ซือหม่าผิง บุตรชายของผู้ช่วยผู้ตรวจการราชสำนัก เห็นท่าทีเสียมารยาทเพราะดื่มเหล้ามากเกินไปของหลู่หยวนเผิงจึงรีบกระตุกชายเสื้อของสหาย ทำให้หลู่หยวนเผิงซึ่งเดิมทีก็ยืนโงนเงนอยู่แล้วเกือบล้มไปบนพื้น
หม่าซือผิงได้แต่โค้งกายจนสุดเพื่อขออภัยเจี่ยงหมัวมัว
“เจี่ยงหมัวมัวโปรดอภัย วันนี้หยวนเผิงดื่มมากไปหน่อย เจี่ยงหมัวมัวได้โปรดอย่าถือสาเลยนะขอรับ”
เซียวหรงเหยี่ยนในชุดเสื้อคลุมขนหนูสีเทาขนาดใหญ่ยืนนิ่งอยู่หน้ารถม้าซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลนัก ร่างสูงสง่าหยัดกายตรง แม้จะอยู่ในมุมอับแต่ก็บดบังรัศมีของเขาไม่ได้ ช่างเป็นที่สะดุดตายิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าเจี่ยงหมัวมัวบ่าวรับใช้ข้างกายขององค์หญิงใหญ่ออกมาด้วยตัวเอง มุมปากของเซียวหรงเหยี่ยนยกยิ้มขึ้น ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นสงบนิ่ง
ฉินหล่างเองก็มีกลิ่นเหล้าติดอยู่เช่นเดียวกัน แต่เขาไม่ถึงกับเมามากนัก รู้ว่าเจี่ยงหมัวมัวเป็นตัวแทนขององค์หญิงใหญ่จึงก้มศีรษะคำนับ “ฉินหล่างมารับโทษจากองค์หญิงใหญ่และท่านแม่ยายขอรับ!”
“ยังไม่รีบไปประคองซื่อจื่อให้ลุกขึ้นมาอีก!” เจี่ยงหมัวมัวหันไปสั่งบ่าวรับใช้ชายซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
บ่าวใช้ชายโค้งคำนับ เร่งฝีเท้าเดินออกมาจากด้านหลังเจี่ยงหมัวมัว เข้าไปพยุงฉินหล่างให้ลุกขึ้นอย่างนอบน้อม
เจี่ยงหมัวมัวย่อกายเคารพฉินหล่างพลางกล่าว “หิมะยังไม่หยุดตก ซื่อจื่อดื่มเหล้าหนักเช่นนี้อีก บ่าวให้คนไปรายงานที่จวนจงหย่งโหวแล้ว ซื่อจื่อเข้าไปในดื่มน้ำแกงสร่างเมาในจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะ อีกครู่จวนโหวจะส่งคนมารับท่าน เชิญซื่อจื่อเจ้าค่ะ…”
เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้พยุงฉินหล่างที่มาสำนึกผิดเข้าไปในจวนแล้ว เซียวหรงเหยี่ยนหมุนตัวกลับเตรียมก้าวเท้าขึ้นรถม้าแต่โดนหลู่หยวนเผิงที่ฝ่าฝูงชนเข้ามารั้งตัวเอาไว้เสียก่อน
“สหายเซียว ท่านเป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้นมานะ ท่านจะหนีกลับไปแบบนี้ไม่ได้ เราต้องอยู่ดูจนจบสิ…”
กล่าวจบ หลู่หยวนเผิงที่กายฟุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้ารีบลากเซียวหรงเหยี่ยนวิ่งตรงไปยังบันไดของจวนเจิ้นกั๋วกง “นี่…นี่! อย่างเพิ่งปิดประตู อย่าเพิ่งปิด! เจี่ยงหมัวมัว เจี่ยงหมัวมัว!…ข้าอุตส่าห์มาถึงจวนแล้ว อย่างไรก็ควรเข้าไปคาราวะเจ้าของจวนสักหน่อยสิ!”
ซือหม่าผิงและบรรดาคุณชายรีบตะโกนเรียกหลู่หยวนเผิง
“หยวนเผิง!”
“หยวนเผิงเจ้าอย่าลากสหายเซียวเข้าไปเกี่ยวด้วยสิ!”
“หลู่หยวนเผิง…”
หลู่หยวนเผิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ลากเซียวหรงเหยี่ยนเบียดประตูเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างเอาแต่ใจ ไร้มาดคุณชายโดนสิ้นเชียง
หลู่หยวนเผิงฉุดกระชากเซียวหรงเหยี่ยนเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกง เดินเข้าไปได้แค่สองสามก้าวก็เห็นคุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อเดินพุ่งมาจากระเบียงทางเดินที่ประดับไฟสว่างไสวด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด ยกแส้ในมือขึ้นฟาดไปยังฉินหล่าง
หลู่หยวนเผิงตกใจจนแทบสร่างเมาในทันที
“น้องสี่!” ไป๋จิ่นถงฝีมือดี ขณะที่ไป๋จิ่นจื้อสะบัดแส้นางก็รีบเข้าไปยืนบังฉินหล่าง ยึดแส้ที่ฟาดมาเต็มแรงของไป๋จิ่นจื้อจากนั้นตวัดยึดมาถือไว้ในมือของตนเอง สีหน้าเข้มงวด “อย่าเสียมารยาท! ถอยไป!”
เจี่ยงหมัวมัวก็ตกใจเช่นเดียวกัน บีบผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นพลางกดไปที่ทรวงอกซึ่งเต้นรัว สายตาเหลือบเห็นไป๋ชิงเหยียนจึงวางใจ
“พี่สาม! ท่านห้ามข้าด้วยเหตุใด” ไป๋จิ่นจื้อตาแดงก่ำ ชี้ไปที่ฉินหล่าง “พี่รองนอนสลบไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง เขายังมีหน้าไปงานชุมนมบทกวี แถมยังดื่มเหล้าอีก! จงหย่งโหวเต็มไปด้วยคนใจอำมหิต เขาก็ไม่มีหัวใจเช่นเดียวกัน!”
ฉินหล่างรู้สึกละอายใจมาก กำหมัดแน่น “คุณหนูสามมิต้องห้ามหรอกขอรับ ข้าสมควรโดนแส้ของคุณหนูสี่ฟาดจริงๆ”
ท่ามกลางหิมะที่โปรยลงมา เซียวหรงเหยี่ยนบังเอิญเหลือบไปเห็นร่างร่างหนึ่งเดินเยื้องย่างเข้ามาจากระเบียงทางเดินด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ไป่ชิงเหยียนสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน แสงไฟสีแดงส่องกระทบไปยังหิมะ สะท้อนใบหน้าบริสุทธิ์งดงามของไป๋ชิงเหยียน ดวงตาของนางสงบนิ่ง ร่างทั้งร่างของนางสงบนิ่งราวกับรูปวาด เหมือนเป็นคนละคนกับบุตรสาวคนโตแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงที่ยืนกดดันคนอย่างน่าเกรงขามอยู่หน้าจวนจงหย่งโหวในวันนี้เลย
“ไป๋จิ่นจื้อ ถอยมา”
ไป๋จิ่นจื้อหันไปมองไป๋ชิงเหยียนทันทีที่ได้ยิน น้ำตาคลอจ้องไปทางฉินหล่างแวบหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวกลับไปยืนอยู่ข้างๆ ไป๋ชิงเหยียนอย่างไม่เต็มใจ
ไป๋ชิงเหยียนเห็นสภาพของไป๋จิ่นซิ่วนอนอยู่บนเตียงแบบนั้น นางเกลียดจงหย่งโหว เกลียดฉินหล่างเช่นกัน แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ความยากลำบากของฉินหล่าง มีมารดาเลี้ยงอย่างเจี่ยงซื่อคอยกดอยู่ ชายหนุ่มเองก็ลำบากไม่น้อย
ฉินหล่างอาศัยว่าตัวเองเมาถึงกล้ามองไปยังไป๋ชิงเหยียนตรงๆ ไม่รู้เป็นเพราะดื่มเหล้าเข้าไปหรือเปล่าเขาถึงรู้สึกว่าหลังจากที่ไป๋ชิงเหยียนโตเต็มวัย ใบหน้าของนางช่างงดงามจับใจนัก ใจของฉินหล่างว้าวุ่นสับสนมาก กำป้ายหยกที่เอวไว้แน่นด้วยความรู้สึกผิด ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อชายหนุ่มเบนหน้าหนีหลุบสายตาลงไม่กล้ามองไป๋ชิงเหยียน
“นั่น…นั่นคือบุตรสาวคนโตของจวนเจิ้นกั๋วกงหรือ” หลู่หยวนเผิงตะลึง เกล็ดหิมะร่วงลงใส่บนขนตา เขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ
สีหน้าของเซียวหรงเหยี่ยนสงบนิ่งเฉกเช่นปกติ มือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมขนหนูสีเทาลูบไปที่หยกจักจั่นช้าๆ ตอบรับเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ใช่”
ไป๋ชิงเหยียนเพิ่งเดินออกมาจากระเบียงยาว สายตาก็ประสานกับดวงตานิ่งสนิทดุจสายน้ำของเซียวหรงเหยี่ยน หญิงสาวชะงักฝีเท้า ดวงตาลึกล้ำเกินผู้ใดของชายหนุ่มแฝงรอยยิ้มเอาไว้ พยักหน้าให้หญิงสาวน้อยๆ เต็มไปด้วยความอบอุ่นและสุขุม
มือที่ถือเตาผิงของไป๋ชิงเหยียนกระชับแน่นในทันที ใจเต้นรัวอย่างไม่มีเหตุผล ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย
ชาติที่แล้ว ไป๋ชิงเหยียนเผชิญกับศัตรูที่โหดเหี้ยมมามากมายในสนามรบ มีไม่กี่คนที่ทำให้ไป๋ชิงเหยียนจดจำได้และแทบไม่มีผู้ใดทำให้นางต้องคอยหวาดระแวงเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่มีเคยผู้ใดทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวได้มากมายเท่ากับเซียวหรงเหยี่ยนอีกแล้ว
ภายใต้ใบหน้าที่สุขุม สง่างามของเซียวหรงเหยี่ยน คือความทะเยอทะยานที่พร้อมจะกลืนกินทุกแคว้นดั่งเช่นเสือร้าย คร่าชีวิตผู้คนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มยากจะหยั่งลึกจนวันที่ไป๋ชิงเหยียนตายนางก็ยังคาดเดาเขาไม่ออก
เมื่อไป๋ชิงเหยียนเห็นหลู่หยวนเผิงอีกคนก็เดาได้ทันทีว่าเหตุใดเซียวหรงเหยี่ยนถึงมาพร้อมกับฉินหล่างได้ ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลง ข่มความว้าวุ่นในใจรวมถึงเรื่องที่นางสนใจในตัวเซียงหรงเหยี่ยนมากเกินไป ก้าวเดินออกจากระเบียง……
เจี่ยงหมัวมัวหันไปรับร่มจากบ่าวรับใช้แล้วกางออก เดินเข้าไปประคองไป๋ชิงเหยียน
“ฉินซื่อจื่อ” ไป๋ชิงเหยียนเว้นระยะห่างจากฉินหล่างอย่างพอเหมาะ ย่อกายทำความเคารพชายหนุ่ม
“ซื่อจื่อมาสำนึกผิดเช่นนี้ มีวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้วหรือไม่เจ้าคะ”
ฉินหล่างก้มหน้างุด กล่าวอย่างละอาย “ยัง…ยังมิมีขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนจุกที่หน้าอก ในใจเริ่มเดือดดาลขึ้น มิน่าเล่าชาติที่แล้วฉินหล่างถึงปกป้องภรรยาของตัวเองไม่ได้ เอาแต่ขอโทษจะมีประโยชน์อันใดกัน!
ไป๋ชิงเหยียนข่มความโกรธเอาไว้ กล่าวเสียงสูง “หากซื่อจื่อพบท่านย่า ท่านอาสะใภ้รองของข้าก็จะตอบเช่นนี้หรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าข้อถามซื่อจื่อหน่อยว่าวันนี้ท่านมาขอขมาเรื่องใดกัน ขอขมาแทนฮูหยินโหว ขอขมาแทนคุณหนูทั้งสอง หรือขอขมาแทนตัวเองเจ้าคะ”
ลมหนาวพัดผ่านสัมผัสโดนร่างกาย
ดวงตาของฉินหล่างเริ่มแดง เม้มริมฝีปากแน่น ท้ายที่สุดก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ทำเพียงโค้งคำนับไป๋ชิงเหยียน “ฉินหล่างละอายใจยิ่งนัก มิมีคำใดจะแก้ตัวขอรับ”
วันที่ฉินหล่างมารับตัวเจ้าสาวที่ฉวนเจิ้นกั๋วกงชายหนุ่มเดินหมากล้อมที่นางเตรียมเอาไว้ การเดินหมากของเขาไม่ใช่คนขี้ขลาดเอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองสักหน่อย
วิธีเดินหมากเปรียบเหมือนใจคน…ไป๋ชิงเหยียนนึกว่าฉินหล่างเป็นคนทะเยอทะยานและมีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมเสียอีก ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ไป๋ชิงเหยียนกำเตาผิงในมือแน่น ข่มโทสะในใจเอาไว้ กล่าวออกมาอย่างช้าๆ
“ตอนแคว้นต้าจิ้นเริ่มสถาปนาขึ้น ผู้ใดมีความดีความชอบจะได้รับการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ ติ้งกั๋วโหวได้บรรดาศักดิ์ และจะต้องสืบต่อแก่ทายาทคนใดคนหนึ่ง จวนโหวมีบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกอยู่สองคน ติ้งกั๋วโหวรักบุตรชายคนเล็กมากกว่าแต่ก็มิอาจขัดต่อธรรมเนียมของบรรพบุรุษได้ เหตุนี้ทำให้พี่น้องไม่ลงรอยกัน วุ่นวายไปทั้งจวน หลังจากติ้งกั๋วโหวสิ้นใจ บุตรชายคนโตสืบต่อตำแหน่งโหว บุตรชายคนเล็กฆ่าพี่ชายและมารดาด้วยความแค้น กลายเป็นโศกนาฏกรรม”