เรื่องราวเป็นอย่างที่เขากล่าวมาจริงๆ เขาทุ่มเทความคิดเตรียมทางออกไว้ให้ซูจ้าวมานานแล้ว หากเกิดปัญหาขึ้น เขาจะพยายามหลบเลี่ยงไม่ให้อันตรายคุกคามมาถึงชีวิตซูจ้าว ดังนั้นซูจ้าวจึงไม่ได้เข้าไปพัวพันกับความลับบางส่วน กลับเป็นฉินเหมียนที่รู้มากกว่า ดูแล้วคล้ายว่าให้ความสำคัญกับฉินเหมียนมากกว่า
และขอเพียงฉินเหมียนทำผลงานได้ดี อีกทั้งมีเขาคอยดูแลอยู่เบื้องหลัง ซูจ้าวย่อมได้รับประโยชน์ไปด้วย
แต่เรื่องที่ซูจ้าวไม่สมควรกระทำอย่างยิ่งก็คือหลบหนี การทรยศต่อหอจันทร์กระจ่างมันคืออย่างไรน่ะหรือ?
หลบหนี! เช่นนั้นถือว่าเป็นคนทรยศอย่างไรล่ะ!
เมื่อกลายเป็นคนทรยศ ไม่ว่าผู้ใดก็ช่วยปกป้องไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่สามารถอธิบายกับท่านประมุขได้ แล้วก็ไม่สามารถอธิบายต่อสมาชิกคนอื่นๆ ได้ด้วย ไม่สามารถอธิบายต่อสมาชิกทั้งบนและล่างในองค์กรได้
เมื่อกลายเป็นคนทรยศ แม้แต่ท่านประมุขก็ปกป้องไว้ไม่ได้!
ทางฝั่งท่านประมุขก็ปราณีต่อพวกเขาศิษย์อาจารย์อย่างถึงที่สุดแล้ว เขาเองก็รับปากท่านประมุขไปแล้วว่าจะไม่เกิดปัญหาอื่นใดขึ้นอีก หากเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ เขาจะลงมือจัดการเอง
ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะทำให้เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้ ตอนนี้เขาจำเป็นต้องมอบคำอธิบายสักอย่างให้ท่านประมุข แล้วก็จำเป็นต้องมอบคำอธิบายให้คนในองค์กรด้วย!
ดังนั้นเขาถึงมาตามล่าด้วยตัวเอง
ซูจ้าวขบริมฝีปาก สีหน้าหม่นหมองลงหลายส่วน เข้าใจความหมายในวาจาท่านอาจารย์ดี หอจันทร์กระจ่างจะทุ่มเทกำจัดผู้ทรยศโดยไม่สนว่าต้องแลกด้วยอะไร เพื่อไม่ให้กลายเป็นเยี่ยงอย่าง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถข่มขวัญคนอื่นๆ ได้ หาไม่แล้วจะนำพาปัญหามาให้ทั่วทั้งหอจันทร์กระจ่างอย่างไม่รู้จบ!
นางมองไปที่หยวนกัง แต่กลับกล่าวกับคนไว้เคราว่า “อาจารย์ ความผิดทั้งปวงล้วนเป็นความผิดของข้าทั้งสิ้น ขอเพียงท่านยอมไว้ชีวิตเขา ข้ายินดีรับโทษตามแต่จะจัดการ!”
หยวนกังหันไปมองนางทันที “ไม่จำเป็น!”
คนไว้เคราเอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง “เจ้ายังคิดจะปกป้องเขาอีกหรือ? หนิวโหย่วเต้าเตรียมหนทางรอดไว้ให้เขาล่วงหน้าแล้ว เป้าหมายที่องค์กรต้องการจำกัดในครั้งนี้ก็คือเจ้า หากเขาหนีไปย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวาง เบื้องบนเองก็สั่งให้ปล่อยเขาไปเช่นกัน หนิวโหย่วเต้าเตรียมทางป้องกันเขาจากองค์กรไว้แล้ว เขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ? เจ้าทำตัวโง่เขลาหนีตามเขามาด้วยทำไม ใต้หล้ากว้างใหญ่เช่นนี้ ต้องการบุรุษเช่นไรล้วนมีให้เจ้าทั้งสิ้นมิใช่หรือ? เอาชีวิตมาทิ้งเพื่อบุรุษที่หลอกลวงเจ้ามาตลอดเช่นนี้มันคุ้มกันแล้วหรือ?”
พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ หยวนกังพลันตะลึงงัน เต้าเหยี่ยเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้เขาแล้วอย่างนั้นหรือ?
ชั่วพริบตานั้นเอง อารมณ์ของเขาพลันซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
จากคำบอกเล่าของซูจ้าวทำให้เขาทราบเพียงว่าสมาชิกระดับสูงของหอจันทร์กระจ่างออกคำสั่งห้ามมิให้แตะต้องหนิวโหย่วเต้าส่งเดช ไม่คิดเลยว่าจะเกี่ยวพันมาถึงเขาด้วย
แต่เขายังคงเชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย เขารู้จักหนิวโหย่วเต้าดี การที่หนิวโหย่วเต้าทำเช่นนี้ เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นก็มีความเป็นไปได้ที่หนิวโหย่วเต้าจะทำเช่นนี้จริงๆ เมื่อเผชิญมรสุมอันตราย เต้าเหยี่ยจะก้าวออกมาช่วยปกป้องเขาไว้แน่นอน
ซูจ้าวเองก็มองไปที่หยวนกังด้วยความตกตะลึง
หยวนกังหันไปมองนางพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้เรื่องนี้”
ซูจ้าวยิ้มออกมา พยักหน้าแล้วตอบ “อืม” นางเชื่ออีกฝ่ายอย่างไร้ข้อกังขา
หยวนกังโทษตัวเอง “เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน”
ซูจ้าวเข้าใจความหมายของเขา หากรู้เช่นนี้แต่แรก เขาไม่จำเป็นต้องพานางหนีมาด้วยเลย เขาหนีไปคนเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว หากทำเช่นนี้ทั้งสองคนล้วนจะไม่มีใครเดือดร้อน ตอนนี้กลับทำให้นางกลายเป็นคนทรยศสำหรับหอจันทร์กระจ่างไปเสียแล้ว
ลำบากลำบนกันมาขนาดนี้ ที่แท้การหลบครั้งนี้ก็ไม่มีความจำเป็นเลย!
แต่ซูจ้าวยังคงยิ้มพลางส่ายศีรษะเล็กน้อย สื่อว่าไม่เป็นไร
คนไว้เคราเห็นภาพนี้ก็โมโหจนแทบกระอักเลือด นับว่าได้รู้ซึ้งแล้วว่าอันใดคือบุตรีเติบใหญ่ก็รั้งไว้ไม่อยู่ แล้วก็นับว่าได้เห็นแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าแม้นตายก็ไม่นึกเสียใจ คลื่นอากาศรอบกายเขาเริ่มหมุนวน ก่อตัวเป็นสายลมค่อยๆ หมุนวนขึ้นมา
หยวนกังถือดาบปราดเข้ามาขวางอยู่ด้านหน้าซูจ้าวอย่างรวดเร็ว ดาบสามคำรามทอประกายเจิดจรัสอยู่ภายใต้แสงตะวัน ตั้งท่าระวังอีกฝ่ายอย่างเต็มกำลัง
คนไว้เคราจ่อปลายกระบี่ไปทางเขาแล้วสะบัดเล็กน้อย “นี่เป็นเรื่องภายในองค์กรเรา ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า หากไม่อยากข้าพลั้งมือทำร้ายเจ้า ก็จงรีบไสหัวไปซะ!”
ซูจ้าวร้อนใจ ดึงหยวนกังพลางเอ่ยว่า “เขาคือท่านลุงของข้า ไม่มีทางทำอันใดข้าหรอก เจ้ารีบไปเถอะ!”
หยวนกังไม่สนใจ ยังคงจ้องมองคนไว้เครา “ต้องทำอย่างไรถึงจะยอมปล่อยนางไป?”
คนไว้เคราจ้องมองซูจ้าว กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หนทางของผู้ทรยศมีเพียงความตายเท่านั้น!”
หยวนกังพลันออกแรงสะบัดแขนคราหนึ่ง สลัดให้พ้นจากการเกาะกุมของซูจ้าว ก่อนจะพุ่งตัวออกไปพลางระดมกำลังทั้งหมดราวกับจะขว้างดาบในมือใส่คนไว้เคราก็มิปาน เปิดฉากเข้าโจมตีอย่างอาจหาญ!
“อย่า!” ซูจ้าวกรีดร้องด้วยความเสียขวัญ เนื่องจากนางรู้ดีว่าหยวนกังไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้
คนไว้เคราแค่นหัวเราะหึหึ พื้นทรายใต้ฝ่าเท้ากระเพื่อมไหวออกไปเป็นวง ดวงปราณทรงกลมผุดออกมาจากในร่าง ก่อนจะขยายตัวออกไปจนดูคล้ายกับมีม่านพลังโปร่งใสอันหนึ่งครอบร่างเขาไว้อยู่ นั่นคือเกราะปราณคุ้มกาย
เขาไม่เห็นหยวนกังอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ยืนนิ่งตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
“โฮก!”
เสียงพยัคฆ์คำรามดุดันสายหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากดาบสามคำราม ค่อนข้างข่มขวัญคน ทำให้รู้สึกราวกับมีพยัคฆ์ร้ายคำรามอยู่ใกล้ตัวจริงๆ
หยวนกังที่พุ่งเข้ามากระโดดขึ้นไป เงื้อดาบฟันลงมาจากกลางอากาศ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตวัดดาบฟันแล้วเกิดเสียงพยัคฆ์คำรามดังออกมาจากดาบสามคำราม เห็นได้ชัดว่าความเร็วในการลงมือครั้งนี้มีความรวดเร็วและทรงพลังมากเพียงใด ภายใต้แสงตะวัน ใบดาบที่พุ่งเข้ามาดูราวกับแพรขาวผืนหนึ่ง ทรงพลังน่าตกใจ
ดาบดี! คนไว้เคราเอ่ยชมอยู่ในใจ สายตามองไปที่ดาบเล่มนั้น มองออกว่าดาบเล่มนี้มิใช่ของธรรมดาสามัญ แล้วก็มองเห็นถึงความองอาจไม่ธรรมดาของหยวนกังด้วย
ตูม!
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น เกราะปราณคุ้มกายของคนไว้เคราพลันถูกฟันทำลายลงในชั่วพริบตา
สิ่งที่ถูกทำลายลงพร้อมกันยังมีความสุขุมเยือกเย็นของคนไว้เคราด้วย สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าคนธรรมดาที่อาศัยเพียงสองขาวิ่งทะยานไปบนพื้นผู้นี้จะสามารถใช้ดาบทำลายเกราะปราณคุ้มกายของเขาได้ด้วย
ซูจ้าวที่ชักกระบี่ออกมาถือไว้ในมือเพื่อเตรียมจะเข้าไปช่วยเสริมกำลังก็ตกใจอย่างมากเช่นกัน คิดไม่ถึงเช่นกันว่าหยวนกังจะมีพลังโจมตีที่รุนแรงปานนี้
นางทราบชัดเจนดีว่าคนไว้เครามีพลังระดับใดแล้ว ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหยวนกังจะทำลายเกราะป้องกันของคนไว้เคราได้
ก่อนหน้านี้นางทราบเพียงว่าหยวนกังมีพละกำลังมหาศาล และมีร่างกายที่แข็งแรงมาก แต่ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ แม้แต่อยู่ในความฝันก็ยังไม่เคยนึกถึงมาก่อน
คลื่นอากาศที่ระเบิดออกมาทำให้เม็ดทรายบนพื้นกระจายไปทั่วทุกทิศอย่างรุนแรง
ในที่สุดคนไว้เคราที่มีท่าทางสุขุมปนเหยียดหยามดูแคลนก็ทนสุขุมต่อไปไม่ไหว เมื่อเห็นว่าดาบกำลังจะฟันลงบนศีรษะตนแล้ว ไหนเลยจะยังใจเย็นต่อไปได้
ฟุ่บ! ประกายแสงเยียบเย็นส่องวาบอยู่ในมือ เคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งภาพมายา ยกกระบี่ตั้งขวางไว้เหนือศีรษะ
เคร้ง! เสียงโลหะกระทบกันดังสะท้อนไปมา
กระบี่ที่ตั้งรับการฟาดฟันจากดาบถูกกดจนจมลงไม่น้อย เกือบจะจมเข้าไปในศีรษะของคนไว้เคราแล้ว
ชายไว้เคราตกใจอีกครั้ง ไม่ใช่พลังจากสภาวะ แต่กลับเป็นพละกำลังอันป่าเถื่อน เมื่อครู่เขาหลงนึกว่าหยวนกังปกปิดความสามารถที่แท้จริงไว้ นึกว่าหยวนกังปิดบังสถานะผู้บำเพ็ญเพียรของตนเอาไว้
แต่การประมือครั้งนี้ทำให้เขากระจ่างแล้ว ไม่มีคลื่นพลังปราณใดๆ อยู่ แล้วก็ไม่มีการใช้วิชาใดๆ เรียกได้ว่าเป็นพละกำลังอันป่าเถื่อนที่ไร้สิ่งปลอมแปลงใดๆ อย่างแท้จริง
โลกนี้มีคนที่ทรงพลังถึงเพียงนี้อยู่ด้วยหรือ? ยอดนักรบตัวจริง! คนไว้เครานึกอุทานอยู่ภายในใจ ขณะเดียวกันใต้เท้าเขาก็มีสายลมรุนแรงพัดหมุนวนขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้าเขา ตวัดกระบี่ขึ้นไปด้านบนด้วยมือเดียว สะบัดดาบที่ฟันกดลงมาออกไป
ผัวะ! ด้วยการกระแทกจากลมพายุที่กระจายตัวออกเป็นวงกว้าง หยวนกังถูกสะบัดจนกระเด็นออกไปในทันใด
หยวนกังลอยละลิ่วออกไปไกลสิบกว่าจั้ง หลังจากร่วงลงพื้นก็พลิกตัวลุกขึ้นมา ถือดาบพุ่งเข้าโจมตีอย่างบ้าดีเดือดอีกครั้ง
คนไว้เคราปรายตามองเขาเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะอึดขนาดนี้ กระบวนท่านี้ของเขา แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างฐานก็ยังต้านทานไม่อยู่ ถ้าไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส แต่คนผู้นี้กลับดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลย ลุกขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา ความอดทนต่อการโจมตีช่างน่าตกตะลึงเป็นยิ่งนัก!
ซูจ้าวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถือกระบี่พุ่งเข้ามา
คนไว้เคราพลันโมโหโกรธเกรี้ยว เสียแรงที่เลี้ยงดูสาวน้อยคนนี้มาจนโตขนาดนี้ เสียทีที่หลายปีมานี้ตนทุ่มเทอบรมเลี้ยงดู คิดไม่ถึงว่านางจะร่วมมือกับคนนอกเพื่อจัดการตนเสียได้ ช่างเหลวไหลสิ้นดี!
เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง กำแพงทรายแถบหนึ่งก่อตัวขึ้นมาจากพื้น แล้วซัดออกไปหาหยวนกังที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยพลังมหาศาลปานจะเคลื่อนเขาเขย่านที”ฮณ๊ฯดฯฌซ,
ส่วนกระบี่ก็จ่อชี้ใส่ซูจ้าวที่ทะยานเข้ามา ทว่าคำเตือนไม่เป็นผลจึงกระทืบเท้าเล็กน้อย พื้นทรายไหวกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น
ซูจ้าวที่ทะยานเข้ามาคล้ายมุดเข้าสู่หลุมพรางอย่างไรอย่างนั้น ทรายที่อยู่ด้านล่างส่งเสียงคำรามพร้อมกับก่อตัวขึ้นมาเป็นพายุหมุนอันรุนแรง กักขังนางไว้กลางพายุในพริบตา
ซูจ้าวถูกพายุทรายพัดกระหน่ำใส่จนลืมตาแทบไม่ขึ้น สายลมกระโชกรุนแรงซัดเหวี่ยงตัวนางจนหน้ามืดตาลาย
ฉัวะ! คนไว้เคราตวัดกระบี่เฉียบคมฟันเข้าไปทางพายุหมุน
ตูม! พายุหมุนถูกคมกระบี่ฟันจนพังทลายในชั่วพริบตา
ซูจ้าวที่ยกกระบี่ขึ้นต้านรับไว้เบื้องหน้าหงายหน้าพร้อมกับกระอักโลหิตสดๆ ออกมาดัง ‘พรูด’ ร่างนางลอยละลิ่วออกไปดั่งว่าวที่สายป่านขาด
ตูม! กำแพงทรายที่ถูกซัดออกไปอย่างรุนแรงปานจะเคลื่อนเขาเขย่าสมุทรแตกโหว่เป็นรู เสียงพยัคฆ์คำรามอย่างดุดันดังลอดออกมาจากรูโหว่ดัง ‘โฮก’ หยวนกังฝ่ากำแพงออกมา ยกดาบพุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง
ขณะที่เขาพุ่งฝ่ากำแพงทรายออกมาก็เห็นฉากที่ซูจ้าวถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเข้าพอดี
“ย้าก!” หยวนกังในสภาพเปลือยท่อนบนแผดเสียงออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาตามลำคอและเรือนร่าง ราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วโทสะจนคุ้มคลั่ง ระเบิดพลังเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ลากดาบพุ่งเข้าหาคนไว้เครา
แมงป่องทรายรอบข้างคล้ายจะรับรู้ถึงเจตนาโจมตีอันบ้าคลั่งจากเสียงแผดร้องของเขาได้ แต่ละตัวส่ายก้ามไปมา เข็มพิษบริเวณปลายหางสะบัดไหวรุนแรง เสียงหึ่งๆ ที่ดูแปลกประหลาดแว่วดังขึ้น แต่ละตัวมีอาการกระสับกระส่ายขึ้นมา
ภาพเหตุการณ์นี้ขยายตัวต่อเนื่องกันไปในทะเลทรายเป็นทอดๆ ดั่งระลอกคลื่น แมงป่องทรายที่ได้รับสัญญาณดังหึ่งๆ นี้ก็พากันตอบสนองตาม ด้วยเหตุนี้จึงขยายตัวออกไปเป็นวงกว้าง ราวกับกำลังถ่ายทอดสัญญาณเป็นทอดๆ เพื่อส่งต่อไปยังสถานที่ที่ไกลออกไป แมงป่องทรายที่อยู่ห่างไกลออกไปล้วนชูหางขึ้นมา ปลายหางสะบัดไหวอย่างรุนแรงเช่นกัน ล้วนส่งเสียงหึ่งๆ อันน่าพิศวงออกมา
ส่วนแมงป่องทรายที่อยู่ละแวกใกล้เคียงพลันเคลื่อนไหวขึ้นมา ต่างดาหน้ามุ่งมายังสถานที่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว
ภาพเหตุการณ์นี้ขยายตัวออกไปเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
แมงป่องทรายเริ่มมีความเคลื่อนไหวกันเป็นทอดๆ จากใกล้ลามออกไปไกล พากันมุ่งหน้ามาทางด้านนี้อย่างเร่งด่วน
……
กลางอากาศในบริเวณที่ห่างไกลออกไป วิหคยักษ์ขนหลากสีตัวหนึ่งที่ดูคล้ายกับพญาหงส์สีรุ้งกระพือปีกโผบิน ขนหางงามสดใสส่ายไหวแผ่พลิ้ว
ชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่บนหลังวิหคขนหลากสี
ฝ่ายชายเป็นบุรุษวัยกลางคนที่ดูเหมือนผ่านประสบการณ์ทางโลกมาอย่างโชกโชน หล่อเหลาคมคาย ไว้ผมยาวสยายประบ่า สวมเสื้อคลุมตัวยาวสีเทาเรียบง่าย สะพายกระบี่โบราณเล่มหนึ่งไว้บนหลัง เมื่อเทียบกับกระบี่ทั่วไปแล้ว ตัวกระบี่ของเขามีขนาดกว้างกว่าอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าสงบเคร่งขรึม
ฝ่ายสตรีสวมชุดบุรุษสีดำ ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนแต่งกายเยี่ยงบุรุษ สวมอาภรณ์แบบเรียบง่ายเช่นกัน แต่ยากจะปกปิดความสง่างามสูงศักดิ์ที่แฝงอยู่ในรูปลักษณ์อันงดงามดั่งภาพวาดไว้ได้
บนติ่งหูมีรอยเจาะที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ไหนจะทรวงอกที่ยกนูนอวบอิ่ม ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันว่านางคือสตรี
การแต่งกายด้วยชุดบุรุษทำให้นางดูมีความองอาจอันเป็นเอกลักษณ์ แม้จะเผยใบหน้าในสภาพไร้การแต่งแต้มประทินโฉม แต่ก็ยังคงความงดงามมีสง่าราศีเอาไว้ได้ ใบหน้าและบุคลิกล้วนโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
บนพื้นทรายมีรูพรุนอยู่มากมาย ดูคล้ายหน่อไม้ที่งอกเงยขึ้นมาหลังฝนตก ภาพเหตุการณ์นี้ยิ่งใหญ่ตระการตา จะไม่ให้ทั้งสองคนที่อยู่กลางอากาศสังเกตเห็นเลยก็คงเป็นไปได้ยาก
ทั้งสองมองลงไปบนพื้นดิน เห็นแมงป่องทรายมากมายโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้น
“แมงป่องทราย…ตามที่ร่ำลือกัน พวกมันเคลื่อนไหวกันอย่างผิดปกติเช่นนี้ หรือว่าจะได้กลิ่นของเหยื่อเข้าแล้ว?” ฝ่ายสตรีจ้องมองไปที่พื้นดินแล้วเอ่ยถามขึ้นมา
“น่าจะใช่ขอรับ หือ!” ฝ่ายชายเพิ่งจะตอบรับ แต่จู่ๆ ก็อุทานออกมาด้วยความแปลกใจ เขาควบคุมให้วิหคยักษ์ลดระดับความสูงลงไป หลังจากเห็นภาพบนพื้นดินชัดๆ ก็พอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว “ดูค่อนข้างผิดปกติ ข้าเคยเห็นแมงป่องทรายออกล่าเหยื่อมาหลายครั้ง แต่การที่แมงป่องทรายแต่ละตัวสะบัดหางอย่างรุนแรงเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร? ท่านลองมองออกไปไกลๆ สิขอรับ ล้วนมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเริ่มสะบัดหางขึ้นมาก่อน จากนั้นถึงจะมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน”
ทางนี้เพิ่งเอ่ยจบ จู่ๆ บนพื้นทรายก็มีเสียง ‘ตูม’ ดังขึ้นมา เม็ดทรายสาดกระเซ็น มีสิ่งชีวิตขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งมุดขึ้นมาจากพื้น
……………………………………………………………..