เมื่อกลับมาถึงจวน หลูผิงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จก็ตรงไปที่เรือนชิงฮุยอย่างรีบร้อน เขายืนอยู่ที่ชายคาเรือน เดินวนไปวนมา ลมหายใจซึ่งพ่นออกมาด้วยความร้อนรนเต็มไปด้วยไอหมอก สีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนเดินเข้ามาในลานท่ามกลางบรรดาสาวใช้รายล้อม เขารีบพุ่งเข้าไปกำหมัดคาราวะ
“คุณหนูใหญ่…” ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองชุนเถาแวบหนึ่ง ชุนเถารับรู้รีบส่งร่มให้หลูผิง จากนั้นยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมบรรดาสาวใช้ หลูผิงกางร่มให้ไป๋ชิงเหยียน จนเมื่อทั้งคู่เดินไปถึงต้นแปะก๊วยซึ่งอยู่กลางลานหญ้า เขาจึงหุบร่มลง ไป๋ชิงเหยียนหมุนกายมองไปยังหลูผิง “ลุงผิงกล่าวมาได้เลย”
หลูผิงอึกอักในลำคอ พ่นลมหายใจซึ่งมีแต่ไอหมอกออกมา จากนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น
“คุณหนูใหญ่…คุณหนูใหญ่โปรดลงโทษข้าเถิด!”
นางกระชับมือที่ถือเตาผิงแน่น ฝืนตัวเองให้สงบนิ่ง “ลุงผิง ลุกขึ้นก่อนเถิด”
หลูผิงลุกขึ้นยืน มองไปยังไป๋ชิงเหยียนด้วยความรู้สึกผิด “วันนี้เหลียงอ๋องถูกลอบสังหารตรงหน้าประตูจุ้ยอันฟาง ถูกแทงหลายจุด…บาดเจ็บสาหัส! เดิมทีข้าเตรียมกลับมาก่อนที่จิงจ้าวอิ่นจะปิดเมือง แต่ข้าได้พบกับร่างที่มีเลือดท่วมตัวของสหายเก่า! เมื่อข้าพาเขากลับมาที่จวนถึงได้รู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในมือสังหาร! หลูผิงยินดีรับโทษขอรับ!” หลูผิงกล่าว จากนั้นคุกเข่าลงไปอีกรอบ
ไป๋ชิงเหยียนลูบไปที่เตาผิงซึ่งอยู่ในมือเบาๆ เลือดในกายเดือดพล่านเพียงเพราะคำกล่าวประโยคที่ว่า บาดเจ็บสาหัส หากเหลียงอ๋องเสียชีวิตในครั้งนี้คงสามารถหลีกเลี่ยงปัญหามากมายที่จะเกิดในภายภาคหน้าได้
ใจของนางเต้นรัว โน้มตัวพยุงให้หลูผิงลุกขึ้น “ตอนนี้ลุงผิงเอาคนผู้นั้นไปไว้ที่ใด”
“ห้องเก็บฟืนด้านหลังจวนขอรับ” หลูผิงรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมากที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้จวนเจิ้นกั๋วกง สีหน้าย่ำแย่ “ตอนนี้จิงจ้าวอิ่นสั่งปิดเมืองแล้ว ข้ายิ่งไม่กล้าเสี่ยงส่งเขาตัวออกไปจากจวน หลูผิงประมาทเกินไป คุณหนูใหญ่โปรดลงโทษข้าเถิดขอรับ!”
หลูผิงกล่าวพลางจะคุกเข่าลงไปอีกครั้งแต่ถูกไป๋ชิงเหยียนรั้งไว้เสียก่อน
“ในเมื่อพากลับมาแล้ว ลงโทษไปก็ไร้ประโยชน์ ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี” ดวงตาของไป๋ชิงเหยียนลุ่มลึกเกินหยั่งถึง
ไป๋ชิงเหยียนยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ครู่หนึ่ง กล่าวขึ้น “ลุงผิง พาข้าไปดูเขาหน่อย”
นางอยากรู้ให้แน่ชัดว่าเหตุใดเหลียงอ๋องถึงโดนลอบสังหาร หากเจอหลักฐานที่ส่งผลเสียต่อเหลียงอ๋องจะได้นำมาเป็นเครื่องมือขัดขวางการขึ้นครองบัลลังก์ของเขาได้ อีกอย่างไป๋ชิงเหยียนต้องพบผู้ที่ลอบสังหารเหลียงอ๋องก่อนถึงจะตัดสินใจได้ว่าควรเก็บเขาเอาไว้หรือไม่
ไป๋ชิงเหยียนพาชุนเถามาแค่คนเดียว นางกับหลูผิงเดินฝ่าหิมะไปยังห้องเก็บฟืนที่ลานด้านหลัง ทว่า ภายในห้อง นอกจากคราบเลือดแล้วไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้นทั้งสิ้น
เมื่อเห็นคราบโคลนที่ลากไปตามทาง ไป๋ชิงเหยียนจ้องไปที่กองฟืนขนาดใหญ่ซึ่งสุมวางรวมกัน “ท่านผู้กล้าได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลไป๋แล้ว เหตุใดจึงหลบหน้าไม่ยอมพบเจอข้ากันเล่า”
ชุนเถาใจเต้นรัว พุ่งตัวไปด้านหน้า กางแขนออก กันไป๋ชิงเหยียนให้หลบอยู่ด้านหลัง เตรียมพร้อมเต็มที่
ไป๋ชิงเหยียนแตะไปที่แขนของชุนเถาเบาๆ สื่อให้นางลดแขนลง ชายที่หลบอยู่ทางด้านหลังของกองฟืน เมื่อถูกจับได้ก็ไม่คิดหลบอีกต่อไป ดันกองฟืนตรงหน้าออก
ใบหน้าครึ่งซีกของชายที่นั่งอยู่เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงเรื่อยๆ แต่งกายในชุดสีดำ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายอ่อนแรงแต่รอบกายเขายังคงเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตแผ่ออกมา
สีหน้าของไป๋ชิงเหยียนไม่เปลี่ยนแปลง ทว่ามือกำเตาผิงเอาไว้แน่น
มือสังหารที่หลูผิงช่วยกลับมาผู้นี้คือฉินซ่างจื้อ ที่ปรึกษาข้างกายขององค์รัชทายาทในอนาคต ทว่า ชาติก่อนฉินซ่างจื้อไม่ได้รับความไว้วางใจจากองค์รัชทายาท มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสได้แสดงมันออกมา อยู่อย่างหดหู่ไปตลอดชีวิต!
ฉินซ่างจื้อมองสำรวจไป๋ชิงเหยียน แสยะยิ้มเย็น “คุณหนูใหญ่จะจัดการกับมือลอบสังหารแบบข้าอย่างไรล่ะ จะให้เหลียงอ๋องตบรางวัลให้หรือไม่”
“ฉินซ่างจื้อ!” หลูผิงตำหนิ
นางยกมือขึ้นปรามอารมณ์ขุ่นมัวของหลูผิง “ท่านผู้กล้ารู้ได้อย่างไรกันว่าข้าคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลไป๋”
ฉินซ่างจื้อหัวเราะเสียงต่ำ ปรากฏให้เห็นฟันขาวที่มีแต่คราบเลือด เอนกายด้วยท่าทีสบายๆ “ทำให้หลูผิงเคารพได้ถึงเพียงนี้ ต้องเป็นนายของจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่แล้ว บุตรสาวของจวนเจิ้นกั๋วกงฝึกการสู้รบมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายย่อมแข็งแรง นี่เพิ่งต้นฤดูหนาวของเดือนสิบสอง ใส่เพียงชุดบางๆ ก็กันหนาวได้แล้ว แต่งกายด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหนาชั้นดีเฉกเช่นแม่นาง…เกรงว่าคงมีแต่คุณหนูใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บตอนที่ตามนายท่านกั๋วกงไปรบเมื่อหลายปีก่อนเป็นแน่!”
“ท่านผู้กล้าบอกได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงลอบสังหารเหลียงอ๋อง” ไป๋ชิงเหยียนถาม
“เหลียงอ๋องไม่สมควรตายอย่างนั้นหรือ!” ดวงตาสีเข้มของฉินซ่างจื้อเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ราวกับเปลวไฟที่แผดเผาไปทั่วทั้งทุ่งหญ้า “แสร้งทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ลับหลังเห็นแก่ตัว ละโมบชั่วช้า ฆ่าคนเป็นผักปลา ฆ่าภรรยาและลูกของข้าเพื่อให้ข้ายอมรับใช้มัน แค่กๆ…”
ฉินซ่างจื้อกล่าวถึงตรงนี้ก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่จนกระอักเลือดออกมา เขากุมหน้าอกตัวเองแน่น เงยหน้ามองไปยังไป๋ชิงเหยียน ยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน “น่าเวทนาความจงรักภักดีของตระกูลไป๋ ภักดีต่อแคว้นต้าจิ้นราวกับสุนัขเฝ้าประตู อีกไม่นานก็คงมีจุดจบไม่ต่างจากข้าหรอก!”
“บังอาจนัก!” ชุนเถาโมโห “คุณหนูใหญ่อย่าไปฟังคำกล่าวไร้สาระของเขานะเจ้าคะ ให้องครักษ์หลูผิงส่งตัวเขาให้ทางการเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าพร้อมทำตามที่คุณหนูใหญ่สั่งขอรับ!” แม้ในหลูผิงไม่อยากทำ แต่เขาจะทำให้จวนเจิ้นกั๋วกงเดือดร้อนไม่ได้
เมื่อไป๋ชิงเหยียนได้ยินคำกล่าวของฉินซ่างจื้อ นางตกตะลึงราวกับถูกพายุถาโถมใส่ ที่แท้…ฉินซ่างจื้อคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลไป๋อย่างนั้นหรือ
หวนนึกถึงชาติที่แล้ว ความเห็นของเซียวหรงเหยี่ยน เซ่อเจิ้งหวังแห่งแคว้นหนานเยี่ยนที่มีต่อฉินซ่างจื้อ ท่ามกลางอารมณ์ที่หลากหลาย ในที่สุดไป๋ชิงเหยียนก็ตัดสินใจได้
นางส่งเตาผิงให้ชุนเถา เดินเข้าไปหาฉินซ่างจื้อสองก้าว
“คุณ…คุณหนูใหญ่!” ชุนเถาไม่ไว้ใจ
“ในเมื่อท่านรู้ว่าตระกูลไป๋จงรักภักดี แถมยังคาดการณ์ได้ว่าตระกูลไป๋จะตกที่นั่งลำบาก เช่นนั้นท่านพอจะช่วยชี้แนะข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าจะช่วยตระกูลไป๋ได้เช่นไร”
สีหน้าของไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยความเมตตา ไม่ได้รู้สึกโกรธกับคำกล่าวของฉินซ่างจื้อแต่กลับสงบนิ่งเหมือนยามปกติ ราวกับรู้ในสิ่งที่ฉินซ่างจื้อกล่าวมาก่อนแล้ว
ตระกูลไป๋ช่วยชีวิตฉินซ่างจื้อเอาไว้ การไม่ตอบแทนบุญคุณคนไม่ใช่นิสัยของฉินซ่างจื้อ เขาเม้มปากเล็กน้อย “ดูจากปฏิกิริยาของคุณหนูใหญ่ ท่านคงจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วเช่นกัน ข้าคงไม่ต้องกล่าวให้มากความ! มีเพียงประโยคเดียว…หากต้องการรักษาตระกูลไป๋เอาไว้ จวนเจิ้นกั๋วกงต้องยอมถอย”
“คำกล่าวที่ว่ากองทัพไป๋ไม่เคยพ่ายแพ้ ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยแล้ว เจิ้นกั๋วกงเป็นคนตรงไปตรงมา จงรักภักดี ทำให้ขุนนางในราชสำนักไม่พอใจอยู่มาก ถ้อยคำใส่ร้ายที่ถาโถมเข้ามาอาจกลับดีเป็นชั่ว ทำลายชีวิตคนผู้หนึ่งให้ย่อยยับได้ ฮ่องเต้ไม่อาจไว้ชีวิตเจิ้นกั๋วกงผู้มีคุณงามความดีมากล้นอีกต่อไปแล้ว หากครานี้…เจิ้นกั๋วกงไม่ยอมถอย บุตรชายทั้งสิบเจ็ดคนแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงคงต้องจบชีวิตอยู่ที่หนานเจียง”
แต่ละคำที่ฉินซ่างจื้อกล่าวออกมา ตรงกับบทสรุปในชาติที่แล้วที่คุณชายทั้งสิบคนต้องจบชีวิตลงที่หนานเจียง
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองไปยังฉินซ่างจื้อ หนาวเหน็บไปทั้งร่าง
ฮ่องเต้!
ชาติที่แล้ว ไป๋ชิงเหยียนไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าฮ่องเต้จะไม่ชอบตระกูลไป๋ ตระกูลไป๋จงรักภักดีมาทุกรุ่น ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ดำรงอยู่ในคุณธรรม!
เป็นดังที่ฉินซ่างจื้อกล่าว ตระกูลไป๋จงรักภักดีต่อแคว้นต้าจิ้นราวกับสุนัขเผ้าประตู!
ถ้อยคำใส่ร้ายที่ถาโถมเข้ามาอาจกลับดีเป็นชั่ว ทำลายชีวิตคนผู้หนึ่งให้ย่อยยับได้อย่างนั้นหรือ!
นางกำมือแน่นพริบตาเดียวก็เข้าใจอันใดได้ในทันที
“ขอบพระคุณท่านที่ช่วยชี้แนะเจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนคำนับอีกครั้ง
ชุนเถารีบเข้าไปพยุงไป๋ชิงเหยียน ได้ยินไป๋ชิงเหยียนสั่ง “ลุงผิง ดูแลท่านฉินให้ดี”
หลูผิงรับคำด้วยความซาบซึ้ง “หลูผิงน้อมรับคำสั่งขอรับ!”