย ได้แต่กินๆ นอนๆ อยู่ไปวันๆ แม้แต่การติดต่อกับภายนอกก็ยังถูกควบคุมไว้อย่างเข้มงวด หากมิใช่เพราะหนิวโหย่วเต้าคือคนที่สามารถสั่งการสามสำนักได้ พวกเฮยหมู่ตานคงคุมคนเหล่านี้ไม่ได้แน่นอน
ครั้งนี้จู่ๆ ก็ต้องออกเดินทางกะทันหัน พวกเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าต้องมาทำอะไร พอถึงตอนนี้ถึงได้เข้าใจ หนิวโหย่วเต้าจัดเตรียมม้าศึกเอาไว้พร้อมแล้ว!
ไม่ใช่แค่จัดเตรียมม้าศึกไว้เท่านั้น ยามนี้เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ขบวนขนส่งและเสบียงก็มีพร้อมสรรพ ทุกอย่างจัดเตรียมไว้เรียบร้อยหมดแล้ว!
สามสำนักทำงานหัวหมุนอยู่ในแคว้นฉีมาเกือบปียังไม่มีวี่แววจะสำเร็จ ยามนี้กลับดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยลงตัวไปหมด แล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร!
อีกทั้งดูเหมือนพวกเขาจะไม่ต้องทำอะไรเลยด้วย ไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงใดๆ เลยด้วยซ้ำ!
เฮยหมู่ตานและกงซุนปู้ก็เข้าไปตรวจสอบดูเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นก็กลับมารวมตัวกันต่างสบตากันแล้วยิ้มออกมา
ในใจของทั้งสองไม่เพียงแต่จะรู้สึกประหลาดใจเท่านั้น แต่ยังรู้สึกตกตะลึง แรกเริ่มยังนึกอยู่เลยว่าเรื่องนี้มีความเสี่ยงสูงเหลือเกิน เกรงว่าคงต้องมีการต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นแน่ ผู้ใดจะทราบว่าไม่ใช่แค่เรื่องม้าศึกเท่านั้น แม้แต่คนในขบวนเรือขนส่งก็ล้วนถูกเต้าเหยี่ยจัดแจงไว้หมดแล้ว ไม่ต้องเสียกำลังไปเลยแม้แต่คนเดียว!
ตามข่าวที่เสิ่นชิวส่งมา เต้าเหยี่ยเก็บตัวอยู่ในเมืองหลวงตลอด ภานนอกดูเหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แค่ออกไปเที่ยวเล่นกินดื่มพลอดรักกับหงเหนียงคนนั้นไปวันๆ ทำให้จินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าสรุปแล้วเต้าเหยี่ยทำได้อย่างไรกันแน่ เรียกได้ว่านั่งบัญชาการวางกลยุทธ์โดยที่ตัวอยู่นอกสนามรบโดยแท้!
“คนไร้ความสามารถวิ่งจนขาหักก็ไร้ผล ผู้มีความสามารถเพียงดีดนิ้วก็สมดั่งใจ!” กงซุนปู้ลูบหัวม้าที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยออกมาด้วยความสะท้อนใจ
คราวนี้เขายอมรับนับถือในตัวหนิวโหย่วเต้าอย่างแท้จริงแล้ว ความรู้สึกที่มีมากยิ่งกว่านั้นคือคิดว่าสำนักเบญจคีรีเลือกติดตามไม่ผิดคนเลย เขามองเห็นอนาคตอันยาวไกลขึ้นมารางๆ แล้ว สำนักเบญจคีรีอาจจะรุ่งเรืองขึ้นมาภายใต้การปกครองของเขาก็เป็นได้!
เฮยหมู่ตานเดินกลับมาหาลู่หลีจวินพลางเอ่ยถาม “มีทั้งหมดกี่ตัว?”
ลู่หลีจวินตอบว่า “มีเรือบรรทุกม้าสามร้อยลำ แต่ละลำมีม้าหนึ่งร้อยตัว เรือเสบียงอีกสองร้อยลำ!”
กล่าวก็คือมีม้าทั้งหมดสามหมื่นตัว มากกว่าจำนวนหนึ่งหมื่นตัวที่ยงผิงจวิ้นอ๋องร้องขอไว้! ผู้อาวุโสสามสำนักสบตากันแล้วยิ้มออกมา ยากจะซ่อนความดีใจเอาไว้ได้ อูเซ่าฮวนก็หัวเราะพลางเอ่ยขึ้นมา “เต้าเหยี่ยช่างสมกับเป็นเต้าเหยี่ยโดยแท้ แซ่อูยอมรับนับถือจากใจแล้ว ขอหมอบคารวะด้วยความเลื่อมใส!”
ในที่สุดคำเรียกขานจากปากเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว!
สองผู้อาวุโสที่เหลือก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่คิดเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พวกเขาอย่างเงียบๆ เช่นนี้
พวกเขามีฐานะเป็นผู้อาวุโของสามสำนัก ย่อมทราบดีว่าเรื่องนี้มีความหมายอย่างไร ขอเพียงขนม้าศึกกลุ่มนี้กลับไปได้ สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ปันกำไรจากการค้าสุราให้พวกเขาแล้ว เท่ากับว่าหลังจากนี้ไปทั้งสามสำนักก็จะมีช่องทางรายได้ที่ยั่งยืนแล้ว!
สามสำนักวิ่งเต้นทำงานอยู่หนึ่งปี เสียคนไปมากมาย แต่ก็ยังทำงานไม่สำเร็จ ผลคือพอหนิวโหย่วเต้าออกโรง สามสำนักก็ไม่ต้องสูญเสียศิษย์อีก เพียงพักผ่อนรับชมอยู่ด้านนอก เรื่องราวก็สำเร็จเสร็จสิ้นได้โดยไม่ทันรู้ตัว แล้วจะไม่ให้พวกเขาเลื่อมใสได้อย่างไร?
แต่สำหรับเฮยหมู่ตาน หากม้ายังส่งกลับไปไม่ถึงที่ ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่สมควรดีใจอย่างแท้จริง นางไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของหนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามลู่หลีจวินไปว่า “วิธีการที่คนเหล่านี้ติดต่อกับภายนอกเป็นอย่างไร พวกท่านทราบหรือไม่?”
ลู่หลีจวินตอบว่า “ติดต่อกันวันละสองครั้ง!”
เฮยหมู่ตานถามต่อ “ท่านทราบรหัสลับที่ใช้ติดต่อหรือไม่?”
ลู่หลีจวินเอ่ยว่า “ไม่รู้ ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยเข้าไปยุ่งเรื่องการติดต่อ แต่คนเหล่านี้ล้วนตกอยู่ในกำมือพวกเราแล้ว หากคิดหาทางจัดการย่อมมีคนที่ยอมเปิดปากแน่นอน”
“ดี พี่กงซุน เรื่องนี้รบกวนท่านช่วยให้ความร่วมมือกับพี่ลู่ด้วย” เฮ่ยหมู่ตานหันไปเอ่ยกับกงซุนปู้
“ได้!” กงซุนปู้พยักหน้ารับคำ
อูเซ่าฮวนเอ่ยกับผู้อาวุโสอีกสองคนว่า “เรื่องน่ายินดีเช่นนี้พวกเราต้องรีบส่งข่าวไปแจ้งทางสำนักทันที ทางสำนักจะได้สบายใจ”
“ถูกต้อง!” สองผู้อาวุโสยิ้มแย้มเห็นชอบ
“ไม่ได้!” เฮยหมู่ตานปฏิเสธทันทีที่ได้ยิน หันไปเอ่ยในทันใด “ก่อนที่ของจะส่งไปถึงที่หมาย ต้องควบคุมปีกทองทั้งหมดที่ใช้ติดต่อกับโลกภายนอกอย่างเข้มงวด ห้ามผู้ใดส่งข่าวใดๆ ออกไปโดยพลการเด็ดขาด!”
อูเซ่าฮวนขมวดคิ้ว “เฮยหมู่ตาน นี่เจ้าไม่ไว้ใจพวกเราอย่างนั้นหรือ? หรือกลัวสำนักทั้งสามของพวกเราจะปล่อยให้ข่าวรั่วไหลออกไป? แบบนั้นมิเท่ากับหาเหามาใส่หัวหรือ? ทางเราไม่ได้ติดต่อกับทางสำนักมานานแค่ไหนกันแล้ว?”
เฮยหมู่ตานเอ่ยเสียงขรึม “นี่คือคำสั่งจากเต้าเหยี่ย เต้าเหยี่ยบอกว่าถ้าไม่มีคำอนุญาตจากเต้าเหยี่ย ก็ห้ามผู้ใดติดต่อกับโลกภายนอกโดยพลการเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งให้ถือว่าแพร่งพรายความลับ ให้สังหารได้ทันที!”
………………………………………………………….