“ตระกูลไป๋ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนเก่งกล้าสามารถ อาจหาญด้วยกันทั้งนั้น”
แม้บางทีอาจมีชายเมาสุราบางคนกล่าวต่อว่าคุณหนูตระกูลไป๋ว่าไร้ความเป็นกุลสตรี ควรดูแลสามีและบุตรอยู่แต่ในเรือน หากก็โดนเสียงสรรเสริญเยินยอต่อจวนเจิ้นกั๋วกงกลบไปจนหมดสิ้น
จวนเจิ้นกั๋วกง
คุณหนูรองแต่งงานได้สามวันก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดจนถูกหามกลับมาที่จวน บัดนี้ทุกคนในจวนต่างเคร่งเครียดราวกับคันธนูที่ถูกง้างไว้จนสุด
บ่าวรับใช้ต่างปฏิบัติตัวอย่างมีระเบียบ เดินเข้าออกจวนด้วยความเรียบร้อย ไม่กล้าเอ่ยกล่าววาจาใดทั้งสิ้น
ฮูหยินสองหลิวซื่อเฝ้าดูแลไป๋จิ่นซิ่วอยู่ข้างเตียง กุมปลายนิ้วเย็นเฉียบของบุตรสาวเอาไว้ น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย เอ่ยเรียกชื่อบุตรสาวอย่างแผ่วเบา
หมอหลวงหวงแห่งสำนักหมอหลวงและหมอหงผู้เป็นศิษย์พี่กำลังหารือเรื่องการรักษาไป๋จิ่นซิ่วอยู่ที่ด้านนอก
องค์หญิงใหญ่และบรรดาฮูหยินของจวนสีหน้าเคร่งเครียด นั่งอยู่ในห้องของไป๋จิ่นซิ่วรอฟังผลสรุปของท่านหมอทั้งสอง
คุณหนูสามไป๋จิ่นถงมองไปที่ใบหน้าซีดเผือดของไป๋จิ่นซิ่วที่นอนอยู่บนเตียง รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศเคร่งเครียดภายในห้องจึงแหวกม่านเดินออกไปสูดอากาศด้านนอก หญิงสาวมองเห็นเฉินชิ่งเซิงญาติผู้พี่ของชุนเถาโค้งกายอย่างนอบน้อม พูดคุยกับไป๋ชิงเหยียนซึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินด้วยเสียงแผ่วเบา
เฉินชิ่งเซิงเหลือบเห็นคนเดินออกมาจากในห้องจึงรีบหยุดวาจาทันที ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้างของไป๋ชิงเหยียนพร้อมทำความเคารพไป๋จิ่นถง “คาราวะคุณหนูสาม!”
“เจ้าไปได้แล้ว!” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยกับเฉินชิ่งเซิง
ไป๋จิ่นถงมองตามแผ่นหลังของเฉินชิ่งเซิงที่เดินจากไปอย่างรวดเร็วหลังจากทำความเคารพเสร็จ นางเดินเข้าไปหาไป๋ชิงเหยียน เอ่ยถามเสียงเบา “นั่นมันญาติผู้พี่ของชุนเถามิใช่หรือเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่มีงานให้เขาทำหรือเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนกระชับเสื้อคลุมขนจิ้งจอก เดินไปตามทางเดินพร้อมกับไป๋จิ่นถง นางวางแผนให้เฉินชิ่งเซิงผู้นี้คอยติดตามรับใช้ไป๋จิ่นถง
หญิงสาวกล่าวอย่างนุ่มนวล “เฉินชิ่งเซิงผู้นี้เก่งเรื่องการคบค้าสมาคม ในเมืองหลวง…ผู้คนทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นสหายจากโรงน้ำชาหรือโรงสุรา ผู้ดูแลกิจการ กระทั่งพ่อบ้านและบ่าวรับใช้ของตระกูลขุนนางต่างๆ ขอแค่เขาต้องการล้วนผูกมิตรได้ทั้งสิ้น เขาสืบหาข่าวได้ทุกเรื่อง หลังจากวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง เจ้าต้องออกไปเผชิญโลกกว้างหากมีเขาติดตามไปด้วยจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้ามาก”
“พี่หญิงใหญ่…” ไป๋จิ่นถงลำคอตีบตัน นึกถึงคำพูดของพี่หญิงใหญ่ในวันนั้นที่บอกกับนางอย่างกระจ่างแจ้ง วิเคราะห์สถานการณ์ของตระกูลไป๋ให้ฟังโดยละเอียด จู่ๆ นางก็รับรู้ถึงภาระที่หนักอึ้ง
เมื่อครู่ ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้เฉินชิ่งเซิงกระจ่ายข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนจงหย่งโหวในวันนี้ไปตามโรงน้ำชาต่างๆ เพื่อผลักดันชื่อเสียงเรื่องความซื่อสัตย์ ซื่อตรงของจวนเจิ้นกั๋วกงให้มีมากขึ้นไปอีก
นี่คือบททดสอบที่นางมีต่อเฉินชิ่งเซิง หากเขาทำได้ดี นางถึงจะกล้าส่งเขาไปคอยติดตามไป๋จิ่นถง นึกไม่ถึงเลยว่าเฉินชิ่งเซิงจะทำได้ดีกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก
คนของจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ต้องออกหน้าเลยแม้แต่ผู้เดียว อาศัยแค่เส้นสายที่เขารู้จักก็กระจายเรื่องนี้ไปได้กว้างแล้ว ขนาดตัวชายหนุ่มเองยังไม่โดนลากเข้าไปเอี่ยวเลยด้วยซ้ำ ฝีมือเก่งกาจนัก
หญิงสาวกำลังพูดคุยกับไป๋จิ่นถงก็เห็นหญิงชราซึ่งมีหน้าที่เฝ้าประตูจวนเดินเข้ามาในเรือนชิงจู๋อย่างรีบร้อน เร่งฝีเท้าเข้าไปหาสาวใช้ที่เฝ้าประตูเรือนอยู่ กล่าวขึ้น “ช่วยไปเรียนเจี่ยงหมัวมัวหน่อยว่าซื่อจื่อแห่งจวนจงหย่งโหวกำลังสำนึกผิดอยู่ที่หน้าจวน ท่านกล่าวว่ามารับโทษ ท่านไม่ยอมเข้ามาในจวน คุกเข่าอยู่ที่นอกจวน หลานชายคนเล็กของมหาเสนาบดีฝ่ายขวากับบรรดาคุณชายคนอื่นๆ ก็ตามมาด้วยเช่นกัน เหมือนว่าจะดื่มเหล้ากันมาด้วย พวกบ่าวไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี”
ไป๋จิ่นถงประหลาดใจเป็นอย่างมาก มองไปทางไป๋ชิงเหยียนซึ่งมีท่าทีสงบนิ่ง
โดยปกติแล้ว ต่อให้สามีภรรยาจะทะเลาะกันหนักหนาสาหัสเพียงใด ฝ่ายชายขอขมาบรรดาผู้ใหญ่อย่างนอบน้อมก็เพียงพอแล้ว คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลใดจะมาสำนึกผิดถึงหน้าจวนภรรยาเช่นนี้กัน นี่เท่ากับเป็นการป่าวประกาศเรื่องในจวนของตนให้ผู้อื่นรับรู้กันทั่ว
แต่เมื่อคิดให้ดีไป๋จิ่นถงก็เข้าใจ เรื่องในวันนี้ลุกลามใหญ่โต หากจวนจงหย่งโหวไม่แสดงความจริงใจออกมาเกรงว่าเรื่องคงไม่จบง่ายๆ
ทว่า เมื่อไป๋จิ่นถงนึกถึงไป๋จิ่นซิ่วที่ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียงก็โมโหจนตาแดงก่ำ หญิงสาวกัดฟันกรอด “พี่รองนอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง เขายังกล้าไปดื่มเหล้า! พอดื่มเสร็จจะมาสำนึกผิดขอให้ยกโทษให้ มันง่ายเกินไปแล้ว”
ไป๋ชิงเหยียนไม่กล่าวอันใดออกมา ฉินหล่างมาที่นี่ได้แสดงว่าเขายังพอมีทางแก้
ครู่หนึ่ง เจี่ยงหมัวมัวเดินออกมาจากห้อง ตามหญิงชราเฝ้าประตูผู้นั้นไปด้านนอก
ไป๋ชิงเหยียนรู้ได้ทันทีว่า…ท่านย่ากับท่านป้าสะใภ้รองของนางตกลงกันเรียบร้อยแล้วจึงอนุญาตให้เจี่ยงหมัวมัวไปเชิญฉินหล่างเข้ามาในจวน
อย่างไรเสียจวนจงหย่งโหวเป็นฝ่ายโอนอ่อนให้แล้ว บรรดาคนสูงศักดิ์ในแต่ละตระกูลก็ยังมิมีผู้ใดเคยหย่าร้างมาก่อน ผู้ใหญ่นึกถึงอนาคตของน้องรองจึงไม่ปล่อยให้ฉินหล่างคุกเข่าอยู่หน้าจวนเช่นนั้น
“ท่านป้าสะใภ้สอง! ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือเจ้าคะ พี่รองของข้าเจ็บหนักจนต้องนอนอยู่บนเตียงเช่นนี้ เหตุใดจึงยอมให้เขาเข้ามาในจวนเจิ้นกั๋วกงของเราเล่าเจ้าคะ!” เสียงเกรี้ยวกราดของคุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อดังลอดออกมาจากในห้อง “ข้าว่าควรให้ข้าออกไปฟาดแส้ไล่พวกนั้นกลับไปให้หมดเสียดีกว่า เหตุใดต้องเชิญเข้ามาด้วยเจ้าคะ”
“จะทำเช่นไรได้ พี่รองของเจ้าเป็นสะใภ้ของตระกูลฉินแล้ว มิมีคนสูงศักดิ์ตระกูลใดเคยมีคดีหย่าร้างมาก่อน เจ้าจะให้พี่รองของเจ้าอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตหรืออย่างไร” ฮูหยินสองหลิวซื่อเต็มไปด้วยโทสะ กล้ำกลืนฝืนทนเช่นเดียวกัน “จิ่นซิ่วผู้น่าสงสารของแม่ ตอนนั้นแม่ไม่ควรตกปากรับคำให้เจ้าแต่งเข้าจวนจงหย่งโหวเลย! แม่สามี น้องสามีรวมถึงสามีแบบนั้น! ต่อไปภายหน้า…เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรกัน!”
ไป๋ชิงเหยียนหลุบสายตาลงลูบไปที่เตาอุ่นมือในมืออย่างแผ่วเบา ซ่อนดวงตาที่เริ่มแดงระเรื่อเอาไว้ นางโชคดีได้กลับมาเกิดใหม่ นางจะไม่มีวันยอมให้ไป๋จิ่นซิ่วใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต ไป๋จิ่นซิ่วเป็นน้องสาวที่ไป๋ชิงเหยียนจะปกป้องไว้ด้วยชีวิตของตน ไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมารังแกเด็ดขาด!
“ข้าจะออกไปหวดแส้ไล่พวกนั้นให้กลับไปให้หมด!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของไป๋จิ่นจื้อดังราวกับจะถล่มเรือนชิงจู๋ให้ย่อยยับ
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นก็เห็นน้องสาวพุ่งออกมาจากห้องอย่างฉุนเฉียว
ฮูหยินสามหลี่ซื่อกลัวบุตรสาวจะก่อปัญหาจึงรีบตามออกมา แต่ก็รั้งไป๋จิ่นจื้อไว้ไม่อยู่ โมโหจนเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าในมือทิ้ง สั่งให้บ่าวรับใช้ซึ่งรับผิดชอบงานหนักในเรือนรีบไปตามจับตัวไป๋จิ่นจื้อกลับมา
ทว่า ไป๋จิ่นจื้อมีฝีมือโดดเด่นเรื่องการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ต่อให้มีบ่าวรับใช้หลายคนก็ไม่อาจรับมือกับไป๋จิ่นจื้อได้ เกรงว่ายังไม่ทันจะจับคนได้ก็คงถูกแส้ฟาดไปหลายแผลแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนก้าวเข้าไปทำความเคารพฮูหยินสาม “ท่านอาสะใภ้สามมิต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้ากับจิ่นถงจะไปดูน้องสี่เอง จะไม่ให้นางก่อเรื่องแน่นอนเจ้าค่ะ”
“จริงสิ! อาเป่า…ปกติแล้วจิ่นจื้อเชื่อฟังเจ้าที่สุด จิ่นถงเจ้าดูแลพี่หญิงใหญ่ของเจ้าให้ดี รีบไปตามเจ้าเด็กไม่ได้เรื่องนั่นกลับมาให้ป้าที!” ฮูหยินสามกล่าวอย่างร้อนใจ
“ท่านอาสะใภ้สามวางใจเถิดเจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนก้าวลงบันได เดินนำไป๋จิ่นถงไปยังเรือนด้านหน้าอย่างเร่งรีบ
เจี่ยงหมัวมัวมาถึงประตูจวนก็เห็นฉินหล่างคุกเข่าสำนึกผิดอยู่หน้าประตู บรรดาคุณชายเจ้าสำราญในเมืองหลวงที่สนิทสนมกับฉินหล่างต่างก็ติดตามมาด้วย ดูท่าแล้วเหมือนมาเป็นกำลังเสริม
หลู่หยวนเผิงหลานชายคนเล็กของมหาเสนาบดีฝ่ายขวาโค้งกายน้อยๆ ให้เจี่ยงหมัวหมัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจี่ยงหมัวมัว พวกข้ามารับผิดเป็นเพื่อนฉินหล่างและก็มาเยี่ยมคุณหนูรองด้วย มิทราบว่าอาการของคุณหนูรองเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”