ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 373 อัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 373 อัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก!

ตอนที่ 373 อัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก!

หลานรั่วถิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เต้าเหยี่ยคนนี้จัดการเรื่องราวได้ดี ในเมื่อแจ้งว่าม้าศึกมาถึงแล้ว จำนวนน่าจะไม่น้อยกว่าหมื่นตัวตามที่ท่านอ๋องต้องการ”

ซางเฉาจงพยักหน้าหงึกๆ “ถูกต้อง!”

เหมิงซานหมิงผงกหัวเล็กน้อย “มันก็ใช่ ท่านอ๋อง เตรียมเรียกระดมกำลังทหารเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

“ได้! ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เรียกระดมทัพใหญ่!”

ณ คฤหาสน์หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของจวนผู้ว่าการจังหวัด เหล่าสมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์พากันมองไปที่เผิงโย่วไจ้ ไป๋เหยาออกมาจากจวนผู้ว่าการจังหวัดเพื่อนำจดหมายจากซางเฉาจงมาส่งให้

ไป๋เหยากล่าวว่า หนิวโหย่วเต้ากลับมาแล้ว ทั้งยังนำม้าศึกกลับมาด้วย!

ด้วยเหตุนี้สายตาของทุกคนจึงไปรวมกันอยู่ที่เผิงโย่วไจ้

บนสีหน้าของเผิงโย่วไจ้ไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ หลังจากอ่านจดหมายจบก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นจดหมายส่งให้คนที่อยู่ถัดไป ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ทุกคนลองอ่านดู”

เนื้อหาในจดหมายมีไม่มาก กวาดตามองไม่กี่ครั้งก็อ่านจบแล้ว

หลังอ่านจดหมาย ทุกคนทยอยเงียบไป บางคนก็มีท่าทางตกใจ

เฟิงเอินไท่คือคนหนึ่งที่รู้สึกงุนงงเป็นที่สุด นี่คือน้องชายร่วมสาบานของเขา น้องสามของเขาทำงานสำเร็จแล้ว

เผิงโย่วไจ้กวาดตามองทุกคน คาดว่าคงไม่มีผู้ใดเคยนึกไว้เลย ตอนกลางวันเพิ่งจะจับตัวคนของหนิวโหย่วเต้ามา ตกกลางคืนก็ได้รับข่าวจากหนิวโหย่วเต้าว่ากำลังจะมาถึง นี่มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยหรือเปล่า

เฉินถิงซิ่วพลันเอ่ยถามขึ้นมา “ศิษย์น้องเฟิง ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่ใหญ่ร่วมสาบานของเขา เจ้าอยู่ข้างกายเขานานถึงเพียงนั้น เจ้าไม่เคยสอบถามข่าวคราวเรื่องม้าศึกที่เขาจัดการบ้างเลยหรือ?!

เฟิงเอินไท่ตอบด้วยความงุนงง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยสอบถามข่าวคราว แต่เขาไม่เคยบอกเผยข้อมูลใดๆ ต่อข้าเลย”

เฉินถิงซิ่วถามต่อว่า “สำนักหยกสวรรค์ของเรายินดีจะเป็นกำลังเสริมช่วยสนับสนุนให้เขาจัดการเรื่องนี้ เขาก็ไม่ต้องการ ทั้งยังไล่คนของพวกเรากลับมาอีก หนิวโหย่วเต้าคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่? หรือว่าไม่ไว้วางใจสำนักหยกสวรรค์ของเรา? คิดว่าสำนักหยกสวรรค์เราจะทำให้เขาเสียเรื่องอย่างนั้นหรือ?”

เฟิงเอินไท่ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “เป็นเพราะทางเราพูดจากลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง เขาจึงไม่กล้าไว้ใจแล้วกระมัง”

เฉินถิงซิ่วขมวดคิ้ว “ศิษย์น้องเฟิง เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าวาจานี้ของเจ้าเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่านเจ้าสำนักเลยเล่า?”

เฟิงเอินไท่ตอบว่า “ศิษย์พี่เฉิน ท่านอย่าใส่ความกันส่งเดช ข้าเพียงกล่าวความเห็นในมุมมองของอีกฝ่ายเท่านั้น…”

“เอาล่ะ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” เผิงโย่วไจ้เอ่ยตัดบท ลุกขึ้นยืนแล้วถอนหายใจ เอ่ยไปว่า “จัดการเรื่องราวให้สำเร็จได้อย่างเงียบเชียบ จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ศิษย์ในสำนักหยกสวรรค์ของเรา แล้วก็น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ต้องสูญเสียศิษย์เหล่านั้นไปในแคว้นฉีเพราะเรื่องนี้ หากรู้เช่นนี้แต่แรก คงจะยกหน้าที่นี้ให้คนผู้นี้ไปจัดการที่แคว้นฉีแต่เนิ่นๆ แล้ว”

ทุกคนเงียบงัน ผู้ใดจะคาดคิดล่ะว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้? หากให้หนิวโหย่วเต้าไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ผู้ใดจะกล้ารับประกันอีกล่ะว่าเรื่องราวจะสำเร็จแน่นอน ครั้งนี้หากมิใช่เพราะหมดหนทางแล้วจริงๆ ประกอบกับมีแผนการในเรื่องส่วนแบ่งกำไรจากการค้าสุรา สำนักหยกสวรรค์จะยอมส่งคนผู้นั้นไปหรือ? สำหรับเรื่องนี้ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจดี

“ได้ม้าศึกมานับเป็นเรื่องดี จะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับทางนี้ไม่ได้ พวกเราอยู่ในจังหวัดชิงซานพอดี หากปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นภายใต้จมูกของพวกเราคงจะทำให้พวกเราเสียหน้าเช่นกัน หากวันหน้าคิดจะจัดการเรื่องม้าศึกอีกก็คงยากแล้ว เรียกระดมกำลังคนในพื้นที่นี้หน่อย พวกเราก็จะไปต้อนรับด้วย ไปต้อนรับผู้ที่สร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงของพวกเรากัน!” เผิงโย่วไจ้โบกมือพลางเอ่ยสั่งการ

เฟิงเอินไท่ประสานมือกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก คนของเขายังอยู่ในการควบคุมของพวกเรานะขอรับ จะให้จัดการอย่างไรขอรับ?”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เผิงโย่วไจ้ก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน ทางนี้ยังไม่ได้รีดเค้นเอาสูตรลับจากพวกหยวนฟางเลย

ดีร้ายอย่างไรสำนักหยกสวรรค์ก็เรียกขานตนเองว่าเป็นสำนักฝ่ายธรรมะ แต่เพื่อผลประโยชน์แล้วก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการใช้ลูกไม้บ้าง แต่หากจะใช้ลูกไม้ต่อหน้าผู้คนมากมายโดยไม่สนใจเหตุผลล่ะก็ แบบนั้นมันดูจะไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร ในเมื่อตกลงไว้แล้วว่าจะให้เวลาสิบวัน ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่ได้รีดเค้นเอาสูตรลับจากสมณะกลุ่มนั้น

คิดว่าพอถึงเวลาแล้วค่อยรีดเค้นออกมาก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว

“ถึงอย่างไรม้าศึกก็ยังมาไม่ถึง รอยืนยันให้แน่ใจแล้วค่อยปล่อยตัว!” เผิงโหย่วไจ้ติดสินใจในท้ายที่สุด

เฟิงเอินไท่กล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก เรื่องนี้จะทำให้มีปัญหากับหนิวโหย่วเต้าหรือเปล่าขอรับ?”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว เด็กคนนั้นเป็นคนฉลาด อีกทั้งต้องการให้สำนักหยกสวรรค์ช่วยปกป้องคุ้มภัย มิเช่นนั้นคงไม่ยอมยกผลประโยชน์ส่วนใหญ่ให้เรา คงไม่ถึงขั้นที่จะแตกหักกันเพราะเรื่องเล็กน้อยที่ยังไม่เกิดความสูญเสียใดๆ ขึ้นเช่นนี้ ด้วยรากฐานของเขาในปัจจุบันนี้ เจ้าก็ลองคิดดูสิว่าเขาจะกล้ามีปัญหาหรือไม่!”

ไม่นานนัก สมาชิกจากสำนักต่างๆ ก็มารวมตัวกัน รวมกลุ่มกับขบวนทหารของซางเฉาจงเร่งเดินทางกันทั้งคืนเพื่อมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งทะเล

ขบวนเดินทางใหญ่โตอึกกระทึกครึกโครมเช่นนี้ ถึงอยากจะปิดเป็นความลับก็คงปิดไว้ไม่อยู่แล้ว สายลับจากกลุ่มต่างๆ ที่แฝงตัวอยู่ในจังหวัดชิงซานก็รับรู้ได้เช่นกัน ต่างมีการส่งข่าวออกไปตลอดทั้งคืน…

….

เรือโคลงไปตามระลอกคลื่น ปีกทองหลายตัวที่มาจากจังหวัดชิงซานบินฝ่าราตรีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดทางจังหวัดชิงซานก็สามารถติดต่อทางนี้ได้แล้ว

หนิวโหย่วเต้านั่งอยู่ข้างตะเกียงอ่านจดหมายในมือไปเรื่อยๆ จนจบ จากนั้นก็โยนไว้ด้านข้างพลางแค่นเสียงเหอะ เอ่ยว่า “จิตใจละโมบของสำนักหยกสวรรค์นี่ไม่มีที่สิ้นสุดเลยจริงๆ!”

หลังจากก่วนฟางอี๋หยิบมาอ่านดูก็บ่นออกมาทันที “นี่มันเรื่องอะไรกัน! ยังกลับจังหวัดชิงซานได้อยู่หรือเปล่า? เจ้าอย่ามาหลอกข้าเชียวนะ!”

คนผู้นี้ยังไม่ทันไปถึง จังหวัดชิงซานก็เริ่มวุ่นวายขึ้นมาแล้ว แล้วจะไม่ให้นางกังวลได้อย่างไร

หนิวโหย่วเต้าพยักเพยิดหน้าออกไปทางนอกหน้าต่าง เอ่ยหยอกว่า “หากไม่อยากไปจริงๆ ข้าก็ไม่บังคับ ลงเรือไปเสียตอนนี้ก็ยังทัน!”

ก่วนฟางอี๋ตบโต๊ะดังปัง! เลิกคิ้วถลึงตาเอ่ยไปว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร แล้วไปหาข้าแต่แรกทำไม? ข้าล่วงเกินหอจันทร์กระจ่างเข้าแล้ว ตอนนี้เจ้ากลับมาขับไล่ไสส่งข้าไป ใช้ประโยชน์เสร็จก็คิดจะถีบหัวส่งกันใช่หรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าจะบ่นมากไปทำไม ขอถามเจ้าแค่คำเดียว จะไปกับข้าหรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋ตบโต๊ะดังปังพลางลุกขึ้นยืน “รอดูอารมณ์ของข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” กล่าวจบก็สะบัดก้นจากไป

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าบ่นไปว่า “ได้ยินว่าในอดีตมีบุรุษมากมายบูชานางดั่งเทพธิดา มีบุรุษมากน้อยเพียงใดกันที่หลงผิดไป”

กงซุนปู้ที่อยู่ข้างๆ อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

….

ณ ชายฝั่งทะเล บริเวณท่าเรือมีทหารคุ้มกันหนาแน่น ธงกองทัพโบกสะบัด ลมทะเลโชยมา

ริมหาดโล่งเตียน เรือเล็กเรือใหญ่ทั้งหมดล้วนถูกสั่งให้ย้ายออกไปแล้ว เตรียมที่ทางให้พร้อมสำหรับเรือบรรทุกม้าที่จะเข้าเทียบฝั่ง

ซางซูชิง เหลยจงคังและอู๋ซานเหลี่ยงยืนอยู่ริมหาด สอดส่องมองไปทั่วท้องทะเลเป็นระยะๆ หนิวโหย่วเต้าไม่ได้แจ้งไว้ว่าจะเข้ามาจากทิศทางใด

เหล่ยจงคังและอู๋ซานเหลี่ยงเดินกลับไปกลับมา ซางซูชิงกลับยืนมองท้องทะเลอย่างสงบนิ่ง ดวงตาฉายแววรอคอย ชายกระโปรงพลิ้วไหวตามแรงลม คลื่นสาดกระทบชายหาดใต้ฝ่าเท้า

ส่วนคนอื่นๆ บ้างก็อยู่ในจุดพักม้าของท่าเรือ บ้างก็ไปคอยในโรงเตี๊ยม บ้างก็คอยอยู่ในคลังสินค้า

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้บอกไว้ว่าจะมาถึงในเวลาใด บอกเพียงว่าจะมาถึงภายในวันนี้ ทั้งคณะเดินทางกันครึ่งค่อนคืนจึงมาถึงที่นี่ ผลคือรอจนฟ้าสางก็ยังไม่เห็นเงาคน รอมาถึงช่วงสายแล้วก็ยังไม่เห็นใครปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าจะมาถึงช่วงเวลาไหน สุดท้ายจึงทยอยกันไปเสาะหาสถานที่สำหรับรอคอย จะได้ไม่มายืนออกันอยู่ในบริเวณท่าเรือกันหมด

เหลยจงคังมองดวงตะวันบนท้องนภา เดินเข้าไปหยุดข้างกายซางซูชิงแล้วเอ่ยว่า “ท่านหญิง แดดแรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านกลับไปพักผ่อนในห้องก่อนเถิด หากเรือมาถึงแล้วกระหม่อมจะรีบไปแจ้งท่านทันทีพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่ได้พักผ่อนเลยทั้งคืน ทั้งยังเร่งเดินทางมายาวไกล ซางซูชิงมีสีหน้าอ่อนล้า แต่ดูเหมือนจะกระฉับกระเฉงดี นางส่ายหน้าเล็กน้อยเอ่ยไปว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่เหนื่อย” นัยน์ตางามเฝ้ามองไปทางท้องทะเลต่อไป ทันใดนั้นสายตาพลันหยุดนิ่ง

มองเห็นคนผู้หนึ่งโฉบผ่านผิวทะเลเข้ามา เป็นศิษย์คนหนึ่งของสำนักเซียนสถิตที่ออกไปตรวจสอบในท้องทะเล เมื่อทะยานเข้ามาถึงชายฝั่งก็ตะโกนขึ้นว่า “เรือมาแล้ว”

ซางซูชิงรีบถาม “มาจากทางไหน?”

คนที่มาถึงชี้มือไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ซางซูชิงทอดสายตามองออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ทันที แต่มองไม่เห็นอะไรเลย

ตึงๆๆๆๆ…

เสียงกลองพลันดังกระหน่ำมาจากท่าเรือ เป็นการส่งสัญญาณแจ้ง

ไม่นานนัก คนที่อยู่ในจุดพักม้า ในโรงเตี๊ยมและคลังสินค้าก็พากันวิ่งออกมา ซางเฉาจงที่สวมเสื้อคลุมกันลมแล้ววิ่งมาถึงชายฝั่งอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามว่า “เรืออยู่ที่ไหน?”

“ยังอยู่ห่างออกไปอีกช่วงหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยังมองไม่เห็น” ใครคนหนึ่งเอ่ยตอบ จากนั้นชี้ทิศทางให้

สมาชิกระดับสูงของสามสำนักเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน สมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ก็มาถึงแล้วเช่นกัน หลานรั่วถิงและเหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็มาด้วย ล้วนทอดตามองออกไปจากบนท่าเรือ

ซางเฉาจงหันกลับไปเอ่ยสั่ง “ควันสัญญาณ!”

เกิดเสียงดังผลุบผลับ กระถางไฟหลายใบที่ตั้งอยู่บนประภาคารสูงถูกจุดไฟ ควันหนาทึบหลายสายลอยขึ้นไป ลอยล่องไปตามสายลม ชี้ทิศทางให้เรือที่กำลังจะมาถึง

ไม่นานนัก เงาของใบเรือปรากฏขึ้นบนท้องทะเล เห็นได้ชัดว่ามีเรือจำนวนมากมุ่งหน้าเข้ามา

เรือที่ล่องอยู่บนท้องทะเลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มองเห็นเรือใหญ่หลายต่อหลายลำได้ชัดเจน มองจากรูปการณ์คร่าวๆ แล้ว มีเรือใหญ่จำนวนมากกำลังแล่นเข้ามาทางนี้

ภาพอันน่าตกตะลึงเช่นนี้เป็นภาพที่พบเห็นได้น้อยมาก

เผิงโย่วไจ้เอ่ยถาม “ท่านอ๋อง ท่านมอบหมายให้หนิวโหย่วเต้าจัดหาม้าศึกมาเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงตอบว่า “หนึ่งหมื่นตัว!”

เหมิงซานหมิงที่นั่งบนรถเข็นเอ่ยว่า “ดูจากจำนวนเรือแล้ว เกรงว่าจะมีเรือใหญ่อยู่ราวสี่ถึงห้าร้อยลำ ขนส่งม้าศึกหนึ่งหมื่นตัว ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องใช้เรือใหญ่มากมายขนาดนี้”

หลานรั่วถิงเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ยจัดการเรื่องราวรอบคอบ อาจจะเสริมเรือเสบียงมาด้วยเผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน”

ทุกคนพยักหน้านิดๆ คิดๆ ไปแล้วพบว่าจริงดั่งว่า ตามหลักแล้วแค่จัดส่งม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวก็ลำบากอย่างมากแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะสร้างความวุ่นวายให้ตัวเองอีก

พูดให้ถูกคือไม่ใช่เรื่องความวุ่นวาย เรื่องเวลาและกำลังที่เสียไปนั้นไม่ขอพูดถึง แต่ยิ่งมีม้าศึกมากเท่าไร กระบวนการขนส่งก็จะใหญ่โตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็แปลว่าจะมีอันตรายเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

แต่หลังจากได้เห็นความยิ่งใหญ่ของขบวนเรือใหญ่โตที่ใกล้เข้ามา ทุกคนคล้ายจะตื่นตัวขึ้นไม่น้อย

ความรู้สึกตอนที่ยังไม่ได้เห็นและความรู้สึกหลังจากที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้ทุกคนเพิ่งจะเข้าใจขึ้นมาว่าการจัดขบวนเรือใหญ่โตเช่นนี้เพื่อขนส่งม้าศึกออกมาจากแคว้นฉีโดยต้องหลบซ่อนจากสายตาของผู้คนมากมายนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามและความทุ่มเทอย่างมหาศาลเพื่อเตรียมการให้ดี แค่จัดหาเรือเหล่านี้มาได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมอย่างมากแล้ว

สมาชิกระดับสูงของสำหนักหยกสวรรค์มองกันไปมองกันมา ก่อนหน้านี้ตอนได้รับข่าวว่าหนิวโหย่วเอาแต่เตร็ดเตร่ไปเรื่อยระหว่างการเดินทาง ทั้งยังทำตัวชักช้ายืดยาดอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีไม่ยอมลงมือสักที ทุกคนต่างมีความคิดอคติและตำหนิวิจารณ์

แต่ตอนนี้ พวกเขาต่างเข้าใจแล้วว่าการที่หนิวโหย่วเต้าเตร็ดเตร่ไปเรื่อยระหว่างเดินทาง มิได้ทำไปอย่างไร้สาเหตุ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายแอบเตรียมการอย่างละเอียดรอบคอบไว้ขนาดไหน

ตอนนี้ไม่มีใครคิดว่าหนิวโหย่วเต้าชักช้าทำให้เสียเวลาอีกต่อไป เหล่าสมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ลองประเมินอยู่ภายในใจกันครู่หนึ่งก็ทราบกระจ่างแล้ว หากเปลี่ยนให้สำนักหยกสวรรค์ไปรับผิดชอบเรื่องนี้ล่ะก็ คิดว่าคงยากจะจัดหาขบวนเรือจำนวนมหาศาลเช่นนี้มาอย่างเงียบเชียบในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนอย่างที่หนิวโหย่วเต้าทำได้ ความสามารถของทั้งฝ่ายต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!

ครั้งนี้พวกเขายอมรับจากใจจริงแล้ว!

เฟิงเอินไท่ตกตะลึงตาค้าง ถึงหลับฝันก็คิดไม่ถึงเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะวางแผนใหญ่โตขนาดนี้ภายใต้จมูกของเขา แต่ตัวเขากลับไม่ได้ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย

เผิงโย่วไจ้ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยไปว่า “หนิวโหย่วเต้าคนนี้ เป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก!”

เหมิงซานหมิงพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าสำนักเผิงพูดมีเหตุผล สายสืบของแคว้นต่างๆ หาใช่คนตาบอดไม่ ลำพังแค่จัดหาขบวนเรือนี้มา ก็ไม่รู้ว่าเขาต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจ รวมถึงเสี่ยงภัยอันตรายไปมากแค่ไหนแล้ว ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงตัดขาดการสื่อสารจากโลกภายนอกทุกช่องทาง ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้! เรื่องนี้สร้างความลำบากให้เขาอย่างมากจริงๆ!”

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงที่จ้องมองออกไปอย่างใจจดใจจ่อต่างมีสีหน้าซับซ้อน

สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าและถ้อยคำที่ได้ยินทำให้โพรงจมูกของซางซูชิงแสบร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ขอบตาแดงเรื่อ

………………………………………………………….

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท