ตอนที่ 417 ถุงแพรสองใบ
เผิงโย่วไจ้ทั้งตกใจทั้งโกรธเกรี้ยว “ที่บอกว่าหายไปทั้งหมดหมายความว่าอย่างไร?”
ศิษย์คนนั้นก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว เรื่องนี้จะให้เขาตอบอย่างไรเล่า
เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในห้องโถงต่างมองกันไปมองกันมา ทางนี้หวั่นเกรงว่าถ้าลงมือกับหนิวโหย่วเต้าจะไปยั่วโทสะซางเฉาจงเข้า จึงรอโอกาสมาโดยตลอด กระทั่งโยกย้ายกำลังทหารในมือซางเฉาจงออกไปแล้ว กระทั่งควบคุมซางจงไว้ได้แล้ว พวกเขาถึงได้เตรียมจะเข้าควบคุมหนิวโหย่วเต้า
ไม่ง่ายเลยกว่าจะเฝ้ารอจนสบโอกาสที่จะได้ลงมือ ใครจะไปคิดว่าคนกลับหายไปจากที่พักแล้ว
ทุกคนล้วนตระหนักได้แล้ว การที่พวกหนิวโหย่วเต้าหายตัวไปในช่วงเวลานี้พอดี ไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้นแน่นอน ขณะที่ทางนี้กำลังเฝ้ารอโอกาสอยู่ ทางนั้นก็กำลังเฝ้ารอโอกาสอยู่เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างมีความเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองต่างฝ่ายซุ่มวางแผนมานานแล้ว
แล้วก็เป็นเพราะความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะซุ่มวางแผนมานานแล้วนี้เอง เผิงโย่วไจ้ถึงได้โมโหและร้อนใจจนแทบบ้า เดินอาดๆ กลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องโถง สีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง
ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว เขามีความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะซุ่มวางแผนกันอยู่ทั้งคู่ แต่ความหมายกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่นนี้ก็หมายความว่าตนไม่รู้เท่าทันแผนการของอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับรู้เท่าทันแผนการของทางฝั่งนี้
แล้วก็เป็นเพราะอีกฝ่ายอาจจะรู้เท่าทันแผนการของฝ่ายตนแล้ว จึงทำให้เผิงโย่วไจ้ค่อนข้างร้อนใจ
ในอดีตไม่ว่าหนิวโหย่วเต้าจะเคยก่อเรื่องราวอันใดไว้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเผิงโย่วไจ้หรือทางสำนักหยกสวรรค์ พวกเขายังคงมีความรู้สึกเหนือกว่าในยามที่เผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต้า นั่นคือความรู้สึกเสมือนได้ทอดมองลงมาจากมุมที่สูงกว่า พวกเขาต่างทราบดีว่าหนิวโหย่วเต้าต้องพึ่งพาการปกป้องของสำนักหยกสวรรค์ และต้องใช้ชีวิตอยู่ในอาณาเขตของสำนักหยกสวรรค์
แต่ในเวลานี้ การหายตัวไปอย่างกะทันหันของหนิวโหย่วเต้าทำให้ทุกคนตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว
นี่ทำให้เผิงโย่วไจ้รู้สึกได้ถึงความวิตกกังวล หรืออาจจะเรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน เพราะหากว่าอีกฝ่ายหนีไปแล้วจริงๆ ก็ยังพอว่า จะกลัวก็แต่เจ้าเด็กนั่นคงไม่มีทางยอมนิ่งดูดายปล่อยให้ซางเฉาจงเสียเปรียบ หากเจ้าเด็กนั่นลงมือแทรกแซง เขาก็ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมา
เผิงโย่วไจ้ที่เดินกลับไปกลับมาหยุดเดินเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าถอนหายใจออกมาเบาๆ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นยังพอว่า แต่นี่กลับเป็นคนผู้นี้…สุดท้ายแล้วเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายในอดีตของหนิวโหย่วเต้าได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้แก่ทางนี้ นี่จึงทำให้เขากังวลและหวั่นวิตกเป็นอย่างยิ่ง
ความรู้สึกของเฟิงเอินไท่กลับซับซ้อน ทั้งโล่งใจและเป็นกังวลในเวลาเดียวกัน โล่งใจที่หนิวโหย่วเต้าหนีไปแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องลำบากใจอีกแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็กังวลว่าหนิวโหย่วเต้าจะเล่นงานสำนักหยกสวรรค์ สำหรับสำนักหยกสวรรค์แล้ว งานในครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่อาจปล่อยให้เกิดความผิดพลาดได้
“ยังมัวยื่นทื่ออยู่ที่นี่ทำไม? ยังไม่ส่งคนออกไปตามหาอีก?”
แม้จะรู้ดีว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะตามหาหนิวโหย่วเต้าพบ เจ้าเด็กนั่นสามารถหนีรอดการตามไล่ล่าของคนจากหอจันทร์กระจ่างมาได้ ด้วยกำลังของสำนักหยกสวรรค์แล้ว การจะตามหาตัวคนอย่างไร้เป้าหมายนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเกินกำลังไป แต่เผิงโย่วไจ้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตวาดสั่งศิษย์ที่มารายงานข่าว
“ขอรับ!” ศิษย์คนนั้นรีบตอบรับแล้วก้มหน้าวิ่งจากไปโดยเร็ว
หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง เผิงโย่วไจ้ก็หันไปหาทุกคนแล้วเอ่ยว่า “ทุกคนมาหารือเรื่องนี้กันดีกว่า พวกเจ้าคิดว่าหลังจากเขาหนีไปแล้ว เขาจะยังสอดมือมาช่วยทางซางเฉาจงหรือไม่ หากว่าสอดมือเข้ามาแทรกแซงจะเป็นการแทรกแซงเช่นใด? ช่วยกันระดมความคิดเตรียมป้องกันล่วงหน้า!”
“บางทีอาจจะแค่รับรู้ได้ถึงความเสี่ยงจึงหนีไปเท่านั้น”
“ก็ไม่แน่ คนผู้นั้นสนิทสนมกับสองพี่น้องสกุลซาง มีความเป็นไปได้สูงที่จะสอดมือเข้ามาช่วย”
“อย่างนั้นเจ้าลองพูดมาหน่อยสิว่าเขาจะช่วยเหลืออย่างไร? เรื่องทางแคว้นเยี่ยนนี้ได้รับความเห็นชอบจากสามสำนักใหญ่แล้ว ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจะกล้าเข้าแทรกแซงหรือ? หนิวโหย่วเต้าจะไปหาผู้ใดก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น”
“ถ้าหาจากทางแคว้นเยี่ยนไม่ได้ อย่างนั้นเป็นไปได้ไหมว่าเขาจะไปหากลุ่มอิทธิพลอื่นจากนอกแคว้นเยี่ยน อย่างเช่นทางมณฑลจินโจว ดูเหมือนเขาจะมีไมตรีอยู่กับทางไห่หรูเยวี่ย ไห่หรูเยวี่ยยังเคยมาเยือนจังหวัดชิงซานด้วยตัวเองเลย หากว่ากองกำลังทางมณฑลจินโจวยื่นมือแทรกแซงล่ะก็ แบบนั้นคงได้วุ่นวายแน่”
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ สตรีอย่างไห่หรูเยวี่ยคนนั้นสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ นางย่อมแยกแยะผลดีผลเสียได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง นางต้องรู้แน่นอนพันธมิตรที่สามารถยึดมณฑลหนานโจวมาได้นั้นเป็นประโยชน์ต่อมณฑลจินโจว อีกอย่าง เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไห่หรูเยวี่ยจะมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วย ทางวังสวรรค์หมื่นวิมานไม่มีทางนั่งมองดูผลประโยชน์ของตัวเองเกิดความเสียหายโดยไม่ทำอะไรแน่ พวกเขาคงไม่ปล่อยให้จินโจวส่งทหารมาต่อสู้แตกหักกับทางเรากระมัง?”
“ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหอหิมะเหมันต์ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างคลุมเครือเช่นกัน เขาจะไปหาหอหิมะเหมันต์หรือเปล่า?”
“หากเขาไปหาหอหิมะเหมันต์ อย่างมากหอหิมะเหมันต์ก็คงจะแค่ให้ที่พักพิงแก่เขาเท่านั้น ไม่น่าจะทำผิดกฎด้วยการสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องเช่นนี้ได้”
เหล่าผู้อาวุโสถกเถียงหารือกัน หารือไปหารือมาก็สรุปแนวทางที่หนิวโหย่วเต้าอาจจะเข้ามาแทรกแซงไม่ได้อยู่ดี
เฟิงเอินไท่นิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง เขาไม่สะดวกจะเอ่ยอะไรออกไปเช่นกัน
“หรือว่าเขาสามารถติดต่อและบัญชาการไพร่พลของซางเฉาจงโดยตรงได้?”
จู่ๆ ก็มีใครบางคนเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ กระตุ้นให้เผิงโย่วไจ้เกิดความหวาดระแวงขึ้นมาในทันใด เอ่ยด้วยความตื่นตัวว่า “แจ้งไปทางเฟิ่งหลิงปอ ให้ทำการควบคุมและจับตาดูไพร่พลอย่างเข้มงวด จะปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าติดต่อกับแม่ทัพในบังคับบัญชาของซางเฉาจงไม่ได้เด็ดขาด…”
….
ใต้ชายคาเรือนพำนักบนเชิงเขา เหมิงซานหมิงนั่งอยู่บนรถเข็น ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงยืนอยู่ข้างกัน แต่ละคนนิ่งเงียบไร้วาจา
เฟิ่งหลิงปออ้างว่าต้องการกำกับวินัยไพร่พล จึงดำเนินการควบคุมปีกทองทั้งหมดที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกเอาไว้ ทางซางเฉาจงย่อมไม่ได้รับการยกเว้นเช่นกัน นี่เท่ากับว่าการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกทั้งหมดจะต้องผ่านการตรวจสอบของอีกฝ่ายก่อน ซางเฉาจงไม่อาจควบคุมบัญชาการไพร่พลของตัวเองโดยตรงได้อีกต่อไป
ในเวลาเดียวกัน ทางนี้ก็ถูกจับตามองอย่างเข้มงวดเช่นกัน การจะออกไปจากที่นี่นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
แม้จะเริ่มตระหนักถึงเรื่องบางเรื่องได้ตั้งแต่ที่เฟิ่งหลิงปอถูกเลือกให้เป็นผู้บัญชาการทัพแล้ว แต่พอเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริงเข้า พวกเขาก็ยังรู้สึกยากจะยอมรับได้อยู่ดี
แต่ทางนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว มีศิษย์สำนักหยกสวรรค์จำนวนมากคอยเฝ้าติดตามคุ้มกันซางเฉาจงอยู่ตลอดเวลา คนเหล่านี้สามารถคุ้มกันพวกเขาได้ แต่ก็สามารถเอาชีวิตพวกเขาได้เช่นกัน
องครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาจากด้านนอก รายงานว่า “ท่านอ๋อง ท่านหญิงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงดีใจขึ้นมา เอ่ยถามไปว่า “เต้าเหยี่ยมาด้วยหรือไม่?”
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วจริงๆ เรื่องราวอยู่ในการควบคุมของสำนักหยกสวรรค์มาโดยตลอด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทางพวกเขาเลย ได้แต่ต้องรอคำชี้แนะจากหนิวโหย่วเต้าเท่านั้น
ระหว่างที่สอบถามอยู่ ซางซูชิงก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา เดินเข้ามาใต้ชายคาแล้วคารวะทุกคน “เสด็จพี่ ท่านลุงเหมิง อาจารย์หลาน”
“ท่านหญิง!” เหมิงซานหมิงและหลานรั่วถิงทำความเคารพพร้อมกัน
ซางเฉาจงโบกมือให้องครักษ์ถอยออกไปแล้วรีบถามว่า “เต้าเหยี่ยล่ะ?”
ซางซูชิงส่ายหน้าตอบไปว่า “เต้าเหยี่ยไม่ได้มาด้วย เขาบอกว่าเขายังมีธุระต้องจัดการ บอกว่าจะตามมาในวันพรุ่งนี้ ใช่แล้ว ก่อนจากกันเต้าเหยี่ยได้มอบถุงแพรใบหนึ่งให้ข้า บอกว่าหากเสด็จพี่ถามถึงเขา ก็ให้ข้ามอบถุงแพรใบนี้ให้เสด็จพี่เปิดดู” กล่าวจบก็ล้วงถุงแพรใบหนึ่งที่ผูกปากถุงไว้ด้วยไหมสีดำออกมาจากแขนเสื้อ
ความจริงแล้ว หนิวโหย่วเต้ามอบถุงแพรให้นางสองใบ เพียงแต่ได้เอ่ยกำชับย้ำเรื่องการใช้งานอยู่หลายครั้ง
ถุงแรกให้นำออกมามอบให้ซางเฉาจงเปิดดูในสถานการณ์เช่นนี้
ส่วนอีกถุงนั้นต้องรอให้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างแท้จริงก่อนถึงจะเปิดดูได้ ห้ามนำออกมาก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ดังกล่าว แล้วก็ห้ามให้ผู้ใดทราบด้วย มิเช่นนั้นหากข่าวรั่วไหลออกไป อาจจะทำให้เรื่องราวเกิดความเปลี่ยนแปลงได้
เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เกี่ยวพันถึงมณฑลหนานโจวทั้งมณฑล รวมถึงความทุ่มเทในช่วงหลายปีมานี้ของผู้คนมากมาย ดังนั้นยามที่หนิวโหย่วเต้ากำชับจึงเรียกได้ว่าเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างมาก
ซางซูชิงนับว่าเอนเอียงหาคนนอกไปเสียแล้ว ปฏิบัติตามที่หนิวโหย่วเต้ากำชับไว้จริงๆ ปกปิดการมีอยู่ของถุงแพรอีกใบเอาไว้
สายตาของคนทั้งสามที่อยู่บนขั้นบันไดมองไปยังถุงแพรใบนั้นอย่างรวดเร็ว
ซางเฉาจงกระโดดลงมาจากบันได คว้าถุงแพรไปอย่างว่องไว
ขณะที่กำลังจะเปิดดู จู่ๆ หลานรั่วถิงก็ขมวดคิ้วเอ่ยไปว่า “ในเมื่อจะมาวันพรุ่งนี้แล้ว ไยต้องมอบถุงแพรให้วันนี้ด้วย?”
คำพูดตรงเข้าประเด็นสำคัญ หัวคิ้วของเหมิงซานหมิงกระตุกเล็กน้อย “เกรงว่าคงจะไม่มาแล้ว”
ซางเฉาจงร้อนรนขึ้นมาทันที ตอนนี้เขาหวังพึ่งความช่วยเหลือจากหนิวโหย่วเต้าเท่านั้น หากว่าหนิวโหย่วเต้าหนีไปจริงๆ เช่นนั้นก็นับว่าจบสิ้นแล้ว เขารีบแก้มัดปากถุงแพร ด้วยอยากเห็นว่ามีอะไรอยู่ด้านใน
พอเห็นเขามีท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย ซางซูชิงจึงรีบปลอบว่า “เสด็จพี่ อย่าเพิ่งร้อนใจ เต้าเหยี่ยหาใช่คนเช่นนั้นไม่”
นางยังคงเชื่อมั่นในตัวหนิวโหย่วเต้าอยู่ ไม่เชื่อว่าหนิวโหย่วเต้าจะทอดทิ้งพวกนางไปโดยไม่เหลียวแล ยิ่งไปกว่านั้นคืออีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะหมางเมินไม่แยแสเลยด้วย เนื่องจากทางนางยังมีถุงแพรอีกใบที่เตรียมไว้สำหรับยามคับขันอยู่ หากว่าจะทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดีจริงๆ อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมถุงแพรอีกใบไว้ให้ใช้ในภายหลังเลย
ซางเฉาจงเปิดถุงแพรออก มองเห็นว่าด้านในไม่มีสิ่งใด มีเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง เมื่อเปิดออกอ่านก็พบว่าเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง
หลังจากอ่านเนื้อความในจดหมายอย่างรวดเร็ว เขาก็ค่อยๆ สงบอารมณ์ลง มีสีหน้าครุ่นคิดไตร่ตรอง
หลานรั่วถิงเองก็เดินลงบันไดมาแล้วเช่นกัน ขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถาม “ท่านอ๋อง ในจดหมายเขียนอะไรไว้พ่ะย่ะค่ะ?”
“เฮ้อ!” ซางเฉาจงถอนหายใจเบาๆ ไม่เอ่ยอะไร เพียงยื่นจดหมายให้เขาอ่าน
หลานรั่วถิงรับจดหมายไปอ่านเงียบๆ หลังอ่านจบก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
เนื้อหาคร่าวๆ ในจดหมายของหนิวโหย่วเต้าคือขอให้ซางเฉาจงอภัยให้เขาด้วย ตอนนี้เขาได้หลบหนีเลี่ยงภัยไปชั่วคราว แม้จะเป็นการเลี่ยงภัยเอาตัวรอด แต่ก็ทำเพื่อเลี่ยงภัยให้แก่ซางเฉาจงด้วยเช่นกัน เพราะสำนักหยกสวรรค์มีเจตนาร้าย เรื่องราวเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์อันใหญ่หลวงของสำนักหยกสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามของทางฝั่งนี้ที่ขวางทางสำนักหยกสวรรค์ สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่มีทางยอมไว้หน้าเด็ดขาด ไม่ว่าสำนักหยกสวรรค์จะลงมือกับเขาหรือไม่ เขาก็ไม่อาจรั้งอยู่ได้ทั้งนั้น หากเขาอยู่ ทุกคนจะตกอยู่ในกำมือของสำนักหยกสวรรค์ ความเป็นความตายล้วนจะขึ้นอยู่กับสำนักหยกสวรรค์ ทันทีที่งานใหญ่สำเร็จ เมื่อสำนักหยกสวรรค์ไม่มีห่วงให้ต้องพะวงในภายหลังอีก ไม่ใช่แค่เขาที่จะตกอยู่ในอันตราย แม้แต่ซางเฉาจงก็จะมีอันตรายไปด้วย เขาต้องหลบหนีไปเท่านั้นถึงจะทำให้สำนักหยกสวรรค์มีห่วงพะวง แล้วก็จะทำให้ซางเฉาจงปลอดภัย
เนื้อหาในช่วงสุดท้ายหนิวโหย่วเต้ายังคงยืนยันเหมือนที่ผ่านมา ให้คล้อยตามความต้องการของสำนักหยกสวรรค์ ช่วยสำนักหยกสวรรค์พิชิตมณฑลหนานโจว!
มีข้อความแนบท้ายมาด้วยว่าหลังอ่านจบให้ทำลายทิ้งทันที!
เนื้อความในจดหมายมีเพียงเท่านี้ หลักๆ แล้วคืออธิบายถึงสาเหตุที่จำเป็นต้องจากไปไว้เล็กน้อย แต่ยังคงไม่บอกอยู่ดีว่าจะไปทำอะไร
จดหมายถูกส่งต่อไปถึงมือซางซูชิง หลังซางซูชิงอ่านจบก็ส่งต่อให้เหมิงซานหมิง
……
หลายวันต่อมา ในศูนย์บัญชาการกลางชั่วคราวบนเชิงเขาที่สำนักหยกสวรรค์ตั้งอยู่ บุคลากรที่เกี่ยวข้องมารวมตัวกันอีกครั้ง
เผิงโย่วไจ้พาคณะผู้อาวุโสของสำนักหยกสวรรค์มาปรากฏตัวด้วยเช่นกัน ตอนนี้เฟิ่งหลิงปอมีอำนาจมากที่สุด จึงยืนอยู่ในตำแหน่งประธาน บุตรชายทั้งสองที่อยู่ในชุดเกราะยืนประกบด้านหลังสองฝั่งซ้ายขวา องอาจงามสง่า
สำนักหยกสวรรค์ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ในการบัญชาการไพร่พลมากมายขนาดนี้ออกศึกเลย จึงได้แต่ยืนอยู่ด้านข้าง
เฟิ่งหลิงปอกวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทรงพลัง “สายสืบที่ส่งออกไปได้รับข้อมูลใหม่บางอย่างมา ทางราชสำนักเรียกระดมกำลังทหารห้าแสนนายมุ่งหน้าไปรวมตัวที่หกจังหวัดทางตอนเหนือของมณฑลหนานโจวอย่างลับๆ แล้ว พร้อมกับขนส่งเสบียงกรังและหญ้าแห้งจำนวนมหาศาลไปอย่างลับๆ ด้วย สถานการณ์ไม่เอื้อต่อทางฝ่ายเราเลย ไม่ทราบว่าทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้”
ทุกคนเงียบงัน เผิงโย่วไจ้ก็จนปัญญากับเรื่องนี้เช่นกัน เขาคาดการณ์ว่าทางวังเหินเวหา วิมานม่วงทองและสำนักเขากระบี่วิญญาณก็คงจนปัญญากับการกระทำของราชสำนักเช่นกัน ราชสำนักไม่มีทางปล่อยให้มณฑลหนานโจวหลุดมือไปโดยไม่ทำอะไร มิเช่นนั้นซางเจี้ยนสยงฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนคงให้คำอธิบายกับเหล่าขุนนางของแคว้นเยี่ยนไม่ได้
สามสำนักใหญ่ก็ไม่มีทางยอมบอกราชสำนักเช่นกันว่ายอมปล่อยให้ทัพกบฏเข้ายึดครองมณฑลหนานโจวแล้ว หากเจรจากับทางราชสำนักได้ง่ายดายขนาดนั้นก็คงไม่ต้องสู้กันแล้ว ให้สามสำนักใหญ่ไปคุยตรงๆ เลยก็จบ
เดิมทีเรื่องราวก็ซับซ้อนยุ่งยากถ่วงรั้งกันเองอยู่แล้ว เพราะสุดท้ายราชสำนักก็ยังเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกปุถุชนของแคว้นเยี่ยน การบุ่มบ่ามลงมือกับซางเจี้ยนสยงจะก่อให้เกิดความโกลาหลอลหม่านขึ้นทั่วแคว้นเยี่ยน ไม่เป็นผลดีต่อสามสำนักใหญ่เลย
ราชสำนักไม่กระโตกกระตาก หากแต่เลือกลงมืออย่างลับๆ สามสำนักใหญ่ก็ไม่สะดวกจะขัดขวาง ได้แต่ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งไป
………………………………………………….