จอมบงการเทพยุทธ์ – บทที่ 57 กระแสใยปราณแห่งความโกลาหล รา

จอมบงการเทพยุทธ์ - บทที่ 57 กระแสใยปราณแห่งความโกลาหล รา

กท่าน ร่องรอยของจักรพรรดิโบราณอาจอยู่บนนั้นก็เป็นได้

ผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนชูเงยหน้าขึ้น เปี่ยมไปด้วยความนับถือ

เขาสัมผัสได้ว่ากระแสพลังที่เหนือกว่าสิ่งใดในโลกนั้นมาจากแท่นสักการะเทพเซียนที่อยู่ด้านบน กระแสพลังที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก

แม้ว่ากระแสพลังนั้นจะทําให้เขารู้สึกเคารพนับถือจากใจ แต่เขาก็ไม่เกรงกลัว

คงเพราะนี่เป็นกระแสพลังของจักรพรรดิโบราณเผ่ามนุษย์!

ผู้นําคนอื่นๆ ของมนุษย์เองต่างมีสีหน้าเช่นเดียวกับผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนชู พวกเขาต่างมีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพนับถือ

“ก้าวเดินบนเส้นทางเพื่อสักการะองค์จักรพรรดิ

ผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนชสูดลมหายใจเข้าลึก และก้าวเดินขึ้นไปบนมังกรที่คดเคี้ยวมุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า

ผู้นํานิกายที่เหลือก็ค่อยๆตามกันไป

กระทั่งเสือยักษ์สีด่าและเจ้านิกายเทียนเฉินเองก็ตามมาติดๆ พวกแบกความข้องใจไว้ในหัวใจ และก้าวเดินไปบนเส้นทางโบราณไปติดๆ

ทุกคนก้าวขึ้นบันไดและมุ่งหน้าไปสู่ความว่างเปล่า

ขณะที่ทุกคนกําลังมุ่งหน้าต่อไป ระยะห่างระหว่างแท่นสักการะเทพเซียนก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และแรงกดดันโดยรอบก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน

ในท้ายที่สุด เหล่าผู้นําของมนุษย์ก็ต้องโคจรพลังปราณออกมาเพื่อต่อต้านพลังนั้น

ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้นําของมนุษย์ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

ในแดนร้างตะวันออกที่กว้างใหญ่นี้ มีไม่กี่คนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่มวลมนุษย์

แต่หากเทียบกับเผ่าพันธุ์หมื่นเซียนแล้วนั้น พวกเขาต่างก็เป็นคนไร้นาม

แต่ในตอนนี้ เพียงแค่แท่นสักการะเทพเซียนที่มีอายุหลายหมื่นปีที่มีกลิ่นอายของจอมจักรพรรดิโบราณ กลับทําให้พวกเขาต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อต้านทาน

หากจอมจักรพรรดิโบราณจุติลงมายังโลกใบนี้จริงๆ จะมีพลังมากเพียงไหนกัน?

เกรงว่าเพียงแค่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาตามธรรมชาติ ก็เพียงพอจะทําลายล้างทุกสิ่งแล้ว หากพวกเขาไม่สะกดพลังของตนเอาไว้ ก็คงไม่มีผู้ใดเข้าใกลได้

เหล่าผู้นําทั้งห้าของเผ่ามนุษย์ต่างต้านทานแรงกดดันอย่างยากลําบาก

เสื้อดํายักษ์ตัวนั้นก็ไม่เป็นอะไร แม้ว่าเขตแดนพลังยุทธของมันจะไม่สูงมากนัก แต่เพราะการปกป้องของโองการราชันบรรพบุรุษ มันจึงตามเข้าไปได้

แต่เป็นผู้นํานิกายเทียนเฉินในครานี้ดูน่าอับอายและน่าสังเวชมากยิ่งไปอีก

ก่อนหน้านี้เขาถูกจิตสังหารของกิ่งจักรพรรดิปีศาจที่สลักไว้บนอนุสรณ์โบราณเข้าเล่นงานอย่างหนัก

แต่ในตอนนี้การที่พยายามต้านทานแรงกดดันนี้ทําให้เขายิ่งน่าอับอายมากไปกว่าเดิมอีก

บาดแผลบนร่างกายปริแตก เลือดไหลทะลัก ย้อมให้เส้นทางใต้เท้ากลายเป็นสีแดง

ทว่า ผู้นํานิกายเทียนเฉินก็ดูราวกับเป็นคนบ้า เขากัดฟันและมุ่งมั่นที่จะเดินขึ้นไป และไม่ยอมที่จะหยุดฝีเท้า

ในท้ายที่สุด พวกเขาก็หยุดฝีเท้าและไปไม่ถึงแท่นสักการะ เพราะว่าพวกเขาไปถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางโบราณแล้ว ไม่มีทางเดินอีกต่อไป

ระหว่างเส้นทางโบราณและแท่นสักการะ แม้จะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยจัง แต่มันแยกจากกัน ดูราวกับอยู่ห่างไกลดุจดังแดนดารา

เพราะกระแสใยปราณโกลาหลที่พัดโบกมาจากความว่างเปล่านั้นได้บดบังพื้นที่ด้านหน้าพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถเข้าใกลได้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถเข้าใกล้แท่นสักการะโบราณได้ และทําได้เพียงยืนตรงนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกลึกล้ํายิ่งกว่าแต่ก่อน

อากาศโดยรอบสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่มันจะแผ่ขยายและกดทับเข้าใส่จนทําให้ต้องหวั่นเกรง และคุกเข่าลง

“ข้าก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้อีก”

ผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์ยู่เหิงเอ่ยปาก มีประกายความผิดหวังอยู่ในน้ําเสียง

บนแท่นสักการะเทพเซียนนั้น อาจมีความลับอันลึกล้ําตั้งแต่สมัยอดีตกาลซ่อนเอาไว้อยู่ แต่มันถูกปิดกั้นด้วยกระแสใยแห่งความโกลาหลจนมิสามารถค้นหาช่องว่างได้

เหล่าผู้นําไม่มีความรู้สึกผิดหวัง แววตาของพวกเขาเป็นประกายดั่งสายฟ้า ทอประกายไปด้วยความหวัง มองขึ้นไปยังแท่นสักการะราวกับต้องการจะมองทะลุผ่านม่านหมอกที่ขุ่นมัวของกระแสใยปราณดูสิ่งที่อยู่บนแท่นสักการะเทพเซียนนั้น

แต่ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ กระแสใยม่านแห่งความโกลาหลนั้นหลั่งไหลราวกับแม่น้ําสวรรค์ปิดบังความว่างเปล่านั้นโดยสมบูรณ์

เหล่าผู้นําของมนุษย์ต่างผิดหวังและกําลังจะละสายตาออกไป แต่ในจังหวะนั้นเอง น้ําตกกระแสใยที่วุ่นวายก็สั่นสะเทือน ก่อนที่จะเปิดช่องว่างและเปิดออก แสดงให้เห็นถึงแท่นสักการะด้านหลัง!

มันเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที เรียกได้ว่าเป็นชั่วพริบตา

แต่เหล่าผู้นําของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคนเห็นมัน แม้จะเป็นชั่วพริบตา แต่พวกเขาก็เห็นแท่นสักการะ!

“นั่นมัน…”

“เทพเจ้า !”

“ข้าเห็นอะไรกัน!”

ทุกคนกรีดร้องออกมาเสียงดัง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นช่างอัศจรรย์ ราวกับตํานาน!

พวกเขาเห็นอะไรกัน?

บนแท่นสักการะที่งดงามและไร้ที่สิ้นสุด ดูราวกับว่ามีร่างที่ดูพร่ามัวนั่งขัดสมาธิหันหลังมาให้พวกเขาอยู่

มันช่างเป็นแผ่นหลังที่สง่างาม ผมสีดํายาวสลวยราวกับน้ําตกพาดลงมาบนบ่าเขาอย่างเบาบาง เพียงแค่เหลือบมองก็พร้อมจะทําให้คนคุกเข่าลงกราบคารวะได้ในทันใด

เพียงแค่แวบเดียว ราวกับเวลาได้ผ่านไปหลายพันล้านปี

ชั่ววินาทีถัดมา ม่านน้ําตกแห่งความวุ่นวายก็ร่วงหล่นกลับลงมาปกปิดทุกอย่างอีกครั้ง

“จะ…จอมจักรพรรดิที่ยังมีชีวิต”

ผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์ยู่เหิงยึดคอตรง เสียงสั่นสะท้าน

พวกเขาเห็นแผ่นหลังนั้นที่ไม่มีทางจะเป็นเรื่องลวงหลอก

ว่ากันว่ามีจอมจักรพรรดิของมนุษย์อยู่ที่นี่จริงๆ เขาเป็นผู้ที่มีชีวิตอันนิรันดร์จริงๆ งั้นรึ?

“จักรพรรดิโบราณ”

ในตอนนี้ เหล่าผู้นําทั้งห้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก้มลงกราบไปยังทางของแท่นสักการะเทพเซียน

ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และแม้มันจะเป็นเพียงร่องรอยส่วนหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้โดยจอมจักรพรรดิมนุษย์ในอดีต ไม่ว่าอย่างไรแล้ว มันก็เหมาะสมต่อการกราบไหว้บูชา

“จักรพรรดิโบราณบ้าบออะไร ข้าไม่เชื่อ!”

“ไม่มีทางที่เผ่าพันธุ์มนุษย์อ่อนแอเช่นนี้จะสร้างตัวตนระดับนั้นขึ้นมาได้!”

ผู้นํานิกายเทียนเฉินร้องคํารามอย่างบ้าคลัง

เขาพึ่งจะได้เห็นภาพที่ทําให้หัวใจสั่นสะท้าน แต่ไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นของจริง และเขาก็ใช้โอกาสนี้ที่กระแสม่านปราณแห่งความโกลาหลเปิดออกกระโดดเข้าไปด้านหน้า!

เขาจะขึ้นไปยังแท่นสักการะนั้น และทําลายความเชื่อจอมปลอมนี้!

เจ้านิกายเทียนเฉินนั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้า

แต่ก็ไร้ประโยชน์ ม่านน้ําตกแห่งความว่างเปล่ากลับมาอีกครั้ง และมันก็ร่วงหล่นลงใส่หัวของเจ้านิกายเทียนเฉินในทันที!

เขาไม่สามารถขัดขืนได้แม้แต่น้อย

เจ้านิกายเทียนเฉินไม่มีกระทั่งเวลาจะกรีดร้อง เขาถูกกระแสอากาศที่วุ่นวายนั้นบดขยีในทันใด

เมื่อความผันผวนนั้นหายไป ร่างหนึ่งที่ดูไม่ใช่ร่างของเจ้านิกายเทียนเฉินอีกต่อไปก็ร่วงลงมา

เจ้านิกายเทียนเฉินจบสิ้น!

กระแสพลังที่วุ่นวายนี้สามารถสังหารราชันศักดิ์สิทธิ์ระดับหกได้ราวกับขยี้แมลง

แท่นสักการะนั้นยิ่งใหญ่ กระแสใยปราณแห่งความโกลาหลพัดโบกกลายเป็นคลื่นที่ดูงดงาม

ท่ามกลางฟ้าดิน มีแต่ความเงียบสงัด

ราวกับจะบอกให้ทั้งโลกได้รับรู้ ว่าไม่มีผู้ใดขัดขวางความยิ่งใหญ่ของจอมจักรพรรดิโบราณได้

บทที่ 57 กระแสใยปราณแห่งความโกลาหล ราชันศักดิ์สิทธิ์ประหารมาร

“ทุกท่าน ร่องรอยของจักรพรรดิโบราณอาจอยู่บนนั้นก็เป็นได้

ผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนชูเงยหน้าขึ้น เปี่ยมไปด้วยความนับถือ

เขาสัมผัสได้ ว่ากระแสพลังที่เหนือกว่าสิ่งใดในโลกนั้นมาจากแท่นสักการะเทพเซียนที่อยู่ด้านบน กระแสพลังที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลก

แม้ว่ากระแสพลังนั้นจะทําให้เขารู้สึกเคารพนับถือจากใจ แต่เขาก็ไม่เกรงกลัว

คงเพราะนี่เป็นกระแสพลังของจักรพรรดิโบราณเผ่ามนุษย์!

ผู้นําคนอื่นๆ ของมนุษย์เองต่างมีสีหน้าเช่นเดียวกับผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนช พวกเขาต่างมีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพนับถือ

“ก้าวเดินบนเส้นทางเพื่อสักการะองค์จักรพรรดิ

ผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนชสูดลมหายใจเข้าลึกและก้าวเดินขึ้นไปบนมังกรที่คดเคี้ยวมุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า

ผู้นํานิกายที่เหลือก็ค่อยๆ ตามกันไป

กระทั่งเสือยักษ์สีด่าและเจ้านิกายเทียนเฉินเองก็ตามมาติดๆ พวกแบกความข้องใจไว้ในหัวใจ และก้าวเดินไปบนเส้นทางโบราณไปติดๆ

ทุกคนก้าวขึ้นบันไดและมุ่งหน้าไปสู่ความว่างเปล่า

ขณะที่ทุกคนกําลังมุ่งหน้าต่อไป ระยะห่างระหว่างแท่นสักการะเทพเซียนก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และแรงกดดันโดยรอบก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน

ในท้ายที่สุด เหล่าผู้นําของมนุษย์ก็ต้องโคจรพลังปราณออกมาเพื่อต่อต้านพลังนั้น

ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้นําของมนุษย์ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

ในแดนร้างตะวันออกที่กว้างใหญ่นี้ มีไม่กี่คนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่มวลมนุษย์

แต่หากเทียบกับเผ่าพันธุ์หมื่นเซียนแล้วนั้น พวกเขาต่างก็เป็นคนไร้นาม

แต่ในตอนนี้ เพียงแค่แท่นสักการะเทพเซียนที่มีอายุหลายหมื่นปีที่มีกลิ่นอายของจอมจักรพรรดิโบราณ กลับทําให้พวกเขาต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อต้านทาน

หากจอมจักรพรรดิโบราณจุติลงมายังโลกใบนี้จริงๆ จะมีพลังมากเพียงไหนกัน?

เกรงว่าเพียงแค่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาตามธรรมชาติก็เพียงพอจะทําลายล้างทุกสิ่งแล้ว หากพวกเขาไม่สะกดพลังของตนเอาไว้ ก็คงไม่มีผู้ใดเข้าใกลได้

เหล่าผู้นําทั้งห้าของเผ่ามนุษย์ต่างต้านทานแรงกดดันอย่างยากลําบาก

เสือดํายักษ์ตัวนั้นก็ไม่เป็นอะไร แม้ว่าเขตแดนพลังยุทธของมันจะไม่สูงมากนัก แต่เพราะการปกป้องของโองการราชันบรรพบุรุษ มันจึงตามเข้าไปได้

แต่เป็นผู้นํานิกายเทียนเฉินในครานี้ดูน่าอับอายและน่าสังเวชมากยิ่งไปอีก

ก่อนหน้านี้เขาถูกจิตสังหารของกิ่งจักรพรรดิปีศาจที่สลักไว้บนอนุสรณ์โบราณเข้าเล่นงานอย่างหนัก

แต่ในตอนนี้การที่พยายามต้านทานแรงกดดันนี้ทําให้เขายิ่งน่าอับอายมากไปกว่าเดิมอีก

บาดแผลบนร่างกายปริแตก เลือดไหลทะลัก ข้อมให้เส้นทางใต้เท้ากลายเป็นสีแดง

ทว่า ผู้นํานิกายเทียนเฉินก็ดูราวกับเป็นคนบ้า เขากัดฟันและมุ่งมั่นที่จะเดินขึ้นไป และไม่ยอมที่จะหยุดฝีเท้า

ในท้ายที่สุด พวกเขาก็หยุดฝีเท้าและไปไม่ถึงแท่นสักการะ เพราะว่าพวกเขาไปถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางโบราณแล้ว ไม่มีทางเดินอีกต่อไป

ระหว่างเส้นทางโบราณและแท่นสักการะ แม้จะอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยจัง แต่มันแยกจากกัน ดูราวกับอยู่ห่างไกลดุจดังแดนดารา

เพราะกระแสใยปราณโกลาหลที่พัดโบกมาจากความว่างเปล่านั้นได้บดบังพื้นที่ด้านหน้าพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถเข้าใกลได้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่สามารถเข้าใกล้แท่นสักการะโบราณได้และทําได้เพียงยืนตรงนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกลึกล้ํายิ่งกว่าแต่ก่อน

อากาศโดยรอบสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่มันจะแผ่ขยายและกดทับเข้าใส่จนทําให้ต้องหวั่นเกรง และคุกเข่าลง

“ข้าก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้อีก”

ผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์ยู่เหิงเอ่ยปาก มีประกายความผิดหวังอยู่ในน้ําเสียง

บนแท่นสักการะเทพเซียนนั้น อาจมีความลับอันลึกล้ําตั้งแต่สมัยอดีตกาลซ่อนเอาไว้อยู่ แต่มันถูกปิดกั้นด้วยกระแสใยแห่งความโกลาหลจนมิสามารถค้นหาช่องว่างได้

เหล่าผู้นําไม่มีความรู้สึกผิดหวัง แววตาของพวกเขาเป็นประกายดั่งสายฟ้า ทอประกายไปด้วยความหวัง มองขึ้นไปยังแท่นสักการะราวกับต้องการจะมองทะลุผ่านม่านหมอกที่ขุ่นมัวของกระแสใยปราณดูสิ่งที่อยู่บนแท่นสักการะเทพเซียนนั้น

แต่ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์ กระแสใยม่านแห่งความโกลาหลนั้นหลั่งไหลราวกับแม่น้ําสวรรค์ ปิดบังความว่างเปล่านั้นโดยสมบูรณ์

เหล่าผู้นําของมนุษย์ต่างผิดหวังและก่าลังจะละสายตาออกไป แต่ในจังหวะนั้นเอง น้ําตกกระแสใยที่วุ่นวายก็สั่นสะเทือน ก่อนที่จะเปิดช่องว่างและเปิดออก แสดงให้เห็นถึงแท่นสักการะด้านหลัง!

มันเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที เรียกได้ว่าเป็นชั่วพริบตา

แต่เหล่าผู้นําของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคนเห็นมัน แม้จะเป็นชั่วพริบตา แต่พวกเขาก็เห็นแท่นสักการะ!

“นั่นมัน…”

“เทพเจ้า !”

“ข้าเห็นอะไรกัน!”

ทุกคนกรีดร้องออกมาเสียงดัง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นช่างอัศจรรย์ ราวกับตํานาน!

พวกเขาเห็นอะไรกัน?

บนแท่นสักการะที่งดงามและไร้ที่สิ้นสุด ดูราวกับว่ามีร่างที่ดูพร่ามัวนั่งขัดสมาธิหันหลังมาให้พวกเขาอยู่

มันช่างเป็นแผ่นหลังที่สง่างาม ผมสีดํายาวสลวยราวกับน้ําตกพาดลงมาบนบ่าเขาอย่างเบาบาง เพียงแค่เหลือบมองก็พร้อมจะทําให้คนคุกเข่าลงกราบคารวะได้ในทันใด

เพียงแค่แวบเดียว ราวกับเวลาได้ผ่านไปหลายพันล้านปี

ชั่ววินาทีถัดมา ม่านน้ําตกแห่งความวุ่นวายก็ร่วงหล่นกลับลงมาปกปิดทุกอย่างอีกครั้ง

“จะ…จอมจักรพรรดิที่ยังมีชีวิต”

ผู้นําแดนศักดิ์สิทธิ์ยเหิงยืดคอตรง เสียงสั่นสะท้าน

พวกเขาเห็นแผ่นหลังนั้นที่ไม่มีทางจะเป็นเรื่องลวงหลอก

ว่ากันว่ามีจอมจักรพรรดิของมนุษย์อยู่ที่นี่จริงๆ เขาเป็นผู้ที่มีชีวิตอันนิรันดร์จริงๆงั้นรึ?

“จักรพรรดิโบราณ”

ในตอนนี้ เหล่าผู้นําทั้งห้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์กมลงกราบไปยังทางของแท่นสักการะเทพเซียน

ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และแม้มันจะเป็นเพียงร่องรอยส่วนหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้โดยจอมจักรพรรดิมนุษย์ในอดีต ไม่ว่าอย่างไรแล้ว มันก็เหมาะสมต่อการกราบไหว้บูชา

“จักรพรรดิโบราณบ้าบออะไร ข้าไม่เชื่อ!”

“ไม่มีทางที่เผ่าพันธุ์มนุษย์อ่อนแอเช่นนี้จะสร้างตัวตนระดับนั้นขึ้นมาได้!”

ผู้นํานิกายเทียนเฉินร้องคํารามอย่างบ้าคลั่ง

เขาพึ่งจะได้เห็นภาพที่ทําให้หัวใจสั่นสะท้าน แต่ไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นของจริง และเขาก็ใช้โอกาสนี้ที่กระแสม่านปราณแห่งความโกลาหลเปิดออกกระโดดเข้าไปด้านหน้า!

เขาจะขึ้นไปยังแท่นสักการะนั้น และทําลายความเชื่อจอมปลอมนี้!

เจ้านิกายเทียนเฉินนั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้า

แต่ก็ไร้ประโยชน์ ม่านน้ําตกแห่งความว่างเปล่ากลับมาอีกครั้ง และมันก็ร่วงหล่นลงใส่หัวของเจ้านิกายเทียนเฉินในทันที!

เขาไม่สามารถขัดขืนได้แม้แต่น้อย

เจ้านิกายเทียนเฉินไม่มีกระทั่งเวลาจะกรีดร้อง เขาถูกกระแสอากาศที่วุ่นวายนั้นบดขยี้ในทันใด

เมื่อความผันผวนนั้นหายไป ร่างหนึ่งที่ดูไม่ใช่ร่างของเจ้านิกายเทียนเฉินอีกต่อไปก็ร่วงลงมา

เจ้านิกายเทียนเฉินจบสิ้น!

กระแสพลังที่วุ่นวายนี้สามารถสังหารราชันศักดิ์สิทธิ์ระดับหกได้ราวกับขแมลง

แท่นสักการะนั้นยิ่งใหญ่ กระแสใยปราณแห่งความโกลาหลพัดโบกกลายเป็นคลื่นที่ดูงดงาม

ท่ามกลางฟ้าดิน มีแต่ความเงียบสงัด

ราวกับจะบอกให้ทั้งโลกได้รับรู้ ว่าไม่มีผู้ใดขัดขวางความยิ่งใหญ่ของจอมจักรพรรดิโบราณได้

จอมบงการเทพยุทธ์

จอมบงการเทพยุทธ์

Status: Ongoing
ฉินมู่เดินทางเข้าสู่โลกแฟนตาซี และได้รับระบบจอมบงการ ซึ่งสามารถเปิด ดินแดนพิศวงหลากหลายและเปลี่ยนความคิดฝันในใจของเขาให้กลายเป็นความจริงในยุคนี้ ได้มีเผ่าพันธุ์มากมายนับพัน เผ่ามนุษย์นั้นอ่อนแอและไม่เคยได้มีผู้แข็งแกร่งถือกำเนิดขึ้นมาแม้แต่คนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ถูกรังแกกดขี่ข่มเหงตามอำเภอใจเป็นเพราะว่าโลกอันกว้างใหญ่นี้ได้เปลี่ยนแปลงมาหลายร้อยชั่วอายุคน ทำให้ประวัติศาสตร์เมื่อหลายล้านปีก่อนได้ถูกลืมเลือนไปจากสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ฉินมู่จึงได้กล่าวว่า ข้าจะสร้างประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดขึ้นมาใหม่ และจะสร้างร้อนฝนหนาวอันรุ่งเรืองให้กับมนุษยชาติในประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยหมอกอันพร่าเลือน โดยมีฉินมู่คอยบงการอยู่ด้านหลัง จัดวางดินแดนพิศวงทีละดินแดน และเปิดเผยมุมมืดอันเร้นลับของพวกมันออกมาเมื่อตำนานของเผ่าพันธุ์ได้ก้าวผ่านยุคดึกดำบรรพ์มาสู่โลกนี้ จะมีใครบ้างไหมที่หาญกล้าพอที่จะออกมาต่อสู้กับทุกเผ่าพันธุ์ในโลกนี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท