เมื่อเห็นว่าเสนาบดีประจำกรมขุนนางตื่นเต้นเพียงใด ใต้เท้าจางก็รู้ว่าเขาเดิมพันได้ถูกต้องแล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบทันทีว่า ”พวกเขาอยู่ข้างนอกขอรับ ข้าจะบอกให้คนพาตัวพวกเขาเข้ามา” ใต้เท้าจางมองไปยังเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่อยู่ข้างเขา ”รีบไปพาตัวผู้กระทำผิดเข้ามาเดี๋ยวนี้!”
เสนาบดีประจำกรมขุนนางดีใจอย่างมากกับเบาะแสในการคลี่คลายคดีนี้ ”ใต้เท้าจาง ท่านจับกุมตัวผู้กระทำผิดที่ว่านี้มาได้อย่างไรหรือ คดีนี้ทำเอาข้าปวดหัวมาตลอดสองวันเชียว”
ใต้เท้าจางอยากแนะนำบุตรชายของตัวเองให้เสนาบดีประจำกรมขุนนางได้รู้จัก ดังนั้นเขาจึงตบบ่าจางอวี้ และตอบว่า ”ต้องขอบคุณบุตรชายคนรองของข้าขอรับ เขาเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เด็ก และครั้งนี้ก็เป็นเขานี่เองที่สังเกตได้ว่ามีบางอย่างน่าสงสัย และทำให้ข้าสามารถจับกุมตัวผู้กระทำผิดได้”
“โอ้?” เสนาบดีประจำกรมขุนนางเคลื่อนสายตาไปมองที่จางอวี้ จากนั้นจึงชมเขาตามมารยาทว่า ”ช่างเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก”
จางอวี้รู้สึกปลาบปลื้มกับคำชมนั้น แม้เขาจะพูดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่บนใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นโชคดีที่ซ่อนอยู่ในโชคร้ายอย่างแท้จริงเพราะเขามีแพะรับบาปอยู่ถึงสองคนด้วยกัน ใครจะรู้ เขาอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งในอาชีพราชการของตนก็เป็นได้ อย่างไรเสนาบดีประจำกรมขุนนางก็เป็นคนเอ่ยปากชมเขาด้วยตัวเองเชียวนะ
ใต้เท้าหลี่ไม่ทันสังเกตเห็นเจตนาของพ่อลูกตระกูลจางเนื่องจากจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความดีใจที่ไขคดีนี้ได้ และในที่สุดเขาก็จะสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้องค์ชายกับพระชายาสามฟังได้เสียที…
ขณะที่เสนาบดีประจำกรมขุนนางกำลังก้มหน้าคิดเช่นนี้อยู่ เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งออกไปก็นำตัวคนสองคนเข้ามา มือของพวกเขาถูกโซ่เหล็กเส้นยาวล่ามเอาไว้ด้วยกัน แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเสน่ห์ที่ทั้งสองคนมีแต่อย่างใด พวกเขามีท่าทางสบายๆ แฝงไปด้วยความสูงศักดิ์ที่มีมาแต่กำเนิด ทั้งสองดูไม่เหมือนคนที่ถูกจับเลยแม้แต่นิดเดียว
ใต้เท้าจางเอ่ยขึ้นเรียกเสนาบดีประจำกรมขุนนาง ”ใต้เท้าหลี่ ผู้กระทำผิดมาถึงแล้วขอรับ”
เสนาบดีประจำกรมขุนนางตื่นจากภวังค์ จากนั้นเขาจึงหันไปมองทางประตูไม้
ทันทีที่เขาเห็นหน้าของสองคนนั้น เสนาบดีประจำกรมขุนนางก็ทำตาโตพร้อมกับผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ของตัวเอง ปฏิกิริยาอันรุนแรงนั้นทำเอาเขาถึงกับพ่นน้ำชาที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมาทันที!
“องค์…” เสนาบดีประจำกรมขุนนางยังไม่ทันจะได้พูดจนจบประโยค เขาก็นึกถึงคำสั่งของพระชายาสามมาขึ้นได้เสียก่อน ดังนั้นเขาจึงฝืนกลืนคำพูดของตัวเองกลับลงคอ ในสมองของเขามีเพียงความคิดเดียวก้องสะท้อนอยู่ในนั้น ขณะเดียวกันเขาก็ถึงกับตัวสั่นทันทีที่เห็นโซ่เหล็กอันเย็นเฉียบ
บัดซบ ถ้าเจ้าคนแซ่จางนี่อยากลงนรก ก็ลงไปคนเดียวสิ!
ทำไมต้องลากข้าลงไปด้วย!
เขารู้หรือไม่ว่าตัวเองทำเรื่องปัญญาอ่อนอะไรลงไป?!
เขากล้าล่ามองค์ชายสามได้อย่างไร!
ยิ่งกว่านั้น ยังพาตัวเขามาที่จวนตระกูลหลี่อีก!
ในเวลานั้น สิ่งเดียวที่เสนาบดีอยากทำคือหลั่งน้ำตา!
ดวงตาของเขามองไปที่ใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่สมบูรณ์แบบจนแทบทำให้เขาดูเหมือนผู้ทรงศีล เขาตะโกนอยู่ในใจอย่างสิ้นหวังว่า องค์ชาย กระหม่อมบริสุทธิ์พ่ะย่ะค่ะ เชื่อในความซื่อสัตย์ที่กระหม่อมมีต่อท่านเถิด!
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่มองดูสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ด้านข้างแทบอยากหัวเราะออกมา นางพยายามทำให้เขาคลายกังวลด้วยการเอ่ยปากบอกว่า ”ใต้เท้าหลี่ พวกข้าถูกใส่ร้าย”
ในที่สุดเสนาบดีประจำกรมขุนนางก็หาเสียงของตัวเองเจอ เขาพยักหน้าอย่างรุนแรงให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ข้าเชื่อ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระแอมในลำคอเป็นการเตือนให้เขารักษาอากัปกริยา เพราะคงไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดทำตัวเช่นนี้เมื่อได้พบกับผู้ต้องหา
เสนาบดีประจำกรมขุนนางก็ไม่ได้อยากเป็นเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าขององค์ชาย ขาของเขาก็สั่นจนไร้เรี่ยวแรงโดยอัตโนมัติ
สองพ่อลูกตระกูลจางรู้สึกว่าเสนาบดีทำตัวมีพิรุธ พวกเขาจึงเลิกคิ้วขึ้น ”ใต้เท้าหลี่ขอรับ?”
เสนาบดีพยายามบังคับใจตัวเองให้สงบลง เขาหันหน้าไปอีกทางเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสบตากับองค์ชาย จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าถามพ่อลูกตระกูลจางว่า ”ใต้เท้าจาง เวลาที่เราสืบคดี หลักฐานย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ท่านจับกุมคนโดยไม่มีหลักฐานได้อย่างไร?!” มิหนำซ้ำคนที่จับมาก็ยังเป็นถึงราชาปีศาจอีกด้วย ท่านอยากตายหรือไร?!
ทันทีที่ได้ยินคำถามของเขา ใต้เท้าจางก็ตอบอย่างใจเย็นว่า ”หลักฐานอื่นๆ ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ แต่สองคนนี้ทำตัวน่าสงสัยขอรับ คนที่หายตัวไปทุกคนมีจุดร่วมเดียวกัน นั่นก็คือเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน เวลานี้หญิงโสดคนเดียวที่เหลืออยู่ในซอยนั้นก็คือบุตรสาวของตระกูลเหยียน สองคนนี้ปลอมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยเข้าไปในซอย และตรงไปหาตระกูลเหยียนทันทีขอรับ เหตุผลเพียงเท่านี้ก็ชัดเจนพอแล้ว สองคนนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีคนหายในซอยนั้นอย่างแน่นอนขอรับ!”
เสนาบดีประจำกรมขุนนางถอนหายใจอย่างแรง เพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองบีบคอคนแซ่จางผู้นี้!
องค์ชายกับพระชายาสามไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบคดีนี้ต่างหาก เจ้าโง่เอ๊ย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกยิ้มเป็นการปฏิเสธ ”ใต้เท้าจาง ทุกคนที่หายตัวไปในซอยนั้นต่างก็มีจุดที่เหมือนกันหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เป็นหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ทุกคนต่างยังมีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับบุตรชายของท่านอีกด้วย ทำไมท่านไม่บอกเรื่องนี้ให้ใต้เท้าหลี่ทราบล่ะ”
“อะไรนะ” เสนาบดีประจำกรมขุนนางมองไปทางพ่อลูกตระกูลจาง ดวงตาของเขาเริ่มดำทะมึนลง ”ใต้เท้าจาง ท่านจะไม่อธิบายให้ข้าฟังหน่อยหรือว่าบุตรชายของท่านกับคนที่หายตัวไปมีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
เหงื่อเย็นๆ ซึ้มชื้นขึ้นมาบนฝ่ามือของใต้เท้าจาง แต่เขาก็ยังดูสุขุมเยือกเย็น ”ใต้เท้าหลี่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญแต่ประการใด เพราะอย่างไรมันก็ไม่ใช่ความลับในซอยนั้น ดังนั้นข้าจึงไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้ท่านทราบ แต่ถ้าท่านอยากรู้ เช่นนั้นข้าก็จะเล่าความจริงทั้งหมดให้ท่านฟังขอรับ บุตรชายของข้าเป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวน้อยใหญ่มาโดยตลอด ข้าไม่ได้ดูแคลนชาวบ้านพวกนั้นนะขอรับ แต่ผู้หญิงในซอยนั้นค่อนข้างที่จะมีพฤติกรรมอุกอาจทีเดียว ทุกครั้งที่พวกนางเห็นอวี้เอ๋อร์ พวกนางจะเข้ามาพูดคุยกับเขา บางคนยังถึงกับบอกให้คนรับใช้ของตัวเองนำจดหมายมาส่งให้อวี้เอ๋อร์เลยนะขอรับ อวี้เอ๋อร์เองก็ยังเด็ก เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธมันได้ การที่พวกเขาจะมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่ตอนนี้กลับมีคนใช้เรื่องนี้มากล่าวหาเขาขอรับ อันที่จริง คนที่สมควรถูกกล่าวหาน่าจะเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวเหล่านั้น และออกมาอยู่นอกบ้านในยามวิกาลอย่างพวกนางมากกว่า เพราะแบบนั้นพวกนางถึงได้ตกเป็นเหยื่ออย่างไรเล่าขอรับ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับอวี้เอ๋อร์ด้วยหรือ?!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเกลียดผู้ชายประเภทนี้ที่สุด ทุกคนรู้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเพราะความเสเพลของคุณชายรองตระกูลจาง ถ้าเขาไม่จงใจหว่านเสน่ห์ให้พวกนาง เรื่องเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้เขากลับโยนความผิดทั้งหมดให้กับผู้หญิงเหล่านั้น ช่างเป็นคนสารเลวไร้ค่าจริงๆ!
“ในเมื่อใต้เท้าจางไม่หยุดย้ำในความจริงที่ว่าคนที่หายตัวออกไปนอกบ้านในยามวิกาล เช่นนั้นข้าขอถามนายน้อยจางได้หรือไม่ ว่าทำไมคนรักของท่านถึงได้ออกจากบ้านตอนดึกดื่นมืดค่ำเช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตวัดสายตาไปมองจางอวี้ ”ทั้งหมดก็เป็นเพราะท่านมิใช่หรือ ท่านเป็นคนขอให้นางออกไปเที่ยวกับท่านในตอนกลางคืนใช่หรือเปล่า”
จางอวี้ตัวแข็งในทันที เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องนี้ด้วย!
“หลิงเอ๋อร์เป็นผู้หญิงคนแรกที่หายตัวไป มารดาของนางกล่าวว่าหลังจากนางออกไปพบท่านคืนนั้น นางก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ให้ข้าเดา เจ้าเองก็คงไม่อยากพบนางอีกแล้วเหมือนกันล่ะสิ ข้าพูดถูกหรือเปล่า”
ทันใดนั้นใบหน้าของจางอวี้ก็ซีดเผือด เพราะนางเดาความจริงได้อย่างถูกต้อง ”เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ!” ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยากเลิกกับจางหลิงเอ๋อร์มาตลอด แม้แต่แม่เฒ่าจางเอง แล้วคนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนอย่างเจ้าเด็กนี่มันรู้ได้อย่างไร!?