หลังจากฟังที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ ใต้เท้าจางก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งหลัง เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน มันเหมือนกับเขาไม่สามารถปิดบังเรื่องสกปรกทั้งหมดที่ตนเคยทำได้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนคนนี้
เสนาบดีประจำกรมขุนนางไม่ได้ทราบถึงสาเหตุและผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เขาเข้าใจเพียงคร่าวๆ ว่าปัญหาอยู่กับคู่หมั้น ดังนั้นเขาจึงรีบถามเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”พระชายาสาม ท่านหมายความว่าเป็นเพราะคู่หมั้นของเขาถูกแย่งไป เขาจึงเกิดความเคียดแค้นขึ้นในใจ และเตรียมการเพื่อแก้แค้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่าเลย หากจะพูดให้ถูกต้องแล้วละก็ ต้องบอกว่าคนที่ถูกแย่งไปคือคู่หมั้นของบุตรชายสุดที่รักต่างหาก นางเป็นแม่ที่ต้องการตัดสินทุกอย่างแทนบุตรชาย และคิดว่าบุตรชายของตัวเองสมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่าหญิงสาวเหล่านั้นเลือกคนเสเพลแทนบุตรชายของตัวเองได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยถูนิ้ว ขณะเดียวกันริมฝีปากของนางก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”การคิดว่าบุตรชายตัวเองดีเกินไปก็เป็นโรคประเภทหนึ่งเหมือนกัน”
เสนาบดีประจำกรมขุนนางตกตะลึงเพราะเขาไม่เคยได้ยินข้อโต้แย้งนี้มาก่อน
ทันใดนั้นใต้เท้าจางก็อุทานราวกับถูกไฟฟ้าช็อตว่า ”แม่เฒ่าหวัง! คนร้ายก็คือแม่เฒ่าหวัง!”
“ดูเหมือนท่านก็ไม่ได้โง่ไปเสียทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แต่สายตาของนางกลับเย็นชา ”ในเมื่อคนฉลาดเช่นท่านกลับไม่สามารถเป็นขุนนางที่ดีได้ เช่นนั้นก็เลิกเป็นเสียเถอะ”
ใต้เท้าจางรีบหันมามองนาง ”พระชายา ท่านไม่สามารถ…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ฟังคำพูดของเขา นางกลับไปมองที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า ”เขาบอกว่าข้าไม่สามารถไล่เขาออกจากตำแหน่งได้แน่ะ”
เสนาบดีประจำกรมขุนนางมองซ้ายทีขวาที หากว่ากันตามระบบที่เหล่าบรรพบุรุษได้วางไว้ ผู้หญิงในวังหลวงย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำแหน่งในราชสำนัก ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็เคยไม่ชอบใจกับการที่มู่หรงฮองเฮาพยายามส่งคนมาประจำในกรมขุนนางจนตบหน้านางตรงนั้นมาแล้ว เรื่องนี้สร้างความอับอายให้กับมู่หรงฮองเฮาอย่างมาก
การที่พระชายาทำเช่นนี้ย่อมเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามใหญ่ขององค์ชาย…
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับทำเพียงแค่ยิ้มอย่างซุกซนแล้วจับมือเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับบีบมันเบาๆ จากนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า ”เงาทมิฬ เจ้าได้ยินพระชายาแล้วมิใช่หรือ ยึดหมวกขุนนาง และไล่เขาออกไปได้แล้ว”
“ขอรับ” เงาทมิฬปรากฏตัวขึ้นและขยับมือข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว
หมวกผ้าสีดำบนศีรษะของใต้เท้าจางหายไป ผมของเขาร่วงลงปกคลุมใบหน้าดูท่าทางกระเซอะกระเซิง
สองพ่อลูกถูกไล่ออกจากจวนตระกูลหลี่ แม้เวลาดึกเช่นนี้จะมีคนเดินผ่านจวนเพียงแค่ไม่กี่คน แต่ทุกคนที่เดินผ่านมาก็ยังคงจ้องมองพวกเขาพร้อมกับกระซิบกระซาบกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจแม้แต่น้อย ”ช่างเป็นขุนนางที่แย่จริงๆ ถึงกับกล้าใช้ระบบที่บรรพบุรุษวางไว้มากดดันข้าเชียวหรือ ข้าดูเหมือนคนที่จะถูกกดหัวได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”
“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังลูบมือของนางอยู่ เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนได้ยินกันแค่สองคนว่า ”เจ้าไม่ใช่คนที่จะถูกกดได้ง่ายๆ เพราะอย่างไรเจ้าก็ชอบขึ้นมาอยู่ข้างบนตัวข้ามากกว่าอยู่ข้างล่างนี่ ถูกไหม”
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถึงกับพูดไม่ออก แม้กระทั่งใบหูของนางก็ยังเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“ข้าพูดถูกใช่ไหมล่ะ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพอใจเมื่อเห็นท่าทางเขินอายของนาง เขาก้มหน้าลงแล้วประทับจูบเข้าที่ปลายหูของนาง ดวงตาของเขาเอ่อท้นไปด้วยความอ่อนโยน
เฮ่อเหลียนเวยเวยถูหูตัวเอง ก่อนจะพึมพำออกมาเสียงเบาว่า ”ที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่ด้วยนะ”
“มีด้วยหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาขึ้นมองไปทางเสนาบดีประจำกรมขุนนาง
“ไม่ ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ! อันที่จริงแล้วกระหม่อมไม่มีตัวตนด้วยซ้ำพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีประจำกรมขุนนางรีบปิดตาพร้อมกับหมุนตัวกลับออกไปทันที ทุกวันนี้การเป็นขุนนางในราชสำนักย่อมต้องรู้จักมองการณ์ไกล!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองร่างของเสนาบดีประจำกรมขุนนางที่กำลังเดินพึมพำออกไป จากนั้นนางจึงหัวเราะขึ้น ”คนพวกนี้ที่อยู่รอบตัวท่าน ไม่มีใครไม่กลัวท่านเลยแม้แต่คนเดียว”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ เขากอดนางแน่นพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย ”มันตลกถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ แต่กลับหัวเราะอยู่ในอ้อมแขนของเขา ท่าทางของเสนาบดีตอนเดินออกไปช่างน่าขันอย่างมาก
เสนาบดีประจำกรมขุนนางก็อายุปูนนั้นแล้ว แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องเออออตามอารมณ์ขันอันชั่วร้ายขององค์ชาย น่าสงสารจริงๆ ฮ่าๆ
“ยังขำอยู่อีกหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปเชยคางของเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเย้ายวนระหว่างลมหายใจนั้นเหมือนกับตะขอที่เกี่ยวนางเข้ามา ”ถ้าเจ้ายังหัวเราะต่ออีกละก็ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะกดเจ้าลงเดี๋ยวนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดหัวเราะทันที นางเชื่อจากใจจริงว่าองค์ชายเป็นคนที่สามารถทำเรื่องห่ามๆ เช่นนั้นได้โดยไม่สนใจสถานการณ์ สภาพแวดล้อม หรือแม้กระทั่งสถานที่!
“คิดๆ ดูแล้ว เราก็ยังไม่เคยทำเรื่องนั้นกันในสถานที่โอ่โถงเช่นนี้มาก่อนเลย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดพลางสอดมือข้างซ้ายเข้าไปใต้เสื้อของนางพร้อมกับนวดเฟ้นมันอย่างช่ำชอง เขาคิดถึงเรื่องที่ว่านี้ด้วยสีหน้าจริงจัง มันถึงกับทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยสงสัยว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องสำคัญอะไรอยู่
นึกไม่ถึงว่าประโยคถัดไปที่เขาพูดขึ้นจะเป็น ”เอาไว้ค่อยลองกันหลังจากเรากลับไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ท่านหยุดพูดเรื่องลามกพวกนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้ได้ไหม!
“จับคนร้ายให้ได้ก่อน แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนั้นกันอีกที” เฮ่อเหลียนเวยเวยผลักเขาออก จากนั้นจึงจูบใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ตินั้น ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย ”แม่เฒ่าหวังคนนั้นอาจจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้วก็เป็นได้ คดีคนหายธรรมดาไม่น่าจะสร้างวิญญาณร้ายที่มีปราณแห่งความเคียดแค้นได้มากมายเช่นนี้ จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับนางอย่างแน่นอน เราต้องวิเคราะห์สถานการณ์นี้ให้ดี อีกอย่างหนึ่งข้าก็คิดว่านางน่าจะยังมีสิ่งที่ทำค้างเอาไว้อยู่…”
มันเป็นเวลากลางดึก ที่ด้านนอกเริ่มมีหมอกลงหนา
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังตั้งแต่เห็นชายทั้งสองถูกจับกุม นางรู้ดีว่านางไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ในเวลานี้ แต่นางก็ยังอยากไปเยี่ยมพวกเขาที่ศาลาว่าการ
อย่างไรที่คุณชายทั้งสองตกเป็นเป้าหมายของนายน้อยจางก็เพราะนางพูดคำว่า ”ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย” ที่นางพูดออกไป
นางจะต้องหาทางช่วยพวกเขาให้ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ก็ไม่สามารถนั่งเฉยได้ ดังนั้นนางจึงหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายขึ้นสวมก่อนออกจากบ้าน
พ่อแม่ของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์อยู่อีกห้องหนึ่ง พวกเขากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทันได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นข้างนอก
คืนนั้นหิมะตกหนัก ลมเหนือพัดกรรโชกอย่างบ้าคลั่ง แม้กระทั่งประตูไม้ก็ยังส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด จึงทำให้เหยียนหลิ่วเอ๋อร์สามารถแอบออกไปข้างนอกได้โดยง่าย
ยิ่งดึกคนในซอยก็ยิ่งเหลือน้อย แต่บ้านทุกหลังก็ยังสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมผ้าฝ้ายของตัวเองแน่น แล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อ นางรีบเดินแล้วเลี้ยงซ้ายตรงหัวมุม ก่อนมุ่งตรงเข้าสู่ซอยแคบ
ในตอนแรกเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ เพราะนางเพียงแค่อยากไปให้ถึงศาลาว่าการให้เร็วที่สุดเท่านั้น
แต่ในไม่ช้า นางก็เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังมองนางอยู่จากทางด้านหลัง
ความรู้สึกนั้นทำให้นางรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วแผ่นหลัง นางไม่กล้าหันกลับไปมองขณะที่ความรู้สึกเสียใจปะทุขึ้นภายในใจ
นางไม่ควรออกมาข้างนอกในเวลานี้ เพราะมีคนสะกดรอยตามนางอยู่แน่ๆ
เมื่อคิดได้ดังนี้ เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ก็เร่งฝีเท้าขึ้นราวกับพยายามหนีจากอะไรสักอย่าง แต่นางไม่รู้ว่าที่ด้านหลังนางไม่มีอะไรอยู่ ทุกอย่างเป็นเพียงการคิดไปเอง
แต่ทันใดนั้น ประตูไม้ที่อยู่ทางซ้ายมือของนางก็เปิดออก!
เป็นบ้านของแม่เฒ่าหวังนั่นเอง!
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์คิดว่านางจะปลอดภัยทันทีที่ไปถึงบ้านหลังนั้น..