“เหตุผลที่เจ้าไม่อยากพบจางหลิงเอ๋อร์นั้นก็ง่ายมาก เป็นเพราะว่าตอนนั้นเจ้ากำลังใช้เวลากับหญิงอื่นอยู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดขึ้นเหมือนมองไม่เห็นสีหน้าของจางอวี้ จากนั้นนางจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ท่านคิดว่าจางหลิงเอ๋อร์เป็นภาระ เพราะนางเป็นคนทะเยอทะยานเกินไป นางเป็นเพียงของเล่นสำหรับเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่เคยคิดมาก่อนว่านางจะอยากแต่งงานกับเจ้าถึงเพียงนั้น นางถึงขั้นวาแผนการทำลายการนัดพบของเจ้ากับผู้หญิงคนอื่นเลยทีเดียว”
สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงแค่การอนุมานตามหลักเหตุและผลทั่วๆ ไป นางไม่ปล่อยให้สิ่งที่นางได้ยินพวกเขาทะเลาะกันในซอยระหว่างที่นางยืนฟังอยู่เงียบๆ ต้องสูญเปล่า นางรวบรวมข้อมูล แยกแยะเบาะแส แล้วจึงสรุปออกมาเป็นข้อเท็จจริง
เสนาบดีประจำกรมขุนนางเคยได้เห็นการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียดรอบคอบของเฮ่อเหลียนเวยเวยกับตาตัวเองมาแล้วก็จริง แต่ยิ่งพอมาฟังคำพูดของนางในเวลานี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมนางมากขึ้น
จางอวี้มองเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับเห็นผี คนผู้นี้ คนผู้นี้รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่!
“เจ้าไม่อยากพบนาง แต่เจ้าก็ยังออกไปวันนั้นเพราะต้องการจบความสัมพันธ์กับนาง” เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องตรงไปที่เขา ดวงตาใสกระจ่างของนางราวกับจะสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่ง ”คนในซอยบอกว่าวันนั้นพวกเขาได้ยินเสียงสามีภรรยาทะเลาะกัน แม้แต่ยามรักษาการณ์ก็ยังได้ยินเสียงเอะอะนั้น ความจริงแล้วสามีภรรยาที่ว่านั่นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจ้ากับจางหลิงเอ๋อร์ที่กำลังทะเลาะกันอยู่ เจ้าเตือนนางว่าอย่ามารบกวนเจ้าอีก แต่นางก็ปฏิเสธ เพราะนางยอมยกเลิกการแต่งงานก็เพื่อเจ้า แต่พอเจ้าคิดจะทิ้งนางเจ้าก็ทิ้ง ดังนั้นมันจึงฟังดูเหมือนเสียงสามีภรรยาทะเลาะวิวาทกันนั่นเอง”
มือของจางอวี้กำเข้าหากันแน่นพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงด้วยความกลัว แต่บนใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยสีหน้าดูถูก ”เจ้าแต่งเรื่องได้เก่งทีเดียว แต่พูดมาตั้งนาน แล้วไหนล่ะหลักฐาน ข้าก็ไม่ได้อยากต่อล้อต่อเถียงกับชาวบ้านอย่างเจ้านัก แต่เจ้ากลับพยายามยัดเยียดข้อสงสัยทั้งหมดนั้นให้กับข้า เจ้าคิดว่ากระบวนการยุติธรรมของกรมขุนนางไม่มีความหมายหรือ”
“ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก” เฮ่อเหลียนเวยเวยประเมินสีหน้าของเขาพลางหัวเราะขึ้นทันที
จางอวี้หรี่ตา แล้วลดเสียงลงจนมีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน ”ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีหลักฐานอะไรเลย ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าหัดรู้ฐานะตัวเองเสียบ้าง หากเจ้ายอมทำตามนี้ ข้าก็คงสามารถไว้ชีวิตเจ้าได้ แต่ถ้าไม่ละก็ ตระกูลจางของเราก็ไม่ใช่ตระกูลที่ใครจะมาหาเรื่องได้!”
“โอ้?” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้มขึ้นราวกับหยอกล้อ พร้อมกับมองตรงไปที่จางอวี้ ”พูดถึงหลักฐาน ข้าเองก็มีเวลาจำกัด ดังนั้นจึงยังไม่ได้หา แต่ในเมื่อเจ้าชอบใช้ฐานะของตัวเองมารังแกคนอื่น เช่นนั้นข้าก็คงไม่ต้องเกรงใจ…” พูดจบ นางก็หันไปมองเสนาบดีประจำกรมขุนนางด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาของนางกลับเย็นชาราวน้ำแข็ง ”ใต้เท้าหลี่ ลากตัวจางอวี้ออกไปแล้วโบยเขาสักร้อยที ถ้าเขายังปฏิเสธไม่ยอมรับเรื่องนี้ เช่นนั้นก็โบยต่อจนกว่าเขาจะยอมรับ”
จางอวี้เอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ ”เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?! เจ้าคิดว่าใต้เท้าหลี่จะฟังสิ่งที่เจ้าพูดหรือ”
แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าเสนาบดีจะคำนับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเคารพนบนอบ จากนั้นจึงเอ่ยตอบเสียงดังฟังชัดว่า ”พ่ะย่ะค่ะ พระชายาสาม!”
พระ… พระชายาสามหรือ?!
จางอวี้ถึงกับกลืนคำพูดของตัวเองกลับลงคอ! เขาหันกลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความไม่เชื่อ!
ทันทีที่ได้ยินคำตอบจากเสนาบดีประจำกรมขุนนาง แม้กระทั่งใต้เท้าหลี่จอมเจ้าเล่ห์ก็ยังตกใจเสียจนใบหน้าซีดเผือด
คนคนนี้ คนคนนี้คือพระชายาสามหรือ
เช่น… เช่นนั้น… อีกคนหนึ่งก็…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เงียบมาตลอดเริ่มอ้าปากก็ในตอนนั้นนั่นเอง น้ำเสียงของเขายังคงไพเราะน่าฟังดังปกติ ”ลงโทษด้วยการโบยหนึ่งร้อยทียังนับว่าเบาไป พาเขาไปทำหมันด้วย ใต้เท้าจางจะได้ไม่ลืมเรื่องนี้เหมือนกัน”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ใต้เท้าจางก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงตุ้บ แม้เขาจะไม่เคยพบองค์ชายสาม แต่เขาก็เคยได้ยินบทลงโทษอันโหดร้ายทารุณของอีกฝ่ายมาก่อน เห็นได้ชัดว่าบทลงโทษนี้ก็คงเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาชอบ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น นี่เขาจับองค์รัชทายาทคนปัจจุบันใส่กุญแจมือหรือ!
มิหนำซ้ำยังพยายามใช้องค์ชายเป็นแพะรับบาปแทนบุตรชายของตัวเองอีกด้วย!
ใต้เท้าจางยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เขาตัวสั่นขณะโน้มศีรษะลงคำนับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงนั้นดังจนทำเอาคนที่ได้ยินรู้สึกเจ็บศีรษะแทนไปตามๆ กัน ”กระ กระหม่อมช่างโง่เขลายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะที่จำองค์ชายไม่ได้ กระหม่อมทำให้องค์ชายทรงกริ้ว ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ใต้เท้าจางผู้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเมื่อครู่นี้ มาตอนนี้กลับกำลังเนื้อตัวสั่นเทาและพูดจาตะกุกตะกัก
จางอวี้ถึงกับก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว แต่ชายในชุดดำที่โผล่มาจากไหนก็มิอาจทราบได้กลับจับขาเขาเอาไว้ มีดในมือของเขาส่องแสงเป็นประกาย!
“ข้าจะสารภาพ ข้าจะสารภาพทุกอย่าง!” จางอวี้พยายามดิ้นพร้อมกับร้องไห้ครวญครางออกมา น้ำตาไหลอาบลงบนแก้มของเขา แม้แต่เป้ากางเกงก็ยังเปียกชุ่ม เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวมากเพียงใด
เฮ่อเหลียนเวยเวยอดชื่นชมวิธีการขององค์ชายไปเสียไม่ได้ เขาโหดเหี้ยมยิ่งกว่านางเป็นไหนๆ เขาถึงกับคิดจะตัดของรักของหวงของคนอื่นเลยทีเดียว
ภาพนั้นน่าขยะแขยงเกินไปจนทำให้เฮ่อเหลียนยกมือขึ้นปิดจมูกขณะมองจางอวี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามององครักษ์เงา และองครักษ์เงาก็หยุดเคลื่อนไหวทันที เขาเก็บมีดสั้นภายในชั่วพริบตาพร้อมกับถอยหลังกลับไปราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
จางอวี้คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมคำนับศีรษะอย่างแรง ”องค์ชาย คนที่หายตัวไปในซอยนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับกระหม่อมจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ วันนั้นกระหม่อมไปที่ซอยนั้นก็จริง แต่ก็กลับจากที่นั่นทันทีหลังจากทะเลาะกับจางหลิงเอ๋อร์ นางมักจะตามกวนใจกระหม่อมอยู่เสมอ แต่กระหม่อมเลิกคิดที่จะยุ่งกับนางมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ แล้วกระหม่อมจะลักพาตัวนางไปทำไม ส่วนอีกสองคนนั้น กระหม่อมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะว่าจู่ๆ พวกนางหายตัวไปได้อย่างไร ตอนที่กระหม่อมไปพบพวกนาง พวกนางก็ยังดูสบายดีอยู่เลย กระหม่อม…”
จางอวี้พูดจาไม่ปะติดปะต่อกันอย่างเห็นได้ชัด
อันที่จริง เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดความเป็นไปได้ที่จางอวี้จะเป็นคนร้ายออกไปตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในซอยนั้นแล้ว เพราะหญิงสาวเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งฆ่าเวลาสำหรับเขาเท่านั้น ต่อให้เขาจะไม่ชอบพวกนาง แต่อย่างมากที่สุดเขาก็คงทำได้เพียงแค่ใช้เงินไล่พวกนางไป หรือไม่ก็ใช้ฐานะของตัวเองกดดันพวกนาง มันไม่มีเหตุผลให้เขาต้องลักพาตัวพวกนางแต่อย่างใด
สาเหตุที่เฮ่อเหลียนเวยเวยตามเขากลับมาก็เพราะมันมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เขาจะได้เห็นคนร้ายที่ว่านั่นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้เท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ความคิดนี้มาจากคำพูดของแม่เฒ่าจาง
ในเมื่อจางหลิงเอ๋อร์หายตัวไปหลังจากได้พบกับจางอวี้ มันย่อมหมายความว่าคนร้ายจะต้องอยู่ที่นั่นในคืนนั้น
เช่นเดียวกันกับหญิงสาวอีกสองคน หลังจากพวกนางแอบออกไปพบจางอวี้ พวกนางน่าจะบังเอิญเจอใครสักคนเข้าระหว่างทางกลับบ้าน
“จางอวี้ ในเมื่อเจ้าอ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์ เช่นนั้นก็ลองคิดให้ละเอียดสิว่าตอนที่เจ้าออกไปพบกับจางหลิงเอ๋อร์และหญิงสาวพวกนั้น เจ้ารู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ หรือเห็นใครบ้างหรือไม่” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยฟังเยือกเย็น ”คนที่เจ้ารู้จักในซอยนั้นก็นับเหมือนกัน”
จางอวี้พยายามนึกอย่างหนัก ”กระหม่อมไม่เห็นใครเลยพ่ะย่ะค่ะ แต่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในวันที่กระหม่อมไปพบกับจางหลิงเอ๋อร์จริง กระหม่อมรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างจับตามองจางหลิงเอ๋อร์อยู่ แต่นางกลับไม่รู้สึก จะว่าไป กระหม่อมก็เห็นเงาแปลกๆ ในวันนั้นเหมือนกัน”
“แปลกแบบไหน” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยวาววับ นางจับประเด็นจากคำพูดของจางอวี้ได้อย่างรวดเร็ว
จางอวี้อธิบายได้ไม่ชัดเจนนัก ”เงานั้นค่อนข้างเตี้ยและเหมือนจะมีหนอกอยู่บนหลัง ถ้ามันไม่ได้เดินอยู่ข้างหลังกระหม่อม กระหม่อมก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเงาคน”
มีหนอกอยู่บนหลังหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วราวกับเพิ่งนึกอะไรออก นางแตะนิ้วลงบนขายาวของตัวเองเบาๆ โดยไม่ตั้งใจ แล้วทันใดนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกาย ”ข้าว่าข้ารู้แล้วว่าคนร้ายคือใคร”