ตอนที่ 443 ผู้ว่าการมณฑลหนานโจว
ผ่านไปสักพัก เฟิ่งหลิงปอและเผิงอวี้หลานก็ถูกคุมตัวเข้ามาในห้องโถง
คนทั้งสองที่ก่อนหน้านี้ดูภูมิฐานสดใส ผ่านไปวันเดียวกลับเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว สารรูปในยามนี้ทำให้ทุกคนในห้องโถงต้องแอบทอดถอนใจ โดยเฉพาะเฟิ่งหลิงปอที่ถูกลากตัวเขามาด้วยซ้ำ ตัวคนอยู่ในสภาพนิ่งทื่อเลื่อนลอย ราวกับยังตกอยู่ในสภาวะสะเทือนใจ
ทุกคนก็พอจะเข้าใจได้ แผนการล้มเหลวแถมยังสูญเสียไปมากมายมหาศาล ซ้ำบุตรชายทั้งสองยังสิ้นชีพไปด้วย
เผิงโย่วไจ้จ้องมองทั้งสองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ขบกรามจนแก้มตึงขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยเสียงเข้ม “เงยหน้าขึ้นมา!”
เฟิ่งหลิงปอไม่ตอบสนอง ราวกับปัญญาอ่อนไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเสแสร้ง ยังคงบื้อใบ้ไม่ตอบสนอง ทำหูทวนลมไม่แยแสคำพูดของเผิงโย่วไจ้
เผิงอวี้หลานร้องไห้จนสองตาบวมแดง แววตาใจสลาย นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา คล้ายว่าถูกกระตุ้นจากเสียงของบิดา “ท่านพ่อ” นางพลันร้องไห้โฮ ดันตัวกระเสือกกระสนเข้าไปหา หมอบคู้อยู่ตรงหน้าเผิงโย่วไจ้ กอดขาเผิงโย่วไจ้เอาไว้ “ท่านพ่อ อี้เอ๋อร์กับเจี๋ยเอ๋อร์ตายแล้ว ซางเฉาจงสังหารอี้เอ๋อร์กับเจี๋ยเอ๋อร์ ท่านต้องช่วยล้างแค้นให้พวกเขานะเจ้าคะ!”
สีหน้าเผิงโย่วไจ้บิดเบี้ยว เขาย่อมทราบดีว่าหลานชายทั้งสองตายแล้ว ตายไปอย่างไรเขาเองก็ทราบชัดเจนดี แต่เขามิได้เป็นเพียงท่านตาของหลานชายทั้งสองเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเจ้าสำนักหยกสวรรค์ด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสระดับสูงสำนักหยกสวรรค์แล้ว ความแค้นส่วนตัวจะยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่งไปได้หรือ? นี่นางกลับกล้าเอ่ยถึงความแค้นส่วนตัวออกมาต่อหน้าทุกคนอย่างนั้นหรือ!
เขายกเตะเท้าสะบัดเล็กน้อย สะบัดเผิงอวี้หลานจนกลิ้งไปอีกด้าน “เจ้าช่างบังอาจนัก กล้าหลอกลวงผู้อาวุโส นำป้ายคำสั่งไปหลอกศิษย์ในสำนักหยกสวรรค์ได้อย่างไร!” ว่าจบก็เอียงศีรษะส่งสัญญาณไปทางด้านข้างเล็กน้อย
เฉินถิงซิ่วที่อยู่ด้านข้างพลันประกาศความผิดของสองสามีภรรยาออกมาเป็นข้อๆ ในทันที
หลังจากเฉินถิงซิ่วหยุดพูด เผิงโย่วไจ้ก็จ้องมองบุตรสาวและบุตรเขยจากมุมสูงกว่า เอ่ยเสียงกร้าว “ความผิดที่ผู้อาวุโสเฉินกล่าวมา พวกเจ้ามีอันใดจะแก้ตัวหรือไม่?”
เฟิ่งหลิงปอยังคงทำตัวบื้อใบ้อยู่ เผิงอวี้หลานที่น้ำตานองหน้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยความตื่นตะลึง มองบิดาที่มีสีหน้าเคร่งขรึม ในที่สุดก็ได้สติตื่นตัวขึ้นมาแล้ว ท่านพ่อไม่ได้มาเพื่อออกหน้าให้พวกนาง แต่มาเพื่อคิดบัญชีกับพวกนางในฐานะเจ้าสำนักหยกสวรรค์
“นี่ไม่เกี่ยวกับหลิงปอ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เป็นข้าที่บงการทุกอย่าง ข้าปกปิดเขาแล้วส่งบุตรชายทั้งสองไปจัดการ หลิงปอไม่รู้เลยแม้แต่น้อย…” เผิงอวี้หลานรีบเอ่ยละล่ำละลั่ก กวาดมองทุกคนพลางตบอกตน รับความผิดทั้งหมดไว้กับตัวเพียงผู้เดียว หวังจะช่วยให้เฟิ่งหลิงปอหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา
นางทราบแก่ใจดี หากปล่อยให้เฟิ่งหลิงปอแบกรับความผิด เฟิ่งหลิงปอต้องตายแน่นอน แต่ถ้านางรับความผิดไว้ เช่นนั้นมันก็จะต่างออกไป เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวเจ้าสำนัก ทุกคนย่อมเห็นแก่หน้าบิดาของนาง อย่างมากก็ให้นางรับโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คาดว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าบอกให้สังหารนาง นางไม่เชื่อว่าท่านพ่อจะหักใจสังหารนางได้ลง
นางเองก็ไม่ได้เอ่ยแย้งแก้ตัวเช่นกัน เรื่องบางอย่างไม่มีทางปกปิดไว้ได้
พอนางยอมรับผิดเช่นนี้ ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา ล้วนรู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก
สีหน้าเผิงโย่วไจ้ดำคล้ำ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าอยากรับผิดชอบ ข้าก็จะให้เจ้ารับผิด ข้าจะถามเจ้าประโยคเดียว เจ้ารู้ผลลัพธ์ของการยอมรับความผิดนี้ไว้หรือไม่?”
เผิงอวี้หลานนิ่งไป แต่ยังคงเชื่อมั่นว่าบิดาไม่มีทางสังหารตน จึงตะโกนออกไปอีกครั้ง “ศิษย์พูดความจริงทุกประโยค เป็นศิษย์ที่บงการทุกอย่าง หลิงปอไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ศิษย์ยินดีแบกรับความผิดทั้งหมดไว้เจ้าค่ะ!”
“ดี!” เผิงโย่วไจ้โกรธเกรี้ยว แต่กลับยิ้มออกมา เขาพยักหน้าเล็กน้อยพลางโบกมือสั่งการ “หิ้วตัวขึ้นมา!”
ศิษย์ที่ขนาบอยู่ซ้ายขวาลังเล ค่อนข้างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
เผิงโย่วไจ้พลันหันไปมองอย่างโกรธขึง “ยังรู้จักกฎสำนักอยู่หรือไม่?”
ศิษย์ทั้งสองหวาดหวั่น รีบเดินเข้าไปดึงตัวเผิงอวี้หลานที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมา จับแขนนางเอาไว้คนละข้าง
เผิงอวี้หลานหวาดผวา จ้องมองเผิงโย่วไจ้ที่เดินเข้ามาหาทีละก้าวๆ ด้วยความประหม่า
ในเวลานี้เอง เฟิงเอินไท่พลันปรี่เข้ามา ขวางอยู่ระหว่างสองพ่อลูก ขวางหน้าเผิงโย่วไจ้ไว้ ประสานหมัดเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก เรื่องนี้น่าจะมีเส้นสนกลในอยู่ มิสู้ตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยลงโทษเถิด”
เขาและเผิงโย่วไจ้เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ มีอาจารย์คนเดียวกัน นับเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันอย่างแท้จริง ยามไปแคว้นฉีเขาจัดการเรื่องม้าศึกได้ไม่ดี ประสบความสูญเสียอย่างหนัก เดิมทีสมควรไล่ถามความผิดจากเขา แต่ก็เป็นศิษย์พี่ที่คิดหาวิธีช่วยคลี่คลายให้เขา ไม่เพียงแต่ช่วยคลี่คลายให้เท่านั้น แต่ยังทำให้เขามีความดีความชอบในบางส่วนด้วย
เวลานี้หากเขาไม่ออกหน้าพูดแล้วผู้ใดจะออกหน้าเล่า?
ในหมู่ผู้อาวุโสที่เหลือก็มีคนเห็นพ้องด้วย “ใช่แล้ว! เจ้าสำนัก อย่าด่วนตัดสินเลย”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยชี้แจ้งอย่างมีจังหวะจะโคน “เจตนาดีของทุกท่านข้าน้อมรับไว้ด้วยใจ! หากว่าเป็นบุตรธิดาของทุกท่าน เมื่อคำนึงถึงความดีความชอบที่ทุกท่านมีต่อสำนักแล้ว ข้าอาจจะผ่อนปรนให้ได้ตามสถานการณ์ แต่นางคือบุตรสาวของข้า หากบุตรสาวเจ้าสำนักเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำผิดกฎสำนัก ถ้าวันหน้าศิษย์สำนักหยกสวรรค์กระทำผิดจะยังลงโทษกันได้หรือ? ตัวข้าในฐานะเจ้าสำนักยังจะดำเนินการตามกฎสำนักได้หรือ? มีผลงานได้รางวัล กระทำผิดก็ต้องลงทัณฑ์ บ้านเมืองมีกฎหมาย สำนักมีกฎเกณฑ์ หากไม่มีกฎก็ไม่มีทางอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวได้ ความจริงปรากฏอยู่ทนโท่ ทุกท่านอย่าได้พูดอีกเลย!”
พูดจบก็ดันเฟิงเอินไท่ออกไป
“ศิษย์พี่ใคร่ครวญให้ดีเถิด!” เฟิงเอินไท่ประสานมือเอ่ยอ้อนวอนอยู่ด้านข้าง
“ท่านพ่อ!” เผิงอวี้หลานหวาดหวั่นตื่นกลัวแล้ว อดไม่ได้ที่จะดิ้นรนขัดขืน ทว่าดิ้นไม่หลุด
เผิงโย่วไจ้ยืนอยู่ตรงหน้านาง เอ่ยขึ้นว่า “ในฐานะบิดาข้าจะปกป้องเจ้าเช่นไรก็ไม่นับว่าเกินเลยไป แต่ในฐานะเจ้าสำนักหยกสวรรค์…ลูกเอ๋ย เจ้าเลอะเลือนไปเสียแล้ว!” เอ่ยยังไม่ทันจบก็ลงมือทันที ยื่นสองนิ้วแทงเข้าที่หน้าท้องของเผิงอวี้หลานอย่างรุนแรง
เผิงอวี้หลานส่งเสียงกระอักออกมาเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้าง จากนั้นกรีดร้องออกมา เสียงแหลมโหยหวน ทั้งร่างสั่นสะท้านรุนแรง ดิ้นทุรนทุราย สีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ทั้งสองจับนางแน่นไม่ยอมปล่อย
จวบจนยามนี้ ทุกคนในห้องโถงถึงได้ทราบว่าเจ้าสำนักลงโทษบุตรสาวคนนี้อย่างไร เฟิงเอินไท่เบือนหน้าหนี ทนมองไม่ได้
สายลมกระโชกระเบิดออกมาจากตำแหน่งที่เผิงโหย่วไจ้แทง หากใช้ตาทิพย์มองจะเห็นไอปราณจางๆ รั่วไหลออกมาจากหน้าท้องของเผิงอวี้หลานอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวเผิงอวี้หลานเองก็ดูโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมดำขลับปรากฏสีขาวหลายปอยแซมขึ้นมาด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เผิงโย่วไจ้ชักมือกลับ เผิงอวี้หลานคอพับตกลงไป แน่นิ่งไม่ขยับ ผิวพรรณสูญเสียความเต่งตึง ดูแก่ชราขึ้นมาภายในระยะเวลาเพียงชั่วพริบตา
เผิงโย่วไจ้ลงมือทำลายทะเลปราณของบุตรสาวด้วยตัวเอง ทำลายสภาวะทั้งหมดของบุตรสาวด้วยน้ำมือตน ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้อีกแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนล้วนทราบกันดีว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว การที่สภาวะที่พากเพียรบำเพ็ญมานานหลายปีสลายหายไป เช่นนี้ มันเลวร้ายยิ่งกว่าการสังหารนางเสียอีก!
บทลงโทษนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าไม่หนัก แต่สำหรับเผิงโย่วไจ้แล้ว ถึงแม้จะโหดร้ายไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็รักษาชีวิตของบุตรสาวไว้ได้!
เผิงโย่วไจ้ที่หมุนตัวหันหลังค่อยๆ หลับตาลง ข่มความเศร้าในใจไว้ เอ่ยเสียงขรึม “นับแต่นี้ไปเผิงอวี้หลานจะถูกถอนชื่อออกจากสำนักหยกสวรรค์ ขับไล่ออกจากสำนักหยกสวรรค์!”
ทุกคนลอบทอดถอนใจ บุตรสาวทำผิด บิดาผู้มีฐานะเป็นเจ้าสำนักหยกสวรรค์ได้ลงมือทำลายสภาวะบุตรสาวด้วยตัวเอง ซ้ำยังขับไล่บุตรสาวออกจากสำนักอีก ภายหน้าไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในสำนักหยกสวรรค์ก็ไม่อาจว่ากล่าวอันใดได้แล้ว นับว่าได้มอบคำอธิบายให้แก่สำนักหยกสวรรค์ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างแล้ว!
ทุกคนแยกย้ายกันไป เผิงอวี้หลานเองก็ถูกลากตัวออกไปด้วย เผิงโย่วไจ้รั้งตัวเฟิ่งหลิงปอไว้ในห้องโถงเพียงคนเดียว艾琳小說
เผิงโย่วไจ้ยืนอยู่เบื้องหน้าเฟิ่งหลิงปอที่นิ่งทื่อเลื่อนลอย จู่ๆ พลันตวัดมือตบหน้าเฟิ่งหลิงปอฉาดหนึ่ง ตบจนเฟิ่งหลิงปอเลือดกลบปากจมูกทรุดนั่งลงกับพื้น
เฟิ่งหลิงปอยังคงนิ่งทื่อ
เผิงโย่วไจ้ค่อยๆ ย่อตัวลงตรงหน้าเขา แค่นเสียงเหอะพลางเอ่ยว่า “เสแสร้ง! เสแสร้งต่อไป! อวี้หลานรับผิดชอบไปคนเดียว ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว ยังจำเป็นต้องมาเสแสร้งต่อหน้าข้าอีกหรือ? เจ้าเป็นคนเช่นใดข้ารู้ดี อวี้หลานเป็นคนเช่นไรบิดาอย่างข้ารู้ดีเสียยิ่งกว่า หากไม่มีผู้ใดเสี้ยมสอน เรื่องบางเรื่องนางไม่กล้ากระทำออกมาแน่นอน ในตอนนั้น ที่ข้าไม่เห็นด้วยที่จะให้นางแต่งกับเจ้า เพราะข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ได้ต้องตารูปโฉมหรือความสามารถของอวี้หลานเลย อีกทั้งอวี้หลานเองก็ไม่ได้มีรูปโฉมและความสามารถใดๆ เช่นกัน หากแต่เป็นเพราะเบื้องหลังของนางเอื้อประโยชน์ต่อเจ้า ทว่าตัวนางเป็นตายอย่างไรก็จะออกเรือนกับเจ้าให้ได้ ยามนี้นับว่านางได้จ่ายค่าตอบแทนสำหรับทางเลือกของตัวนางเองแล้ว ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้นะ นับจากนี้ไปอย่าได้ทำให้นางต้องได้รับความคับข้องหมองใจใดๆ อีก มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าสิ่งใดคือการอยู่มิสู้ตาย!”
แววตาเลื่อนลอยของเฟิ่งหลิงปอสั่นไหวเล็กน้อย
เผิงโย่วไจ้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีก ลุกขึ้นเดินจากไป
..…
ตกบ่ายวันนั้น เผิงโย่วไจ้ไปพบซางเฉาจงพร้อมกับนำราชโองการของราชสำนักฉบับนั้นไปด้วย
ทั้งสองสนทนากันอยู่นาน พอเผิงโย่วไจ้จากไป สำนักหยกสวรรค์ก็ยกเลิกการกักบริเวณซางเฉาจงแล้วเช่นกัน แล้วก็คืนปีกทองที่ใช้สำหรับติดต่อคนของตัวเองให้ซางเฉาจง
สำนักหยกสวรรค์ส่งข่าวแจ้งเหมยหลินเซิ่งผู้ว่าการจังหวัดหูซี อู๋เทียนตั้งผู้ว่าการจังหวัดอู่หยางและจ้าวซิงเฟิงผู้ว่าการจังหวัดถูอัน เรียกทั้งสามมารวมตัวที่เมืองซั่งผิงทันที
ซางเฉางจงเองก็ส่งข่าวหาไพร่พลทั้งหมดของตนเช่นกัน
เมื่อเหล่าทหารได้รับข่าวก็เริ่มระดมพลทันที กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญมารวมตัวกันอีกครั้ง เร่งมุ่งหน้ามายังเมืองซั่งผิง
ไม่ใช่แค่กององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญเท่านั้น ไพร่พลทั้งหมดของซางเฉาจงที่ถูกแบ่งแยกกระจายออกไปก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ผู้ว่าการจังหวัดทั้งสามที่อยู่ระหว่างทางไม่ทราบถึงเรื่องทั้งหมดนี้เลย
แต่ไม่นานเหมยหลินเซิ่ง อู๋เทียนตั้งและจ้าวซิงเฟิงก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว สำนักหยกสวรรค์สอดมือเข้ามายุ่งกับการติดต่อสื่อสารของกองทัพตนด้วย ทั้งสามล้วนรับรู้ได้ว่าดูเหมือนตนจะถูกสำนักหยกสวรรค์ควบคุมแล้ว พอสอบถามสถานการณ์ ศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่รับหน้าที่คุ้มกันก็ไม่ยอมตอบ บอกเพียงว่าพอไปถึงเมืองซั่งผิงก็จะรู้เอง
หลังจากมาถึงเมืองซั่งผิง ผู้ว่าการจังหวัดทั้งสามถูกสำนักหยกสวรรค์กักบริเวณ เรื่องนี้ทำให้ทั้งสามรู้สึกไม่สบายใจ พอถามหาเหตุผล สำนักหยกสวรรค์ตอบเพียงว่าครอบครัวของพวกเขาก็กำลังอยู่ระหว่างเดินทางมา
ไม่กี่วันต่อมา สำนักหยกสวรรค์ก็พาครอบครัวของผู้ว่าการจังหวัดทั้งสามมาส่งจริงๆ
พอเข้าวันที่สองที่ทั้งครอบครัวมาถึง ผู้ว่าการจังหวัดทั้งสามถึงถูกเรียกไปพบที่ศาลาว่าการ
ภายในโถงหลักของศาลาว่าการ เหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์ที่นำโดยเผิงโย่วไจ้ต่างอยู่พร้อมหน้า แม่ทัพคนสนิทในสังกัดของซางเฉาจงก็อยู่เช่นกัน ส่วนซางเฉาจงยืนอยู่ในตำแหน่งประธาน
ซางเฉาจงยืนอยู่ในตำแหน่งของเฟิ่งหลิงปอ แต่กวาดตามองทั่วแล้วก็ไม่เห็นเฟิ่งหลิงปอเลย ผู้ว่าการจังหวัดทั้งสามเริ่มสงสัยขึ้นมา
พอคนมากันพร้อมหน้า หลานรั่วถิงก็เดินออกมา กางราชโองการจากราชสำนัก ประกาศราชโองการที่ทางราชสำนักแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวออกมาอย่างเป็นทางการ
พอประกาศราชโองการออกไป ทางสำนักหยกสวรรค์ไม่มีความแปลกใจใดๆ แต่สามผู้ว่าการจังหวัดตกใจเป็นอย่างมาก เวลานี้พวกเขาถึงได้รู้ว่าคนที่ได้หัวเราะในท้ายที่สุดก็คือซางเฉาจง เฟิ่งหลิงปอแพ้แล้ว!
เพียงแต่ทั้งสามกลับมองไปทางเผิงโย่วไจ้ด้วยแววตาฉงนและไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้น ซางเฉาจงก็อาศัยตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลหนานโจว สั่งให้ผู้ว่าการจังหวัดทั้งสามระดมกำลังทหารเพื่อให้ความร่วมมือกับแผนการของเขา
จวบจนยามนี้ทั้งสามถึงได้เข้าใจเจตนาของสำนักหยกสวรรค์ขึ้นมา พวกเขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับซางเฉาจงในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ก็เหมือนซางเฉาจงในช่วงก่อนหน้านี้ ชีวิตพวกเขาตกอยู่ในกำมือของสำนักหยกสวรรค์ จึงไม่กล้าขัดขืน
สำนักหยกสวรรค์ทำเช่นนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกเหมือนกัน สำนักหยกสวรรค์เองก็ไม่ได้อยากสร้างความลำบากใจให้พวกเขา แต่ทางซางเฉาจงกลับไม่ยอมปล่อยโอกาสที่หนิวโหย่วเต้าสร้างไว้ให้ไป อาศัยสถานการณ์ที่ทัพใหญ่มณฑลจินโจวเข้าประชิดมาบีบคั้นให้สำนักหยกสวรรค์ต้องยอมประนีประนอม ฉวยโอกาสโยกย้ายไพร่พลของผู้ว่าการจังหวัดทั้งสามเข้าควบคุมอำนาจ
สำนักหยกสวรรค์เองก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาใดๆ ขึ้นในมณฑลหนานโจวอีก ราชสำนักแคว้นเยี่ยนคอยจ้องตาเป็นมันอยู่ หากปล่อยให้ซางเฉาจงต่อสู้กับสามผู้ว่าการจังหวัดต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดีอันใดเลย แม้ว่าการให้ซางเฉาจงได้กุมอำนาจทั้งหมดจะไม่ใช่เรื่องดี แต่พวกเขาจำเป็นต้องเลือกหนทางที่เกิดความเสียหายน้อยกว่า มีการตกลงประนีประนอมกันในหลายๆ เรื่อง พวกเขาตกลงให้ซางเฉาจงระดมอำนาจด้านการทหารของมณฑลหนานโจวเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันโดยเร็วที่สุด แต่กลับเพิ่มการควบคุมความปลอดภัยของซางเฉาจงให้มากขึ้น กำชีวิตของซางเฉาจงไว้ในมือไม่ยอมปล่อย
…………………………………………………………………..