ตอนที่ 695 ปิดบังฟางจั๋วหราน
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น จ้าวเลี่ยงก็กลับมาพร้อมคนของเขา
ในเมื่อพวกเขาเดินทางกลับมาทันเวลาพอดี ทุกคนก็รับประทานอาหารร่วมกัน
จ้าวเลี่ยงแจ้งข่าวดีกับหลินม่ายขณะรับประทานอาหาร
ตอนที่เขาไปยังสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตร ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยินดีที่จะให้การสนับสนุนด้านเทคนิคสำหรับผักในเรือนกระจกโดยไม่คิดค่าบริการ
แม้ในจีนจะไม่มีเทคโนโลยีให้ความร้อนด้านการปลูกผักเรือนกระจกในสถานที่อุณหภูมิต่ำ แต่ผู้เชี่ยวชาญสำนักวิชาการเกษตรในต่างประเทศได้ทำการศึกษาและวิจัยจนเข้าใจดีแล้ว ดังนั้นการดำเนินการในครั้งนี้จึงไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่
สิ่งที่หลินม่ายกังวลที่สุดคือปัญหาทางเทคนิค ตราบใดที่ปัญหาทางเทคนิคได้รับการแก้ไข ก็จะเป็นเรื่องง่ายต่อการปลูกผักเรือนกระจกในเขตชานเมืองของกรุงปักกิ่ง
หลินม่ายบอกจ้าวเลี่ยงว่าไม่ควรปฏิเสธการจ่ายเงินเพียงเพราะผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรไม่ต้องการรับเงิน
ไม่เพียงต้องให้เท่านั้น แต่ยังต้องให้มากกว่าที่ควรจะเป็น นี่คือการเคารพความรู้ของผู้มีปัญญา
จ้าวเลี่ยงพยักหน้า “ผมรู้แล้วครับ”
หลังอาหารเย็น จ้าวเลี่ยงและคนของเขาก็จากไป
หลังช่วงฮันนีมูน แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีเหมือนเดิม แต่กลับไม่ดีกว่าแต่ก่อนที่ตัวติดกันแทบทุกวินาที
หลังจากดูข่าว ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายก็เข้าไปในห้องทำงาน ต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเอง
กว่าจะรู้ตัวก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ได้เวลาเข้านอนเสียที
ฟางจั๋วหรานกลับไปยังห้องนอน ก่อนจะพบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนอน เขาจึงเดาว่าหลินม่ายไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ
เขานั่งบนหัวเตียง พลิกหนังสือที่หลินม่ายกำลังอ่านอย่างเบื่อหน่าย
สิ่งที่หลินม่ายอ่านไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับวิศวกรรมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แต่เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิต
หลังหลินม่ายออกมาจากห้องอาบน้ำ ฟางจั๋วหรานจึงวางหนังสือในมือของเขา หลังจากที่เธอนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เขาก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกของเธอ
เขาเอ่ยถามด้วยความงุนงง “ทำไมจู่ๆ คุณถึงอ่านหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิตล่ะ?”
หลินม่ายกระพริบตา “การจะอ่านหนังสือสักเล่มจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอคะ? ฉันแค่สนใจจะอ่านมันน่ะ!”
ในความเป็นจริงแล้วเธอมีจุดประสงค์ในการอ่านหนังสือในเล่มนี้ แต่ไม่สะดวกที่จะบอกฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าเล็กน้อย “ความสนใจของคุณนี่แปลกจริง”
หลินม่ายยิ้มกลบเกลื่อน
ไป๋เหยียนรักษาคำพูดของหล่อน หลังจากเจ็ดโมงเช้าวันรุ่งขึ้น หยางจิ้นก็ส่งขนมเซาปิ่งพร้อมเนื้อสัตว์ที่เขาทำในตอนเช้าไม่ต่ำกว่าสิบชิ้นมาให้หลินม่าย
เซาปิ่งทั้งหมดถูกบรรจุในหม้ออะลูมิเนียม แล้วห่อให้แน่นด้วยผ้าฝ้ายเพื่อรักษาความร้อนไว้
หยางจิ้นพูดอย่างเขินอาย “เซาปิ่งชนิดนี้กินกับเนื้อวัวและเนื้อแกะจะอร่อยมาก แต่ถ้าเธอหาซื้อเนื้อวัวและเนื้อแกะไม่ได้ก็กินกับเนื้ออย่างอื่นที่มี ฉันทำมาเผื่อคุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และทุก ๆ คนเลยนะ”
หลังจากที่หยางจิ้นจากไป ทั้งครอบครัวก็รับประทานอาหารเช้าพร้อมกับเต้าหู้และเซาปิ่งที่เขานำมา
เนื้อเซาปิ่งของหยางจิ้นค่อนข้างมัน แต่ไม่มันเยิ้ม และผิวของเซาปิ่งก็บางมาก กัดแล้วให้รสสัมผัสค่อนข้างกรอบ
ทุกคนในครอบครัวชอบมาก แม้แต่โต้วโต้วยังกินเซาปิ่งพร้อมกับเนื้อ
ไม่ต้องพูดถึงฟางจั๋วเยวี่ย เขากินหมดสี่ชิ้นในครั้งเดียว
มีเซาปิ่งชิ้นสุดท้ายเหลืออยู่ ฟางจั๋วเยวี่ยจึงยื่นมือออกไปหมายจะคว้ามัน แต่หลินม่ายกลับปัดมือของเขาออก
เธอคว้าเซาปิ่งชิ้นสุดท้ายไว้ในมือ ก่อนจะถามคุณปู่และคุณย่าฟางว่าพวกเขายังอยากกินอีกหรือไม่
แม้ว่าเซาปิ่งของหยางจิ้นจะอร่อย แต่คู่สามีภรรยาชราก็อิ่มแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงโบกมือและตอบปฏิเสธ
เมื่อเห็นดังนี้ ฟางจั๋วเยวี่ยกบอกทุ็กคนว่าเขาจะกินเซาปิ่งชิ้นสุดท้าย
แต่หลินม่ายแสร้งทำเป็นหูหนวก ยัดเซาปิ่งชิ้นสุดท้ายใส่มือของฟางจั๋วหรานด้วยรอยยิ้ม “จั๋วหราน คุณกินเถอะ”
ฟางจั๋วหรานอิ่มแล้ว แต่เซาปิ่งนี้เป็นชิ้นที่ภรรยาที่รักของเขานำมาให้
อย่าว่าแต่กินมันเลย ต่อให้จะต้องกินของทอด ยังไงก็ต้องกินให้หมด
ฟางจั๋วเยวี่ยเฝ้าดูฟางจั๋วหรานกินเซาปิ่งพร้อมเนื้อ ในใจก็รู้สึกเศร้าสลดเหลือแสน
เขาตอนนี้หัวเดียวกระเทียมลีบเสียแล้ว อันที่จริงแม้ไม่ได้กินเซาปิ่งสุดท้ายก็ไม่เป็นไร แต่พี่ชายของเขากลับต้องฝืนกิน ช่างน่าสงสาร เฮ้อ~
เซาปิ่งนั้นเป็นของกินที่พบได้ทั่วไปในเมืองหลวง แต่การทำให้อร่อยเท่าหยางจิ้นทำกลับไม่ใช่เรื่องง่าย
หยางจิ้นไม่ได้ทำเซาปิ่งขายเอากำไร ดังนั้นคงจะดีไม่น้อยหากได้เปิดร้านขายเซาปิ่ง
ณ มหาวิทยาลัยในตอนเที่ยง หลินม่ายโทรหาไป๋เหยียนและแนะนำหล่อนให้เปิดร้านขายเซาปิ่ง
ไป๋เหยียนลังเลอยู่นานก่อนจะกล่าว “ให้พี่เขยของเธอเป็นนายตัวเอง เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ขายเซาปิ่งงั้นเหรอ? ฉันยอมให้ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ขายขี้หน้าตายชักเลย”
หลินม่ายพูดผ่านโทรศัพท์ “แล้วหน้าตาหรือเงินที่สำคัญกว่ากันคะ? หน้าตาทำให้เราร่ำรวยไม่ได้หรอกนะคะ แถมตอนนี้ก็มีคนประกอบอาชีพอิสระเยอะขึ้น และสถานะทางสังคมของพวกเขาก็จะดีขึ้นมาในอนาคต ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องอายหรอกค่ะ สิ่งที่น่าละอายคือพนักงานที่ทำงานไม่ดีในหน่วยงาน โลภมากคดโกงจนทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก”
หลินม่ายใช้เวลาพูดคุยอยู่พักใหญ่ และในที่สุดก็ทำให้ไป๋เหยียนเชื่อมั่นได้
เงินเดือนของหยางจิ้นไม่สูงนัก แต่โชคดีที่ไป๋เหยียนทำงานในธนาคารและมีเงินเดือนสูง ดังนั้นชีวิตของหล่อนจึงค่อนข้างดี
แต่เพื่อนร่วมงานหญิงของหล่อนหลายคนมีสามีที่มีรายได้มากกว่าตัวเอง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวของหล่อน
เพื่อนร่วมงานหญิงเหล่านั้นไม่พูดอะไรต่อหน้าหล่อน และไป๋เหยียนรู้ดีว่าพวกหล่อนไม่ได้เห็นอกเห็นใจตน แต่ยังนินทาลับหลังอีกด้วย
ไป๋เหยียนไม่สนใจว่าใครจะนินทาให้ร้าย และไม่สนใจว่าสามีจะหาเงินได้มากกว่าหล่อนหรือไม่ ขอเพียงครอบครัวของตนมีความสุขก็พอ
แต่ความคิดเห็นของคนอื่นนั้นน่าเกลียดเกินไป ดังนั้นหล่อนจึงหวังว่ารายได้ของหยางจิ้นจะสูงขึ้น เพื่อที่หล่อนจะได้มีหน้ามีตาต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน
ไป๋เหยียนบอกหลินม่ายว่า เมื่อกลับถึงบ้านจากเลิกงาน หล่อนจะปรึกษาพี่เขยเกี่ยวกับการเปิดร้านขายเซาปิ่ง
หลินม่ายวางสายและไปที่ร้านเปาห่าวชือของเธอ
วันนี้เป็นวันแรกที่จะทดลองใช้เครื่องผสมไส้และเครื่องนวดแป้ง และเธอต้องการเห็นผลลัพธ์ของมัน
แม้ซาลาเปาจะเป็นเพียงของว่าง แต่ก็มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่มาซื้อซาลาเปาของหลินม่ายในตอนเที่ยง ทำให้ลุงเหว่ยและป้าหวังยุ่งมาก
ทันทีที่หลินม่ายเข้าไปในร้าน เธอก็ช่วยพวกเขาขายซาลาเปา ซึ่งช่วยลดความกดดันได้มาก
ขณะขายซาลาเปา หลินม่ายถามลุงเว่ยและป้าหวังว่าเครื่องผสมไส้และนวดแป้งทำงานได้ดีหรือไม่
ป้าหวางกล่าว “ฉันกับลุงเว่ยยังไม่ได้ใช้มันเพราะเราไม่รู้วิธีใช้งาน แต่ชายของคนที่นำเครื่องนี้มาส่งได้ทดลองใช้แล้ว ดูเหมือนจะใช้ง่ายมาก”
ลุงเหว่ยถอนหายใจ “เทคโนโลยีของประเทศเรากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ใครจะคิดว่าวันหนึ่งจะมีเครื่องผสมไส้และเครื่องนวดแป้งแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน!”
หลินม่ายช่วยขายซาลาเปานานกว่าสิบนาที และหยิบซาลาเปาสองลูกกินแทนมื้อกลางวัน
ไม่ว่าอย่างไรไส้ซาลาเปาที่ป้าหวังทำก็ไม่อาจเทียบปรมาจารย์อย่างโจวฉายอวิ๋นได้ หลังได้ชิมซาลาเปารสมือป้าหวังและลุงเหว่ยแล้ว หลินม่ายก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
……
ในวันพฤหัสบดี คุณปู่ฟางมาพบหลินม่ายพร้อมบอกเธอว่ามีตลาดผักขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ดำเนินการโดยรัฐ แต่ไม่ได้รับการจัดการที่ดีและใกล้จะล้มละลาย ตลาดนี้อยู่ใกล้กับเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่
เงื่อนไขการเป็นผู้นำตลาดผักของรัฐจึงหละหลวมมาก หลินม่ายต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเลิกจ้างพนักงานแต่ละคนเพื่อเข้าครอบครองตลาดผัก
ค่าธรรมเนียมการเลิกจ้างไม่มากนัก ราวห้าร้อยหยวนต่อคน
หลินม่ายปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้น
อย่างไรก็ตาม เธอบอกจ้าวเลี่ยงว่าอย่าเลือกปฏิบัติกับคนที่ถูกเลิกจ้างเมื่อรับสมัครงาน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
หากพวกเขาทำงานได้ดีก็สมควรอยู่ในองค์กรนี้ แต่หากไม่ก็เพียงขับไล่พวกเขาไป
อย่างไรก็ตาม คนงานที่ถูกเลิกจ้างเหล่านี้ไม่มีทางเลือก พวกเขาได้รับการว่าจ้างจากสถานประกอบการ และสามารถถูกเลิกจ้างได้ทุกเมื่อหากทำงานไม่ดี
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หลินม่ายคิดจะทำอะไรกันหนอ ถึงศึกษาการสะกดจิต?
ไหหม่า(海馬)