ตอนที่ 454 โชคก้อนใหญ่
“ภาพแมลงบนกระดาษเป็นภาพที่วาดขึ้นจากความทรงจำของข้า ลอกเลียนแบบมาจากลุงเฉิน เขาประทับภาพแมลงตัวหนึ่งเอาไว้บนมุมกำแพงฝั่งตะวันตกนอกโรงเตี๊ยม…” หยวนกังบอกเล่าเหตุการณ์ผิดปกติที่ตนสังเกตเห็น ทั้งเรื่องการลอบติดต่อระหว่างลุงเฉินและคนนอก ตลอดจนเรื่องที่แอบสะกดรอยตามคนผู้นั้นไป
แววตาก่วนฟางอี๋วูบไหวไปมาไม่นิ่ง ในใจทั้งรู้สึกตกใจและสับสนเช่นกัน แต่ปากกลับยังไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น เอ่ยด้วยความโกรธว่า “เรื่องนี้จะพิสูจน์อะไรได้? พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนเตียงเอ่ยอย่างเย็นชา “ทันทีที่มาถึงเมืองวั่นเซี่ยงก็มีสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาดักรอ เจ้าไม่คิดว่ามันผิดปกติบ้างหรือ?”
ก่วนฟางอี๋หัวเราะหยันเอ่ยไปว่า “มีความเป็นไปได้มากมายนัก เต้าเหยี่ย เจ้าคงไม่ได้คิดว่าลุงเฉินสมคบกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กระมัง?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จู่ๆ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็ออกจากมณฑลเป่ยโจวเมื่อราวยี่สิบวันก่อน ดูจากระยะเวลาแล้ว ไม่ได้เสียเวลาแวะไปที่ใดเลย หากแต่มุ่งตรงมายังเมืองวั่นเซี่ยง จากนั้นก็มาดักขวางข้าไว้ จุดหมายในการเดินทางครั้งนี้ของข้าอย่างน้อยๆ สิบวันก่อนแม้แต่กงซุนปู้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ คนที่รู้เรื่องราวมาก่อนมีเพียงเจ้ากับเจ้าลิง แล้วสำนักสวรรค์พิสุทธิ์รู้ถึงจุดหมายปลายทางของข้าได้อย่างไร? เจ้าคงจะเผยจุดหมายปลายทางให้ลูกน้องของเจ้ารู้กระมัง?”
ก่วนฟางอี๋ทบทวนถึงปัญหานี้อยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา แต่ปากกลับโต้แย้งไป “ข้าเคยบอกไปจริงๆ แต่พรรคพวกในสวนไม้เลื้อยของข้าติดตามข้ามานานหลายปี ไม่มีปัญหาแน่นอน หากมีปัญหาจริงๆ ก็คงไม่รอจนถึงวันนี้ ลุงเฉินอยู่ข้างกายข้ามาสามสิบปีแล้ว เคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง คนอื่นอาจจะมีปัญหาได้ แต่มีเพียงเขาที่ไม่มีปัญหาแน่นอน เจ้าคงไม่คิดว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะจัดวางสายลับไว้ข้างกายข้ามานานสามสิบปีกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าไม่ตอบแต่ถามไปว่า “ด้วยกำลังของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ไม่มีทางสลัดพ้นจากการควบคุมของเซ่าผิงปอได้ ครั้งนี้ที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์สามารถออกจากเป่ยโจวมาได้ก็เพราะมีคนออกโรงช่วย เป็นจ้าวสยงเกอแห่งยอดเขาภูตมาร!”
“จ้าวสยงเกอ?” ก่วนฟางอี๋ตกใจเป็นอย่างมาก
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ต่อไปว่า “ที่เรียกระดมกำลังศิษย์ชั้นยอดของสามสำนักให้มุ่งหน้ามาอย่างลับๆ ข้าเพียงแต่ล้อเล่นไปเท่านั้น เจ้าลิงก็ไม่ได้ติดต่อไปจริงๆ แต่ทางเจ้าอาจจะมีคนหลงเชื่อจริงๆ”
“……” ก่วนฟางอี๋อ้าปากค้างพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้คิดว่าการที่หนิวโหย่วเต้าจะทำลายล้างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มันออกจะเกินไปหน่อยจริงๆ ที่แท้ก็เป็นเรื่องโกหก
ชั่วพริบตานั้นนางพลันกระจ่างขึ้นมา นั่นคือกับดักที่จงใจวางไว้ จงใจพูดเพื่อให้ทางฝั่งนางได้ยิน จงใจแสร้างทำเป็นสร้างภัยคุกคามทำลายสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ทำให้เกิดสถานการณ์เร่งด่วนขึ้นมา บีบให้สายลับที่อาจจะแฝงตัวอยู่จำเป็นต้องส่งข่าวออกไป จากนั้นทางนี้ถึงมีโอกาสสืบเสาะหาตัวสายลับออกมา
เป็นลุงเฉินจริงๆ น่ะหรือ? ก่วนฟางอี๋ยากจะยอมรับความจริงนี้ได้ เอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่ “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ต้องมีความเข้าใจผิดอันใดไปแน่นอน!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อยู่ข้างกายเจ้ามาได้นานขนาดนี้โดยไม่ถูกเจ้าจับได้ ปกปิดเอาไว้แนบเนียนโดยแท้ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าสรุปแล้วในตัวเจ้ามีความลับใดอยู่กันแน่ ถึงได้มีค่ามากพอให้ใครบางคนหรือกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มแทรกซึมเข้ามาอยู่ใกล้ตัวเจ้าถึงสามสิบปี”
ก่วนฟางอี๋ถือกระดาษลุกพรวดขึ้นมา จ้อมองภาพวาดแมลงบนกระดาษ พลันกัดฟันแล้วหันหลังไปทันที “ข้าจะไปถามเขาตรงๆ!”
“ช้าก่อน!” หนิวโหย่วเต้าร้องห้าม
ก่วนฟางอี๋หยุดฝีเท้า หันกลับมามอง ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยว “เจ้าคงไม่ได้สงสัยแม้แต่ข้าด้วยกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สงสัยสักหน่อยมันผิดด้วยหรือ? หงเหนียง เจ้าน่าจะรู้แก่ใจดี ข้าไว้วางใจเจ้าเสมอมา”
ก่วนฟางอี่เบือนหน้าออกด้านข้าง แค่นเสียงเอ่ย “ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมามันจริงหรือเท็จ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “อยากให้ข้าพูดความจริงอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าพูดความจริงไปแล้วเจ้าจะทนฟังไม่ได้น่ะสิ!”
ก่วนฟางอี๋หันกลับมามองทันที “พูดมา!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เป็นเจ้าที่ให้ข้าพูดเองนะ…น่าเสียดายที่เจ้าอายุมากไปหน่อย มิเช่นนั้นข้าต้องแต่งกับเจ้าแน่นอน”
ก่วนฟางอี๋เบิกตากว้างทันที นางยกเท้าที่อยู่ใต้กระโปรงขึ้นมา ถอดรองเท้าปักลายข้างหนึ่งขว้างออกไป จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปตบตีหนิวโหย่วเต้า
สถานการณ์ค่อนข้างน่าเวทนาเกินทนดูได้ ก่วนฟางอี๋ขึ้นคร่อมอยู่บนร่างหนิวโหย่วเต้า ท่าทางคล้ายอยากจะบีบคอหนิวโหย่วเต้าให้ตายใจแทบขาด
หยวนกังที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเรียบเฉย เดินไปหยิบแผนที่ด้านข้างมาตรวจดู ไม่สนใจเรื่องราว
หนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนเตียงอ้อนวอนอยู่หลายครั้ง ก่วนฟางอี๋ถึงตระหนักได้ว่าท่าคร่อมของตนค่อนข้างมันดูไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ พวงแก้มแดงก่ำขึ้นมาอย่างที่เห็นได้ยาก นางพลิกตัวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว จัดแจงกระโปรงให้เรียบร้อย หยิบรองเท้าปักลายข้างที่อยู่บนเตียงมาสวมกลับเข้าเท้า ปากยังคงสบถด่า “น่าจะบีบคอตัวสารเลวอย่างเจ้าให้ตายไปซะ!”
ด่าก็ส่วนด่า แต่ในใจกลับปลอดโปร่งขึ้นมาก อารมณ์ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
หนิวโหย่วเต้าทอดถอนใจอยู่พักหนึ่ง ปีนลุกขึ้นมาจากจัดแจงเสื้อผ้าที่ยับยุ่งพลางเอ่ยเตือนสติไป “ตอนนี้บีบให้เขาเผยตัวออกมาแล้ว ความจริงปรากฏให้เห็นแล้ว จะสอบถามหรือไม่ก็ไม่สำคัญ มีข้อสงสัยอันใดก็เอาไว้ว่ากันทีหลัง ตอนนี้เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่ายังไม่ควรแหวกหญ้าให้งูตื่น เรื่องสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ข้าจะตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นมาอย่างไร ไม่อาจรับมือโดยที่ไม่รู้อะไรเลยได้ ข้าจะบีบให้คนที่อยู่เบื้องหลังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เผยตัวออกมาด้วย หากเจ้าเปิดเผยเรื่องราวออกไปตอนนี้ ไม่เท่ากับข้าต้องเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ?”
ก่วนฟางอี๋เงียบไปเล็กน้อย คิดทบทวนดูเล็กน้อย พบว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่ามาจริงๆ แต่ปากก็ยังคงด่าออกไปว่า “จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!”
หลังด่าจบตัวนางก็ค่อยๆ นั่งลงตรงขอบเตียง สีหน้าหม่นหมอง ในใจยังคงยากจะยอมรับความจริงที่ว่าลุงเฉินเป็นสายลับได้
หนิวโหย่วเต้านั่งขัดสมาธิ เอ่ยถามไป “เขามาติดตามเจ้าตั้งแต่เมื่อไร?”
ดวงตาของก่วนฟางอี๋ฉายแววหวนคิดถึงความหลัง “บังเอิญพบกันระหว่างทาง ตอนนั้นเขาบาดเจ็บสาหัสล้มอยู่ข้างทาง ข้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือเขา พอสอบถามความเป็นมาของเขา เขาก็ไม่ยอมบอก ตอนนั้นช่วยเขาโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ทว่าเขากลับติดตามข้ามาตลอด ยามที่ข้าเผชิญปัญหายากลำบาก เขาจะยื่นมือช่วยเหลือข้า หลังจากนั้น เขาเองก็ไม่เคยเรียกร้องอะไร ข้าเองก็ไม่ได้ฝืนบังคับ เขาติดตามอยู่ข้างกายข้ามาเช่นนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว พริบตาเดียวก็ผ่านมาสามสิบปี ระหว่างนั้นเคยประสบความยากลำบากมาไม่น้อย เขาทุ่มชีวิตช่วยเหลือมาโดยตลอด ไม่เคยมีข้อเรียกร้องใดๆ ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้มุ่งหวังในความงามของข้า เหตุใดจึงกลายเป็นสายลับไปใด มีแผนใดต่อตัวข้ากัน? ข้าคิดมาตลอดว่าเขาอยากตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตของข้าเป็นทบเท่าพันทวี แต่จะว่าไปก็ถูกแล้ว แม้แต่ชื่อจริงของเขาคืออะไรข้าก็ยังไม่รู้เลย เขาเองก็ไม่เคยบอก…”
หนิวโหย่วเต้าฟังนางเล่าเรื่องราวอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกสับสนไม่เข้าใจเล็กน้อย ไม่สอดคล้องกับวิสัยตามปกติของสายลับเลย ชวนให้คนฉงนเป็นอย่างยิ่ง
….
ภายในตรอกเล็กๆ ที่ห่างไกลผู้คนที่อยู่ในซอกมุมหนึ่ง ภายในเรือนเล็กหลังหนึ่งมีแสงตะเกียงส่องสลัว
เห็นได้ชัดว่าเดิมที่นี่เป็นสถานที่เก็บข้าวของจิปาถะ มีเพียงเตียงไม้กระดานสำหรับนอนพักผ่อนตั้งไว้หลังหนึ่ง ข้างเตียงจัดวางโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง พื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ดูเหมือนแค่หันหลังเดินสองสามก้าวก็ยังทำได้ลำบาก
เวลานี้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมมีสุราอาหารจัดวางไว้เต็มโต๊ะ สุราอาหารอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ดูไม่ค่อยเข้ากับสภาพแวดล้อมในที่แห่งนี้เลย
คนสองคนนั่งอยู่คนละฝั่งโต๊ะ ลู่เซิ่งจงกำลังร่ำสุรากับชายในชุดที่ดูเก่าโทรมคนหนึ่ง
ชายคนนี้มีนามว่าเฉาเซิ่งไห่ เป็นคนในเมืองวั่นเซี่ยงแห่งนี้ แล้วก็เป็นคนตกอับในเมืองวั่นเซี่ยงด้วย
เดิมทีชีวิตความเป็นอยู่ของเฉาเซิ่งไห่ก็ยังดีๆ อยู่ มีร้านค้าอยู่ติดถนน ซ้ำยังมีคฤหาสน์ที่ได้รับจัดสรรมาด้วย จนใจที่เป็นผีพนัน ทำให้ไม่เพียงแต่จะสูญเสียทรัพย์สินไปเท่านั้น แต่กระทั่งภรรยาก็จากไปด้วย ยามนี้รับจ้างทำงานจิปาถะให้ผู้อื่น แต่เสียตรงที่เป็นคนเกียจคร้าน คนประเภทนี้ไม่มีผู้ใดอยากจะจ้างวาน ดังนั้นชีวิตจึงค่อนข้างอัตคัดขัดสน
ว่ากันตามหลักแล้วคนประเภทนี้หากไม่อยู่ในเมืองวั่นเซี่ยงคงอดตายไปแล้ว ไม่มีทางอยู่รอดต่อไปได้ แต่ปู่ของคนผู้นี้ยังอยู่ ตำแหน่งในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ไม่ได้ต่ำต้อยเลย นั่นก็คือเฉาจิ้งผู้อาวุโสในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ถึงแม้จะมีคนไม่น้อยที่ไม่ชอบใจในตัวคนผู้นี้ แต่ถึงจะปล่อยให้ผู้ใดหิวตายก็ไม่อาจปล่อยให้หลานชายของผู้อาวุโสเฉาหิวตายได้ เนื่องด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ที่พักเล็กๆ สำหรับซุกหัวนอน ทุกเดือนล้วนจะได้รับปันส่วนเสบียงอาหารตามเกณฑ์ขั้นต่ำ
หากจะถามว่าเหตุใดผู้อาวุโสเฉาถึงไม่ออกหน้าช่วยดูแลหลานชายของตน ปล่อยให้หลานชายต้องมีชีวิตลำเค็ญและไร้หนทางเช่นนี้
ประการแรกคือทุกสำนักล้วนมีกฎระเบียบในแบบของสำนักตน ในฐานะผู้อาวุโสที่มีสายตามากมายจับจ้องอยู่เช่นนี้ จึงไม่อาจทำการใดเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้
ประการที่สอง ผู้อาวุโสเฉาเป็นชายที่ค่อนข้างเจ้าสำราญ มีภรรยาที่ตบแต่งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการอยู่มากมาย เวลาผ่านไปนานเข้า ภายในเมืองวั่นเซี่ยงแห่งนี้ก็มีลูกหลานของผู้อาวุโสเฉาอยู่หลายร้อยคนแล้ว จะให้มาคอยดูแลครบถ้วนทุกคนก็คงทำไม่ได้ เกรงว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็คงจำลูกหลานของตนได้ไม่หมดเช่นกัน
แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง ผู้อาวุโสเฉามีตำแหน่งระดับนั้น นั่นก็นับเป็นการดูแลลูกหลานอย่างกลายๆ อยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เดิมทีเฉาเซิ่งไห่ได้รับคฤหาสน์และร้านค้าที่บิดาทิ้งไว้ให้ ทั้งหมดเพียงพอจะทำให้อยู่สุขสบายไร้กังวลไปทั้งชีวิตแล้ว จนใจที่ตัวเฉาเซิ่งไห่คนนี้ไม่เอาถ่านเกินไป
สรุปคือไม่ว่าจะพูดอย่างไร ประชาชนในเมืองวั่นเซี่ยงล้วนได้นับการคุ้มครองจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ตามปกติแล้วใช้ชีวิตสงบปลอดภัย ทำมาค้าขายไปได้ตลอด เทียบกับชาวบ้านที่ตกระกำลำบากอยู่ในโลกภายนอกอันวุ่นวายแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลกับชีวิตความเป็นอยู่ เฉาเซิ่งไห่นับว่าเป็นกรณีที่พบเห็นได้ค่อนข้างน้อยจริงๆ
ส่วนลู่เซิ่งจงหลังจากตระเวนสอบถามข้อมูลในเมืองก็มาต้องตาชายตกอับคนนี้เข้า
หลังจากชนจอกร่ำสุรพูดคุยกันไปสักพัก ลู่เซิ่งจงรินสุราให้เขา เอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “เฉาซยง หวังว่าเจ้าจะช่วยพูดกับทางพี่ชายของเจ้าให้หน่อยนะ!”
เฉาเซิ่งไห่ที่ดื่มจนหน้าแดงหูแดงไปหมดแล้วตบอกเอ่ยรับรองว่า “เจ้าวางใจได้ ข้ากับพี่สิบเก้าเติบโตมาด้วยกัน เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง ข้าจะให้พี่สิบเก้าช่วยออกหน้าสะสางข้อพิพาทนี้ให้เจ้าแน่นอน ในเมืองหลวงแคว้นซ่งคนที่กล้าไม่ไว้หน้าสำนักหมื่นสรรพสัตว์เรามีอยู่แทบจะนับนิ้วได้”
ลู่เซิ่งจงนึกดูแคลนอยู่ในใจ ในเมื่อมาหาอีกฝ่ายได้ แสดงว่าเขาย่อมสืบประวัติมาจนกระจ่างแล้ว ในบรรดาลูกหลานมากมายของตระกูลเฉา มีเพียงเฉาเซิ่งไหว หรือก็คือพี่สิบเก้าที่คนผู้นี้กล่าวถึงที่มีคุณสมบัติเหมาะจะบำเพ็ญเพียร แต่พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรก็มีขีดจำกัด เส้นทางอนาคตไม่นับว่ารุ่งโรจน์นัก ด้วยบารมีของเฉาจิ้งทำให้พอฝืนยืนหยัดอยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วยตำแหน่งอิหลักอิเหลื่อไม่สูงไม่ต่ำได้
แต่นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ลู่เซิ่งจงหมายตา เขาเอ่ยชื่นชมด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม “ใช่ๆๆ ด้วยบารมีของผู้อาวุโสเฉาไม่มีทางเกิดปัญหาขึ้นแน่”
“เอื้อก…” เฉาเซิ่งไห่เรอสุราออกมาคราหนึ่ง ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เอ่ยไปว่า “หลี่ซยง เรื่องช่วยน่ะช่วยได้ แต่ตามหลักแล้วต้องคุยกันให้ชัดเจนก่อน พี่สิบเก้าก็คงไม่มีทางยอมเดินทางไกลนับพันลี้ไปยังเมืองหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้เจ้าเพียงเพราะพวกเรามานั่งร่ำสุรากันแบบนี้ อย่างน้อยๆ มันก็ต้องมีคำอธิบายให้เขาสักหน่อยหรือเปล่า?”
การที่ไอ้ตัวสวะคนนี้เอ่ยเช่นนี้ออกมาก็เป็นเรื่องที่ลู่เซิ่งจงคาดการณ์เอาไว้แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่มาหาแน่ เขาพลันโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย “พี่เฉาวางใจเถอะ หลังจบเรื่องจะตอบแทนอย่างงามแน่!” ว่าพลางล้วงเหรียญทองออกมาสองเหรียญ ดันไปไว้ตรงหน้าอีกฝ่าย
ดวงตาเฉาเซิ่งไห่เปล่งประกายนิดๆ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเงินสองเหรียญทองอาจจะไม่นับเป็นอันใดเลย แต่สำหรับตัวเขาในตอนนี้ มันเพียงพอจะให้อยู่สุขสบายไปได้อีกสักพักเลย แต่ก็ยังสงวนท่าทีไว้ไม่ยื่นมือออกไป ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “หลังจบเรื่องจะตอบแทนอย่างงามเช่นไรมันก็ต้องตกลงกันให้ชัดเจนก่อน มิเช่นนั้นตัวข้าที่เลอะเลือนคงไม่สามารถไปอธิบายกับทางพี่สิบเก้าให้ชัดเจนได้ใช่หรือเปล่า”
“แน่นอน!” ลู่เซิ่งจงพยักหน้ารับ โน้มหน้าเข้าไปเอ่ยกระซิบว่า “ข้ามีโชคก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งจะมอบให้พี่ชายเจ้า ข้าทราบที่อยู่ของราชาหมีขนทอง…”
…………………………………………………