เมื่อได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน ร่างขององค์หญิงใหญ่แข็งทื่อ สีหน้าเริ่มซีดลง เจี่ยงหมัวมัวรีบเทเม็ดยาช่วยชีวิตที่ไทเฮาประทานให้องค์หญิงใหญ่ยื่นให้ท่านพร้อมกับน้ำ “องค์หญิงใหญ่…”
องค์หญิงใหญ่โบกมือปฏิเสธเจี่ยงหมัวมัว เอ่ยปลอบไป๋ชิงเหยียน “เด็กโง่ มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น ความฝันมักตรงข้ามกับความเป็นจริงเสมอ”
“ความฝันนี้เหมือนจริงมากเจ้าค่ะ น่ากลัวมากๆ ท่านย่า…ข้าฝันเห็นผู้คนต่างรุมรังแกตระกูลไป๋ของเราเพราะไม่มีบุรุษหลงเหลืออยู่แล้ว รังแกที่พวกเราไม่มีผู้ใดปกป้อง เห็นบรรดาน้องๆ ถูกท่านแม่ส่งออกไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนสกุล ชาตินี้ไม่ได้เจอกันอีก เห็นท่านแม่อยากแก้ต่างให้ตระกูลไป๋แต่ก็ไร้ซึ่งหนทาง…ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับบรรดาท่านป้าในคุก ทิ้งไว้เพียงจดหมายสีเลือด! ข้ากลัวจริงๆ เจ้าค่ะ”
เมื่อกล่าวถึงช่วงยากเกินรับไหว แววตาโกรธแค้นและเศร้าสร้อยของไป๋ชิงเหยียนทำให้องค์หญิงใหญ่ตะลึง…
“อาเป่าไม่ต้องกลัว!” องค์หญิงใหญ่กอดไป๋ชิงเหยียนเอาไว้แน่น “ไม่ต้องกลัว ย่ายังอยู่!”
ไป๋ชิงเหยียนพูดคุยกับองค์หญิงใหญ่อยู่สักพักหนึ่ง พอหญิงสาวกลับไปได้ไม่นาน องค์หญิงใหญ่ก็ฝืนต่อไปไม่ไหว มือกำเสื้อตรงบริเวณหน้าอกเอาไว้แน่น กระอักเลือดออกมา ล้มลงบนเตียงนอน
“องค์หญิงใหญ่!” เจี่ยงหมัวมัวถลาเข้าไปพยุงองค์หญิงใหญ่ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดที่ติดบริเวณมุมปากให้แก่นาง ตะโกนเรียกบ่าวด้วยความตกใจ “ใครก็ได้ รีบตามหมอหลวงหวงมาเร็ว!”
องค์หญิงใหญ่รั้งเจี่ยงหมัวมัวเอาไว้พลางส่ายหน้า กลั้นน้ำตาฝืนถามออกไป “อาเป่าออกไปไกลแล้วหรือไม่”
“องค์หญิงใหญ่อย่าทรงกังวลเพคะ คุณหนูใหญ่เดินออกไปไกลแล้ว…” น้ำเสียงของเจี่ยงหมัวมัวสะอึกสะอื้น
มือที่จับเจี่ยงหมัวมัวอยู่จึงผ่อนแรงลง น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย “ข้าเป็นคนเลี้ยงอาเป่ามาตั้งแต่เล็ก ข้าจะไม่รู้เลยหรือว่านางคิดอันใดอยู่ นางคงกลัวว่าหากข้าได้ยินข่าวจะรับไม่ไหวจึงได้กุเรื่องความฝันขึ้นมา ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เล่าเรื่องเหลวไหลแบบนี้ให้ข้าฟังหรอก คงอยากให้ข้ากลัวเช่นเดียวกับนาง!”
เจี่ยงหมัวมัวร้องไห้ออกมาเช่นกัน นางกุมมือขององค์หญิงใหญ่แน่น
“องค์หญิง ท่านต้องอดทนไว้นะเพคะ หากเรื่องความฝันที่คุณหนูใหญ่กล่าวเป็นความจริง จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเรายังต้องหวังพึ่งท่านนะเพคะ!”
“ทนไหว! ข้าต้องทนไหวอยู่แล้ว!” ดวงตาขององค์หญิงใหญ่แดงก่ำราวกับเปลวไฟ ใช้ศอกค้ำอยู่ที่มุมหนึ่งของโต๊ะเพื่อยึดประคองร่างให้นั่งตัวตรง “หากบุรุษทั้งหมดของตระกูลไป๋ของเราไม่หลงเหลือแม้แต่คนเดียวจริงๆ หากข้ายังรับไม่ไหวอีก จวนเจิ้นกั๋วกงคงโดนผู้อื่นรังแกจริงๆ เพื่อพวกอาเป่าแล้ว ข้าจะทนให้ได้!”
เจี่ยงหมัวมัวพยักหน้ารัวๆ “องค์หญิงใหญ่ หมอหลวงหวงมาแล้ว ให้เข้ามาตรวจหน่อยเถิดเพคะ ท่านจะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้นะเพคะ”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า หลับตาที่บวมช้ำลง เมื่อนึกถึงว่าสามี ลูกชายและหลานชายอาจจบชีวิตลงที่หนานเจียงแล้วก็เจ็บปวดราวกับโดนฉีกอวัยวะออกเป็นชิ้นๆ
แต่เพลานี้นางไม่มีเวลามานั่งเสียใจ นางต้องรีบคิดวางแผนให้ดีก่อนที่ข่าวจะมาถึงเมืองหลวง หากข่าวนี้เป็นความจริง จวนเจิ้นกั๋วกงจะทำอย่างไรดี
ไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากเรือนขององค์หญิงใหญ่ พบกับคุณหนูสี่ที่พาคุณหนูห้าและคุณหนูหกไปขี่ม้ากลับมาพอดี
ท่ามกลางหิมะสีขาว เด็กสาวสามคนในชุดขี่ม้าสีแดงเข้มพูดคุยหัวเราะพลางเดินเข้ามาด้วยทวงท่าอาจหาญ เสียงหัวเราะไร้ซึ่งความกังวล ใสราวกับเสียงระฆังสีเงินดังกังวาน ราวกับสามารถปัดเป่าความหม่นหมองในจิตใจของผู้คนออกไปได้จนหมดสิ้น
ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรับรู้กันดีว่าคุณหนูของจวนเจิ้นกั๋วกงต่างจากคุณหนูสูงศักดิ์ของจวนอื่น จวนเจิ้นกั๋วกงไม่เลี้ยงลูกสาวให้เรียนงานบ้านงานเรือน เย็บปักถักร้อย วาดภาพ ท่องบทกวีอยู่แต่ในเรือน คุณหนูของจวนเจิ้นกั๋วกงแต่ละคนล้วนเป็นสาวแกร่งงดงามด้วยกันทั้งสิ้น
ไป๋จิ่นจื้อ คุณหนูสี่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกง มองเห็นไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่ตรงทางเดินซึ่งประดับประดาด้วยผ้าไหมสีแดงเต็มไปหมด ดวงตาเป็นประกายรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว “พี่หญิงใหญ่!”
ดวงตาของคุณหนูห้าและคุณหนูหกก็เป็นประกายเช่นเดียวกัน ต่างพากันวิ่งเข้าไปหา ตะโกนเรียกเสียงแจ่มใส “พี่หญิงใหญ่…”
ชุนเถายิ้มออกมาเล็กน้อย ปัดเศษฝุ่นที่ติดอยู่บริเวณที่นั่งตรงทางเดิน จากนั้นประคองให้ไป๋ชิงเหยียนนั่งลง
“พี่หญิงใหญ่ ท่านแข็งแรงดีแล้วหรือเจ้าคะ หิมะตกแบบนี้ยังออกมาได้แล้ว!” คุณหนูสี่ ไป๋จิ่นจื้อนั่งลงข้างๆ พี่สาว เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เช่นนี้หากถึงฤดูใบไม้ผลิ พี่หญิงใหญ่ก็พาพวกเราไปขี่ม้าได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ! ท่านอาจารย์ที่สอนพวกเราน่าเบื่อมากเลยเจ้าค่ะ ไม่ยอมปล่อยให้ข้าขี่ม้าเองสักที”
คุณหนูห้าและคุณหนูหกเป็นฝาแฝดกัน ทั้งสองเป็นเด็กน้อยที่อายุเพียงสิบขวบเท่านั้น ใบหน้าขาวจิ้มลิ้ม บนศีรษะมัดเป็นจุกสองข้าง ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ
มองดูเด็กสาวทั้งสามคนตรงหน้าที่ยังคงเป็นคุณหนูของจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่ หวนนึกถึงชาติที่แล้ว…น้องสาม ไป๋จิ่นถงต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนสกุล น้องสี่ ไป๋จิ่นจื้อยอมเข้ากับฝ่ายศัตรูเพื่อกลับมาแก้แค้นแคว้นต้าจิ้น น้องห้า ไป๋จิ่นเจาฝึกเรียนวิชาสังหารเพื่อลอบฆ่าเหลียงอ๋องแต่สุดท้ายก็จบชีวิตด้วยดาบของตัวเอง น้องหกไป๋จิ่นหวาและน้องเจ็ดไป๋จิ่นเซ่อถูกเหลียงอ๋องส่งไปอยู่ที่หอนางโลม…
ยังดี ตอนนี้พวกน้องๆ ยังอยู่ตรงหน้านางอย่างเป็นสุข…
หญิงสาวตื้นตันจนอยากจะร้องไห้ มองดูเด็กสาวที่ร่าเริงทั้งสามคนยิ้มออกมาน้อยๆ
“พี่หญิงใหญ่ ดอกเหมยที่เสี่ยวอู่มอบให้ท่านเมื่อวานงามหรือไม่เจ้าคะ” คุณหนูห้า ไป๋จิ่นเจาโผล่มาตรงหน้าของไป๋ชิงเหยียน กล่าวอย่างมีความสุข “ท่านแม่ของข้าบอกว่าพี่หญิงใหญ่ทนหนาวไม่ได้ เลยไปสถานที่ที่หนาวเกินไปไม่ได้ ข้าเห็นว่าดอกเหมยสีแดงนั่นงดงามมากจึงเด็ดมาปักในแจกันขาวแล้วส่งไปให้ท่าน พี่หญิงใหญ่ชอบหรือไม่เจ้าคะ!”
“ชอบสิ! ดอกไม้ที่เสี่ยวอู่ของพวกเราเด็ดออกมางดงามที่สุด วันนี้พอพี่ตื่นขึ้นมาก็มองเห็นแล้ว…” หญิงสาวกล่าวชมเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน
“ข้าด้วย ยังมีข้าด้วย ข้าก็ตัดกระดาษให้พี่หญิงใหญ่เหมือนกัน หิมะตกเช่นนี้ท่านพี่ติดไว้ที่หน้าต่างจะงดงามมากเจ้าค่ะ ข้ายังส่งไปให้ท่านอาสะใภ้ห้าด้วยนะเจ้าคะ ท่านแม่บอกว่าในท้องของท่านอาสะใภ้ห้ามีน้องน้อยๆ อยู่ ตอนนี้ท่านอาห้ากับพวกท่านพี่อยู่ข้างนอก ท่านอาสะใภ้ห้าคงกังวลมาก ท่านแม่ให้ข้ากับพี่สาวช่วยให้ท่านอาสะใภ้ห้าอารมณ์ดีเจ้าค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้ายิ้มรับ “จ้ะ ตุ๊กตากระดาษอ้วนสองอันที่เจ้าตัดมาให้พี่ พี่ชอบมากเลย ท่านอาสะใภ้ห้าก็ต้องชอบมากเช่นกัน”
กล่าวจบ หญิงสาวมองไปยังไป๋จิ่นจื้อ “พรุ่งนี้จิ่นซิ่วจะออกเรือนแล้ว พี่มีเรื่องจะวานเจ้าสักหน่อย”
ไป๋จิ่นจื้อใช้มือที่กุมแส้ม้าอยู่ตบไปที่แผ่นอกพลางเอ่ย “เรื่องที่พี่หญิงใหญ่สั่ง เสี่ยวซื่อจะทำตามด้วยชีวิตเจ้าค่ะ!”
“พรุ่งนี้ตอนที่จวนจงหย่งโหวมารับตัวเจ้าสาว หากไม่มีใครคอยกั้นอยู่ที่ประตู เจ้าจงนำพวกสาวใช้ไปกั้นประตูเอาไว้ ห้ามให้จวนหย่งโหวคิดว่าจวนเราไม่มีบุรุษคอยปกป้องแล้วจะรับตัวพี่รองของเจ้าไปได้ง่ายๆ จนทำลายชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงของเราเป็นอันขาด”
“พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ เรื่องสร้างความลำบาก ทั่วทั้งเมืองนี้หากข้าไป๋จิ่นจื้อคือที่สอง ไม่มีผู้ใดกล้าเป็นที่หนึ่งหรอกเจ้าค่ะ!” คุณหนูสี่ลูบหน้าอกเป็นการรับปาก
ไป๋ชิงเหยียนมองเห็นหลูผิงอยู่ไกลๆ ยิ้มพร้อมกล่าวกับเด็กสาวทั้งสาม “เอาล่ะ พวกเจ้ารีบไปแต่งกายเถิด ท่านย่าเชิญจิตรกรหลวงมาวาดภาพเหมือนให้พวกเจ้าก่อนที่พี่รองของพวกเจ้าจะออกเรือนในวันพรุ่งนี้ พวกเจ้าแต่งกายให้งดงามเสียหน่อย”
เด็กสามทั้งสามคนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนอย่างนอบน้อม แล้วพากันเดินจากไป
หลูผิงอายุยังไม่ถึงสี่สิบ แต่ดูจากใบหน้าแล้วกลับเคร่งขรึมโบราณมาก ชายหนุ่มกำมือคาราวะ
ไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ เรียกหาข้าหรือขอรับ”
“ลุงผิง เดินไปกล่าวไปเถิด” หญิงสาวลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากระเบียงทางเดิน
หลูผิงเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของไป๋ชิงเหยียน จึงตั้งสติมั่นรับร่มมาจากชุนเถา กางให้ไป๋ชิงเหยียน ส่วนตัวเองเดินอยู่ข้างๆ หญิงสาวด้วยความเคารพ
หญิงสาวกำเตาอุ่นมือในมือแน่น ฝีเท้ามั่นคง เดินเลี่ยงบ่าวที่เก็บกวาดหิมะอยู่ จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ “เมื่อวานมีคนลอบส่งสารให้ข้า นัดให้ข้าไปพบที่จุ้ยอันฟาง ถนนฉางอันในยามซื่อ[1] อ้างว่ามีข่าวจากหนานเจียงจะบอกข้า”
[1] ยามซื่อ เวลาตั้งแต่ 9.00 – 11.00 น.