ดวงตานิ่งลึกของไป๋ชิงเหยียนจ้องไปยังฉินเต๋อเจาด้วยความกรุ่นโกรธ ขึ้นเสียงสูง
“หากมีคนอยากฟ้องร้องท่านปู่ ท่านพ่อของข้าก็เชิญไปฟ้องกับทางการได้เลย! ลูกสาวตระกูลไป๋มิได้เรียนคุณธรรม แนวทางของสตรี พวกเราเรียนการปกป้องบ้านเมือง…สามารถออกรบเคียงคู่กับกองทัพนับหมื่นได้! เรียนการขี่ม้าเพื่อกำราบศัตรูให้สิ้นซาก ไม่ยอมให้ราษฎรของแคว้นต้าจิ้นได้รับความเดือดร้อนและทุกข์ทรมาน ลูกสาวตระกูลไป๋อย่างพวกข้ามิเคยละอายต่อฟ้าดิน! หากการที่ข้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ชอบอุบายต่ำช้าแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเฉกเช่นในเรือนหลัง แต่ชอบทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาคือความเหิมเกริมละก็ ไป๋ชิงเหยียนมิเพียงแต่เหิมเกริมในวันนี้…วันหน้าข้าจะเหิมเกริมยิ่งกว่านี้อีก!”
“ดี!”
“เปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนั้นหรือ! จวนเจิ้นกั๋วกง…มิว่าบุรุษหรือสตีช่างน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก!”
มีคนพึมพำออมาอย่างอดไม่ได้
ชาวบ้านที่รายล้อมอยู่นึกขึ้นได้ว่าบุตรสาวของจวนเจิ้นกั๋วกงเคยไปออกรบตอนบ้านเมืองประสบภัยเช่นเดียวกัน
นึกถึงเจิ้นกั๋วกงที่พาบุรุษทั้งหมดของตระกูลไปออกรบที่หนานเจียงเพื่อปกป้องแคว้นให้ปลอดภัย
เนื่องจากเจิ้นกั๋วกงไปออกรบได้เกือบปีกว่าแล้ว แต่ชาวบ้านก็ไม่เคยลืมความยิ่งใหญ่ของกองทัพก่อนออกเดินทางไปรบ จวนเจิ้นกั๋วกงมีแต่ความซื่อสัตย์และซื่อตรง บุตรชายตระกูลไป๋อยู่ในชุดนักรบยืนอยู่นิ่งๆ ช่างดูองอาจยิ่งนัก
ชาวบ้านทนดูไม่ได้ต่างก้มหน้าวิพากษ์วิจารณ์
“จวนจงหย่งโหวรังแกจวนเจิ้นกั๋วกงเพราะเห็นว่าตระกูลเขาไม่มีบุรุษอยู่สินะ!”
“ช่างน่าไม่อายจริงๆ พวกเขาได้ใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองหลวงก็เพราะหยาดเลือดหยาดเหงื่อของของคนตระกูลไป๋ทั้งนั้น ยังกล้ามารังแกคุณหนูแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงอีก!”
“หาว่าคุณหนูตระกูลไป๋ไม่เรียนคุณธรรม แนวทางของสตรี เอาแต่จับดาบ แต่สตรีที่ร่ำเรียนคุณธรรมพวกนั้นมีผู้ใดออกรบได้บ้าง จงหย่งโหวมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงจงหย่ง…แต่ไม่เคยเห็นไปออกรบเลย สู้คุณหนูตระกูลไป๋ก็มิได้ ยังมีหน้าไปกล่าวเช่นนั้นออกมาอีก!”
ฉินเต๋อเจากัดฟันแน่น โมโหจนหน้าเขียว มือที่ไขว้อยู่ด้านหลังกำแหวนที่ใส่อยู่ในนิ้วหัวแม่มือแน่น “คุณหนูใหญ่วาจาเก่งกล้านัก!”
“มิสู้ว่าจาปลิ้นปล้อน กลับดำเป็นขาวของฮูหยินโหวหรอกเจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนไม่เกรงกลัวบารมีของฉินเต๋อเจาแม้แต่น้อย ความโกรธเด่นชัดบนใบหน้า
ฉินหล่างไม่กล้าดูต่อไปอีก เดินฝ่าฝูงชนเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มทำความเคารพจงหย่งโหวและฮูหยินโหว ไม่กล้ามองไปทางไป๋ชิงเหยียน หลุบตาลงคาราวะฮูหยินสองหลิวซื่อ
“ท่านแม่ยาย” ไป๋ชิงเหยียนมองไปที่ฉินหล่างไม่วางตา
หลิวซื่อที่ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังฉินหล่างเขม็ง โกรธเคืองจนอยากเข้าไปตบเขาสักฉาด
“เดิมทีข้าได้ยินมาว่าฉินซื่อจื่อเป็นบุรุษที่ดี ยากจะหาได้ในเมืองหลวง นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะใจดำถึงเพียงนี้ เจ้าสาวที่เพิ่งแต่งเข้าจวนถูกน้องสาวของท่านทำร้ายจนนอนสลบไม่ฟื้นอยู่บนเตียง แต่ท่านกลับไปร้องเล่นต่อกลอนที่หอฝานซิงอย่างสนุกสนาน! ท่านยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า!” ฮูหยินสองกุมหน้าอกแน่น ร้องไห้โฮออกมา
“สลบไม่ฟื้น?!” ฉินหล่างตะลึง หันไปมองฮูหยินโหวเจี่ยงซื่อ “แต่ท่านแม่บอกกับข้าว่า…”
“ท่านโหว!” เจี่ยงซื่อร้อนรนรีบเอ่ยขัดฉินหล่าง “ข้าเป็นคนให้ซื่อจื่อไปร่วมงานชุมนุมบทกวีเองเจ้าค่ะ ต่อให้ในเรือนจะวุ่นวายแค่ไหนแต่ก็มิอาจขวางการไปงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อความก้าวหน้าของบุรุษได้นะเจ้าคะ ข้าไม่ดีเอง…ข้าไม่รู้ว่าจิ่นซิ่วจะป่วยหนักขนาดนี้! พอจิ่นซิ่วได้รับบาดเจ็บข้าก็รีบให้คนไปเชิญหมอหลวงมาเลยนะเจ้าคะ หมอหลวงบอกว่าพักผ่อนไม่กี่วันก็หาย! แต่หมอบ้านนอกที่ฮูหยินสองพามาในวันนี้กลับบอกว่าจิ่นซิ่วป่วยหนัก ข้าไม่รู้ว่าควรเชื่อผู้ใดดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินโหวไม่มีทางปล่อยให้ฉินหล่างเอ่ยสิ่งที่นางกุขึ้นเพื่อหลอกเขาออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้หรอก นางแสร้งทำตัวหน้าสงสาร
คุณหนูสามไป๋จิ่นถงที่ยืนอยู่ข้างรถม้า แววตาเยือกเย็น “หมอบ้านนอก? ข้าเพิ่งเคยได้ยินคนด่าว่าศิษย์พี่ของหมอหลวงหวงแห่งสำนักหมอหลวง…เป็นหมอบ้านนอกครั้งแรก!”
ฉินหล่างเม้มปากสนิทมือที่อยู่ข้างกายกำแน่น สีหน้าย่ำแย่ลงกว่าเดิม
เขาไม่อาจกล่าวออกมาต่อหน้าชาวบ้านมากมายได้ว่า เจี่ยงซื่อไม่ให้เขาไปดูอาการของไป๋จิ่นซิ่วโดยอ้างว่าหากบุรุษเห็นเลือดของสตรีจะไม่เป็นมงคล เจี่ยงซื่อบอกกับเขาว่าไป๋จิ่นซิ่วสบายดีนางกลัวว่าไป๋จิ่นซิ่วโดนความเย็นจนอาจกลายเป็นโรคเรื้อรังในภายหลังจึงให้นางนอนพักอยู่บนเตียง แล้วให้หลานชายทางตระกูลแม่ของนางฝืนบังคับเขาไปร่วมงานชุมนุมบทกวีที่หอฝานซิง
ไป๋ชิงเหยียนยิ้มเย็น “ฮูหยินโหวหมายความว่าน้องรองของข้าอกตัญญูเพราะไม่ยอมฟื้นขึ้นมาจนทำให้ท่านอาสะใภ้รองของข้าเสียใจเช่นนั้นหรือ! ไม่ทราบว่าฮูหยินเชิญหมอหลวงท่านใดมาดูอาการของน้องรอง ข้าจะให้แม่นมเจี่ยงนำบัตรเชิญของท่านย่าไปเชิญหมอผู้นั้นมาพร้อมกับหมอหลวงหวงด้วย ให้ท่านหมอทั้งสามร่วมวินิจฉัยอาการของน้องรองดีหรือไม่เจ้าคะ!”
ฮูหยินโหวหน้าซีดเผือด นางนึกไม่ถึงเลยว่าหมอหงผู้โด่งดังแท้จริงแล้วอาศัยอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วงตลอดมา ยิ่งคาดไม่ถึงว่าผู้ที่มาตรวจอาการของไป๋จิ่นซิ่วในวันนี้คือหมอหง
“ฮูหยินโหว…ท่านบอกมาสิว่าเชิญหมอหลวงท่านใดมา!” คุณหนูสามไป๋จิ่นถงเค้นถาม
ฉินหล่างหลับตาลง สะบัดชายเสื้อออก คุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินสองหลิวซื่อ ก้มศีรษะแนบพื้นอย่างแรง
“ท่านแม่ยาย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองขอรับ!”
“ข้อมิอาจเอื้อมเป็นแม่ยายของท่านหรอก ท่านเคารพข้าที่ไหนกัน ท่านอยากให้ลูกสาวข้าตายไปโดยเร็วเสียมากกว่า!” ฮูหยินสองเข้าไปนั่งในรถม้า กล่าวพลางสะอื้น “กลับจวน!”
ไป๋ชิงเหยียนก้าวขึ้นรถม้าโดยมีชุนเถาคอยประคอง เหลือบมองฉินหล่างที่ยังคุกเข่าอยู่ ชาติที่แล้วไป๋ชิงเหยียนไม่รู้มาก่อนเลยว่าฉินหล่าง ซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหวจะอ่อนแอถึงเพียงนี้ ขนาดภรรยาของตัวเองยังปกป้องไม่ได้
เฉินชิ่งเซิงที่ต่งซื่อส่งมาคุ้มครองไป๋ชิงเหยียนนำเก้าอี้มาวางไว้ที่ปลายเท้าของไป๋ชิงเหยียนด้วยท่าทีนิ่งๆ โค้งกายคำนับด้วยความเคารพอยู่ด้างข้าง กล่าวเตือนเบาๆ “คุณหนูใหญ่ระวังเท้านะขอรับ”
เฉินชิ่งเซิงเป็นหลานชายของแม่นมของต่งซื่อ ญาติผู้พี่ของชุนเถา คนผู้นี้ความสามารถอื่นไม่เท่าไรแต่เขากลับคบค้าสมาคมกับบุคคลมากมายหลายแขนงในเมืองหลวง และที่สำคัญเขาภักดีต่อต่งซื่อมาก
ชาวบ้านที่อยากมีส่วนร่วมเดินตามรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วกงมาจนถึงหน้าจวน
ต่งซื่อรู้ข่าวมาก่อนแล้วจึงนำบรรดาสาวใช้ออกมารอรับไป๋จิ่นซิ่วซึ่งยังสลบไม่ได้สติ
ไป๋ชิงเหยียนอาศัยจังหวะที่ทุกคนช่วยกันแบกไป๋จิ่นซิ่วเข้าไปในจวนเรียกเฉินชิ่งเซิงให้หลบฉากออกมา สั่งการสองสามคำ เฉิงชิ่งเซิงพยักหน้ารับโดยเร็ว จากนั้นหายตัวไปท่ามกลางผู้คนมากมาย
ข่าวเรื่องที่คุณหนูรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลบไม่ได้สติในวันที่ต้องกลับมาเยี่ยมบ้านจนคนในตระกูลนำรถม้าขององค์หญิงใหญ่ไปรับตัวนางกลับมาดูแลที่จวนแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก ไม่ถึงชั่วยามเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนกล่าวถึงมากที่สุดในเมืองหลวง
สิ่งที่ผู้คนกล่าวถึงอย่างสนุกสนานที่สุดก็คือการที่จงหย่งโหวต่อว่าคุณหนูตระกูลไป๋ไม่เรียนรู้คุณธรรมแนวทางสตรีแล้วถูกคุณหนูใหญ่ไป๋ตอกกลับจนเป็นใบ้
หอสุรา บนถนน แม้กระทั่งตามตรอกซอยต่างๆ ล้วนวิจารณ์ถึงเรื่องนี้
“คุณหนูใหญ่ไป๋ คุณหนูรองและคุณหนูสามล้วนเคยติดตามเจิ้นกั๋วกงไปออกรบด้วยกันทั้งนั้น เป็นสตรีแล้วมันอย่างด! ผู้ใดบอกว่าสตรีทำได้เพียงดูแลสามี ดูแลลูกอยู่แต่ในเรือนกัน สตรีก็สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกันนะ!”
“ออกรบเคียงคู่กองทัพนับหมื่น ขี่ม้าฆ่าฟันศัตรูโดยไม่ยอมให้ชาวบ้านต้องลำบาก บ้านเมืองถูกดูแคลน ทั่วทั้งแคว้นต้าจิ้น…คงมีแต่จวนเจิ้นกั๋วกงผู้ภักดีที่อบรมเลี้ยงดูสตรีเก่งกล้าเช่นนี้ออกมาได้! ส่วนจงหย่งโหว…หึ ทำได้แค่รังแกสตรีจวนเจิ้นกั๋วกงในตอนที่ไม่มีบุรุษอยู่เพียงเท่านั้น ยังกล้าเรียกตัวเองว่าจงหย่ง เรียกตัวเองว่าผู้ชายอีกหรือ!”