สืออีเหนียงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้แต่อย่างใด นางรีบจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ของจิ่นเกอ
“ของจำพวกถ้วยน้ำชาและแส้หางม้าก็ไม่ต้องเอาไปแล้ว เอาของจำพวกเสื้ออ่าวหนังและรองเท้าหนังไปดีกว่า ถึงแม้ว่าด่านหุบเขาจยาอวี้จะเป็นพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร แต่ข้าเชื่อว่าที่นั่นไม่ใช่ที่ที่ไร้ซึ่งผู้คนอยู่อาศัย หากว่าขาดแคลนจริงๆ ก็ไปซื้อเอาที่โน่นก็แล้วกัน” จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นจิ่นเกอกำลังหยิบแส้ม้าทองคำดำพอดี เลยรีบพูดขึ้นทันทีว่า “ของสิ่งนี้ก็ห้ามเอาไปด้วย ‘ไม้ที่เรียวเล็กกลางป่า ย่อมถูกโค่นล้มได้ง่าย’ ถึงแม้ว่าที่ด่านหุบเขาจยาอวี้จะมีผู้บัญชาการกองทัพทหารคอยดูแล แต่เจ้าเองก็ควรที่จะสามารถอยู่กับผู้อื่นได้อย่างกลมกลืนจึงจะถูก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือห้ามทำตัวอยู่เหนือผู้อื่นเป็นอันขาด ผู้คนที่มีความรู้ความสามารถไม่ใช่น้อยที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับนิสัยที่เย่อหยิ่งทะนงตัว”
“ข้ารู้แล้วขอรับ!” จิ่นเกอยื่นแส้ม้าให้อาจินนำไปเก็บด้วยสีหน้าที่อาลัยอาวรณ์
สวีลิ่งอี๋เข้ามาพอดี “เก็บข้าวของเสร็จแล้วหรือยัง”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับ จากนั้นก็ได้นึกถึงผู้ติดตามที่จะติดตามจิ่นเกอไปที่ซีซานขึ้นมา ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจพูดขึ้นว่า “ข้าว่า ให้ฉังซุ่นอยู่ที่เมืองหลวงดีกว่ากระมังเจ้าคะ เขาอายุยังน้อย ที่ซีเป่ยออกจะลำบากเกินไป…”
ปีนี้ฉังซุ่นอายุเก้าขวบ ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ร่างกายผอมบาง คล้ายกับฉังอานเล็กน้อย เหล่าบรรดาผู้ดูแลต่างก็ชอบหยอกล้อเขาเล่นว่าเขานั้นคือต้นแบบที่ดีของชาวเหนือและชาวใต้
“ให้เขาไปเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้าวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว ตอนพวกเขาไปที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ก็ไปเช่าเรือนที่นอกค่ายทหาร นอกจากจิ่นเกอ คนอื่นๆ ก็ให้พักอาศัยอยู่ที่นั่น ตอนจิ่นเกอหยุดพักผ่อน ก็ออกไปพักที่นั่น เช่นนี้ อาจารย์ผังก็จะสามารถชี้แนะเรื่องศิลปะการต่อสู้ให้เขาได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังสามารถตรวจดูการบ้านของเขาในเวลาเดียวกันได้ เวลาว่างๆ ก็ยังสามารถสอนหนังสือให้ฉังอาน หลิวเอ้อร์อู่และคนอื่นๆ ได้อีกด้วย ฉังซุ่นติดตามไปด้วย ก็จะได้เรียนรู้ไม่น้อย”
สืออีเหนียงมักจะรู้สึกว่าการเดินทางไปยังกองทัพดูเพียบพร้อมจนเกินไป เหมือนกับการไปท่องเที่ยวในวันหยุดมากกว่าการไปฝึกฝนเรียนรู้ความยากลำบากเสียด้วยซ้ำ ปกติแล้ว นางก็มักจะคอยกล่าวเตือนสติสวีลิ่งอี๋อยู่เสมอ แต่เมื่อได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดถึงเงื่อนไขที่เขาตั้งให้จิ่นเกอ สืออีเหนียงก็รู้สึกว่าตนนั้นคิดมากเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าสวีลิ่งอี๋ได้จัดเตรียมและวางแผนทุกอย่างไว้เรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว
ทั้งสองพากันปรึกษาหารือเกี่ยวกับรายละเอียดการเดินทางของจิ่นเกอ จากนั้นก็พากันไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินกำลังเปิดดูหนังสืออนุปฏิทิน “…วันที่ยี่สิบสองเดือนสามเป็นวันดี แต่อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่แปดเดือนสี่แล้ว อย่างไรเสียก็ห่างกันเพียงไม่กี่วัน สู้อยู่กราบไหว้บูชาพระโพธิสัตว์เสร็จแล้วค่อยออกเดินทาง จะได้ขอให้พระโพธิสัตว์ช่วยคุ้มครองปกปักรักษาให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยตลอดการเดินทาง จะได้ราบรื่นทุกอุปสรรค…เช่นนั้นก็กำหนดเป็นวันที่สิบสองเดือนสี่ก็แล้วกัน…ก่อนออกเดินทางได้จุดธูปกราบไหว้บูชาพระโพธิสัตว์ ได้อยู่พักผ่อนต่ออีกสักหน่อย สภาวะจิตใจและร่างกายพร้อมแล้วจึงค่อยออกเดินทาง…วันที่สิบแปดเดือนสี่…วันที่ยี่สิบสี่เดือนสี่…พ้นวันที่ยี่สิบหกเดือนสี่ค่อยไปจะดีกว่า…”
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงจะไม่มีวันที่เหมาะสมแม้แต่วันเดียวกระมัง
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากันด้วยสีหน้าที่จนใจ
“ท่านแม่ ข้าว่าเป็นวันที่ยี่สิบสองเดือนสามดีกว่า” ฮูหยินสองเห็นสีหน้าของทั้งสองแล้วก็ยิ้มขึ้นบางๆ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ด่านหุบเขาจยาอวี้ไม่เหมือนเมืองเยี่ยนจิง ที่แบ่งออกเป็นสี่ฤดูกาล ที่นั่นนอกจากหนาวแล้วก็คือร้อน เวลานี้คือช่วงที่อากาศดีที่สุด หากล่าช้ากว่านี้อีกสักหน่อย เกิดอากาศร้อนจนเป็นไข้แดดขึ้นมาระหว่างทางคงจะไม่ดีเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นหรือ” ในความทรงจำของไท่ฮูหยิน ที่นั่นอากาศหนาวเป็นอย่างมาก ช่วงเดือนหกยังต้องสวมเสื้อกั๊ก แต่ตอนนี้ความจำของนางไม่ดีเหมือนเช่นเมื่อก่อนแล้ว จึงไม่ค่อยกล้าที่จะตัดสินใจเอง นางหันไปมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่สงสัย
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็กระแอมออกมาเบาๆ “ออกเดินทางเดือนสามเหมาะสมที่สุดขอรับ” สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ปฏิเสธโดยตรง แต่ก็ไม่ได้ยืนยันอย่างหนักแน่น
“ท่านแม่ รีบไปจะได้รีบกลับมา” ฮูหยินสองเห็นแล้วก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านลองคิดดู วันเกิดอีกสองปีถัดไปของท่าน จิ่นเกอสามารถกลับมาอวยพรวันเกิดได้ จะดีแค่ไหนกัน!”
ไท่ฮูหยินฟังแล้วก็พยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็ออกเดินทางวันที่ยี่สิบสองเดือนสามนี้ก็แล้วกัน” จากนั้นก็หันไปกำชับกับสืออีเหนียงว่า “ในเมื่อที่นั่นอากาศร้อน ก็อย่าลืมเอาพัดไปด้วยหลายๆ เล่มหน่อย ด่านหุบเขาจยาอวี้สถานที่ที่ห่างไกลและทุรกันดารเช่นนั้น มีของดีขายเสียที่ไหนกัน”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับขานรับ
จิ่นเกอรีบหันไปยิ้มให้กับฮูหยินสองทันที
ไท่ฮูหยินถามขึ้นว่าได้จัดเตรียมเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้อะไรไปบ้างจนเริ่มหาว จึงค่อยหยุดถามไป
ฮูหยินสองเดินออกมาส่งทุกคนที่นอกประตู จากนั้นก็หยิบกล่องไม้ใบเล็กสีแดงเงาที่สลักด้วยลายดอกบัวออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้กับจิ่นเกอ “นี่คือเข็มทิศ เจ้าเก็บเอาไว้กับตัว อย่าหลงทิศทางที่เจ้ากำลังเดิน”
ความหมายลึกซึ้งและแยบยล
ไม่รู้ว่าจิ่นเกอจะเข้าใจความหมายหรือไม่ เขายังคงกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าที่ดีใจเหมือนเช่นเคย จากนั้นก็เดินตามสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงกลับเรือนหลักไป
ทางฝั่งฟังซื่อกำลังพูดคุยอยู่กับเจียงซื่ออยู่บนเตียงเตาใหญ่ “…ตอนแรก ไม่ว่าข้าจะสอนอย่างไร เขาก็จำไม่ได้สักที ก็เลยพาเขาไปยังสถานที่นั้นๆ จากนั้นก็ชี้ทีละอย่าง สอนเขาท่องทีละคำ ตอนนี้ไม่เพียงแต่ท่องได้คล่องแคล่วเท่านั้น แต่ยังสามารถบอกความหมายของคำเหล่านั้นได้อีกด้วย” ฟังซื่อเล่าด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
“พี่สะใภ้ใหญ่ฉลาดจริงๆ คิดค้นวิธีเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน!” เจียงซื่อยิ้มพลางทอดถอนใจออกมาเบาๆ “กลับไปต้องลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูเสียหน่อยแล้ว ถิงเกอชอบทานแต่เนื้อปลา ไม่ชอบทานเนื้อสัตว์อย่างอื่นเลย พี่สะใภ้ใหญ่มีวิธีดีๆ หรือไม่”
“เด็กๆ มีของที่ไม่ชอบทานเสียที่ไหนกัน!” ฟังซื่อยิ้มพลางพูดขึ้น “แค่ดูว่าแม่ครัวหน้าเตาทำอาหารออกมาเป็นอย่างไรก็เท่านั้น…”
ทั้งสองกำลังพูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กน้อย ไม่นานตะวันก็เคลื่อนตัวไปยังทิศทางตะวันตก เจียงซื่อจึงขอตัวลากลับ ฟังซื่อเองก็ไม่ได้รั้งให้นางอยู่ต่อแต่อย่างใด เดินไปส่งนางลาฮูหยินสาม จากนั้นก็ส่งนางขึ้นรถม้า
จินซื่อเดินเข้ามาถามฟังซื่อว่า “น้องสะใภ้สี่มาทำไมหรือ”
“มาคุยเรื่องงานบ้านงานเรือนกับข้า!” ฟังซื่อเฝ้ามองรถม้าเคลื่อนตัวออกไปจากตรอกแล้วจึงค่อยหมุนตัวกลับ
จินซื่อไม่เข้าใจ
“น้องสะใภ้สองเป็นหลานสาวของท่านป้าสะใภ้สอง น้องสะใภ้ห้าเป็นหลานสาวของท่านอาสะใภ้สี่ นางมาขั้นอยู่ตรงกลางเช่นนี้ จึงใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก” ฟังซื่ออธิบายให้จินซื่อฟัง “มีเพื่อนคุยเล่นบ้าง อารมณ์จิตใจก็จะดีขึ้นไม่น้อย”
“น้องสะใภ้สี่คิดมากไปเองหรือเปล่า” จินซื่อพูดขึ้นพึมพำ “ไม่นานพี่สะใภ้สองก็จะต้องย้ายออกไปแล้ว น้องห้าเองก็ไม่ได้อยู่เฝ้าจวน นางจะใช้ชีวิตลำบากได้อย่างไรกัน”
ฟังซื่อเพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เรื่องบางเรื่อง จินซื่อก็ไม่อาจที่จะรับรู้ได้ เพราะนาง น้องสะใภ้สองและน้องห้ามีคนคอยช่วยออกหน้าอยู่เสมอ…
หลังจากที่เจียงซื่อได้พูดคุยกับฟังซื่อไปพักใหญ่ อารมณ์จิตใจก็ดีขึ้นไม่น้อย เมื่อกลับจวนไปแล้ว ก็ได้ยินว่าจิ่นเกอจะออกเดินทางในวันที่ยี่สิบสองเดือนสามที่จะถึงนี้ จึงกำลังปรึกษาหารือกันว่าจะมอบอะไรเป็นของขวัญให้จิ่นเกอดี
“ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองขนาดนี้ก็ได้” สวีซื่อจุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ถึงเวลานั้นก็แค่ไปส่งเขาเดินทางออกนอกเมือง แอบให้เงินเขาสักสองสามร้อยตำลึงก็พอ”
“เช่นนี้จะเหมาะสมหรือเจ้าคะ” เจียงซื่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลังเล “ข้าได้ยินมาว่าน้องห้ากับน้องสะใภ้ห้ามอบหนังสือ ‘ยุคชุนชิว’ ให้กับน้องหก ยังหยอกล้อน้องหกว่าต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ภายใต้แสงตะเกียงจึงจะสนุก!”
สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็หัวเราะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับถามถึงเรื่องงานธุรการของจวนขึ้นมาแทน “…เวยเป่ยโหวจะสู่ขอภรรยา ท่านแม่ได้พูดอะไรหรือไม่”
เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
เรื่องเวยเป่ยโหวสู่ขอภรรยาสำคัญหรือของขวัญแทนใจที่จะมอบให้จิ่นเกอตอนวันเดินทางนั้นสำคัญกว่า
“ท่านแม่บอกว่ามอบแจกันเป่าผิงหนึ่งคู่กับฉากบานพับหนึ่งฉาก” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย จากนั้นก็ดึงจุดสำคัญไปยังเรื่องของจิ่นเกอ “ท่านว่า เรามอบสี่สิ่งล้ำค่าแห่งห้องตำราให้น้องหกดีหรือไม่เจ้าคะ น้องหกจะต้องได้ใช้อย่างแน่นอน”
“ข้าได้ยินว่าท่านแม่เก็บของเล่นที่น้องหกชอบเล่นเป็นประจำจนหมด ไม่ให้เขาเอาติดตัวไปแม้แต่ชิ้นเดียว” สวีซื่อจุนพูดขึ้น “ข้าว่ามอบพู่กันให้เขาหนึ่งกล่องดีกว่า ประเดี๋ยวข้าจะแอบเอาเงินใส่ไว้ที่ข้างใต้ของกล่องให้เขาสักจำนวนหนึ่ง”
เจียงซื่อรู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม
“ตอนที่น้องห้าแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ที่นาและทรัพย์สินบ้านเรือนที่ท่านพ่อให้กับสินเดิมที่น้องสะใภ้ห้าเอามา รวมกันแล้วมูลค่ายังไม่ถึงสองพันตำลึงเงินเสียด้วยซ้ำ” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือ “ของขวัญแทนใจของน้องห้ากับน้องสะใภ้ห้าไม่เท่าของเรา แต่ก็ไม่ควรแตกต่างกันมากเกินไปจนน่าเกลียด อย่างน้อยๆ ก็ควรจะใกล้เคียงกัน หากเรามอบของขวัญที่มีมูลค่ามากจนเกินไป เกรงว่าน้องห้ากับน้องสะใภ้ห้าจะลำบากใจเอาได้!”
“ข้ารู้!” สวีซื่อจุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ดังนั้นข้าก็เลยจะแอบให้น้องหกเป็นการส่วนตัวอย่างไรเล่า…ในบรรดาพี่น้อง ครอบครัวของเรามีรายได้เยอะที่สุด หากเราให้ของขวัญมูลค่าพอๆ กับน้องห้าก็จะดูด้อยค่าไปหน่อย”
แต่ก็ไม่ควรให้แบบหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้นี่นา!
เจียงซื่อไม่สะดวกจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
หากยังพูดต่อไป สวีซื่อจุนก็จะเข้าใจผิด คิดว่านางเสียดายเงินเลยไม่อยากให้ เอาแต่ไปเปรียบเทียบกับน้องชายของเขา
เจียงซื่อแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก พูดคุยถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ต่อ “ความหมายของท่านแม่ก็คือ ถึงเวลานั้นให้เราทุกคนไปดื่มสุราร่วมแสดงความยินดีด้วยกันทั้งหมดเลย”
“ดีเลย!” สวีซื่อจุนพูดขึ้น “เจ้าเองก็ไม่ได้ซื้อเครื่องประดับใหม่มาสองปีแล้วเห็นจะได้ ไม่สู้ถือโอกาสนี้เชิญช่างทองเข้าจวนมาตีเครื่องประดับชุดใหม่ดีกว่า! จะได้สวมใส่ตอนไปร่วมวันงานมงคลสมรสพอดี”
เอาแต่หมกมุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ สู้เอาเวลาไปจัดการงานธุรการของจวนให้เรียบร้อยเสียยังดีกว่า
“รอให้น้องหกเดินทางแล้วก็ค่อยมาคุยเรื่องนี้อีกทีก็แล้วกัน!” เจียงซื่อไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไรนัก “ไปพูดเรื่องนี้กับท่านแม่ในเวลานี้ เกรงว่ามีแต่จะทำให้ท่านแม่ไม่ชอบใจเสียมากกว่า” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ครั้งที่แล้วท่านพี่บอกว่าจะไปเปิดร้านขายข้าวสารที่เขตเต๋อโจว ตอนนี้ดำเนินการไปถึงไหนแล้วเจ้าคะ”
สวีซื่อจุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก “พ่อบ้านไป๋ได้ส่งผู้ดูแลไปที่เต๋อโจวเรียบร้อยแล้ว ประมาณปลายเดือนสามถึงจะส่งข่าวกลับมา” แต่ในใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นพึมพำ เวลาที่เหล่าบรรดาสาวใช้ได้ยินว่าจะได้เสื้อผ้าใหม่หรือเครื่องประดับใหม่ก็จะดีใจจนกระโดดโลดเต้นเสียด้วยซ้ำ ตนเห็นว่าช่วงที่ผ่านมานี้ภรรยาดูอารมณ์จิตใจไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงได้เอ่ยว่าให้เชิญช่างทองเข้าจวนมาตีเครื่องประดับชุดใหม่ก็เพื่อที่จะให้นางดีใจ แต่ดูจากสีหน้าท่าทีของนางแล้ว ไม่ได้ดีใจเลยแม้แต่นิดเดียว…
“ลงทุนร่วมหนึ่งแสนตำลึงเงินในคราวเดียว ถือเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย” เจียงซื่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ท่านพี่ก็ควรจะซักถามบ้างถึงจะถูก ไม่ควรปล่อยให้ผู้ดูแลเหล่านั้นเป็นคนจัดการเสียทุกเรื่อง”
“เรื่องนี้ท่านพ่อเองก็เป็นคนออกความคิดเห็นด้วย” สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้น “นับประสาอะไรกับผู้ดูแลเหล่านั้น มิเช่นนั้น จะมีพวกเขาไว้ทำอะไรกัน”
“ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ท่านพ่อได้มอบหมายงานธุรการให้ท่านแล้ว ท่านก็ควรจะเข้าไปดูแลบ้าง ควรที่จะเข้าไปดูแลจัดการให้มากขึ้น ท่านพ่อก็จะได้ดูแลน้อยลงบ้าง…” เจียงซื่อโน้มน้าวเสียงเบา แต่เวลานี้ จิตใจของสวีซื่อจุนล่องลอยไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว
ภรรยามักจะชอบให้เขาเข้าไปดูแลโน่นดูแลนั่นอยู่เสมอ…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ลึกๆ ในใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง
*****
เมื่อถึงวันที่ยี่สิบสองเดือนสาม สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็ได้ไปส่งสวีซื่อจิ่นออกเดินทางที่นอกเขตสิบลี้ จิ่นเกอประสานมือคารวะสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยด้วยความนอบน้อม “ท่านพ่อกับท่านแม่นั้นข้ารบกวนฝากฝังให้กับพวกท่านทั้งสองแล้ว!”
“เจ้าวางใจเถิด ทางฝั่งท่านแม่พวกข้าจะดูแลเป็นอย่างดี เจ้าเองต่างหากที่ต้องระวังตลอดการเดินทาง…” สวีซื่อจุนพูดขึ้น อาศัยตอนที่สวีซื่อเจี้ยไม่ทันสังเกตรีบยัดถุงผ้าใส่ในมือของจิ่นเกอ จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เอาไว้ใช้ในยามจำเป็น”
จิ่นเกอยิ้มกว้างขึ้นมาทันที รีบกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็รีบนำถุงผ้าใส่เข้าไปในแขนเสื้อ “หากพี่สี่กับที่ห้ามีเวลาก็มาเที่ยวหาข้าที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ได้ทุกเมื่อ!”
“แน่นอน แน่นอน” สวีซื่อจุนหัวเราะพลางโบกมืออำลาสวีซื่อจิ่น
จิ่นเกอลงแส้บนหลังม้า พุ่งทะยานออกไปทันที
อาจารย์ผังและคนอื่นๆ ก็รีบตามหลังเขาไปติดๆ เหลือไว้เพียงฝุ่นผงที่ฟุ้งตลบไปทั่ว
สวีซื่อเจี้ยเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ฝีมือการขี่ม้าของน้องหกยอดเยี่ยมเสียจริง!” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย