ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลง สักพักหนึ่งจิตใจจึงสงบลงได้ นางหยิบหมากตัวหนึ่งออกมาจากกล่อง
ชุนเถาไปซื้อตุ๊กตาดินปั้นกับเฉินชิ่งเซิง พูดคุยกับชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งจึงรีบขึ้นไปปรนนิบัติดูแลคุณหนูใหญ่ต่อ
“คุณหนูใหญ่ บ่าวซื้อตุ๊กตาดินปั้นมาเยอะเลยเจ้าค่ะ ซื้อมาเผื่อคุณหนูตัวหนึ่งด้วย! คุณหนูดูสิเจ้าคะ…” ชุนเถาหยิบตุ๊กตาดินปั้นออกมาหนึ่งอัน ย่อกายยืนไปตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน ยิ้มอย่างสดใส “คุณหนูดูแม่ทัพที่ขี่ม้านี่สิเจ้าคะ เหมือนคุณหนูหรือไม่เจ้าคะ สง่างามองอาจมากเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนมองดูตุ๊กตาตัวน้อยที่ควบม้าพลางชูดาบในมือของชุนเถา ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจ สภาพร่างกายของนางในตอนนี้หากต้องการใส่เสื้อเกราะออกรบอีกครั้ง เกรงว่าต้องรออีกหลายปี
เมืองยามค่ำคืน หลังจากที่ไฟจากหอนาฬิกากลางสว่างขึ้น บรรดาพ่อค้าแม่ค้าบนถนนต่างก็จุดไฟให้สว่างตามเมืองหลวงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เมื่อเต็มไปด้วยแสงไฟก็ดูอบอุ่นขึ้นมาในทันที
โรงน้ำชา โรงเหล้าต่างประดับไฟสว่างไสว ผู้คนเดินไปเดินมาบนท้องถนนอย่างครึกครื้น เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครื้นเครง
เมื่อเฉินชิ่งเซิงเห็นรถม้าคันหนึ่งที่มีตราประจำของจวนเจิ้นกั๋วกงสลักอยู่แล่นผ่านประตูเมืองตรงมายังถนน ก็รีบวิ่งกลับไปที่หอหม่านเจียงอย่างรวดเร็ว
เฉินชิ่งเซิงถลกชายชุดวิ่งขึ้นไปชั้นสองอย่างรีบร้อน เข้าไปด้านในรายงานไป๋ชิงเหยียนที่กำลังกินเกี๊ยวน้ำอยู่ “คุณหนูใหญ่ รถม้าเข้าเมืองมาแล้วขอรับ!”
“ข้าทราบแล้ว เจ้าไปเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนรวบรวมสติ ใช้ผ้าเช็ดที่มุมปาก เอ่ยสั่ง “ชุนเถาเปิดหน้าต่างออกให้หมด” ชุนเถารับคำ เปิดหน้าต่างไม้แกะสลักที่กั้นระเบียงอยู่ออกทุกบาน
แม้ชาติที่แล้วนางจะไม่ได้พบหน้าญาติผู้น้องคนนี้ แต่นางได้ยินเรื่องราวมาไม่น้อย ชื่อเสียงที่ตระกูลไป๋สั่งสมมาถูกเขาทำให้เสื่อมเสียจนหมดสิ้น ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยน้ำชาขึ้นกำไว้ในมือแน่น ดวงตาเยือกเย็นคมกริบ
ชาตินี้ ญาติผู้น้องคนนี้ยังไม่ได้ตกอยู่ในกำมือของเหลียงอ๋อง ไม่รู้ว่านิสัยเป็นเช่นไรบ้าง หากเขาเป็นคนดี เช่นนั้น…นางก็จะกล้ำกลืนฝืนใจช่วยชี้แนะเขาไปในทิศทางที่ดีก็แล้วกัน แต่หากสันดานของเขาชั่วช้า นางก็จะใช้โอกาสนี้เหยียบย่ำเขาเพื่อสร้างชื่อเสียงอันดีงามให้แก่ตระกูลไป๋อีกสักหน่อย ถือว่าเขาเสียสละเพื่อตระกูลไป๋ก็แล้วกัน
“คุณหนูใหญ่ เสื้อคลุมเจ้าค่ะ!” ชุนเหยียนหยิบเสื้อคลุมให้ไป๋ชิงเหยียน ชุนเหยียนเปลี่ยนถ่านที่อยู่ในเตาผิงลายดอกเหมยสีเงินโปร่งแสงใหม่อีกรอบจากนั้นยื่นให้ไป๋ชิงเหยียน
ไป๋ชิงเหยียนถือเตาผิงยืนอยู่ตรงระเบียงท่ามกลางโคมไฟสีแดงสว่าง เห็นเฉินชิ่งเซิงยืนคุยกับหลูผิงอยู่ที่ด้านล่าง หญิงสาวมองไปยังรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วกงซึ่งเห็นอยู่ไกลๆ ด้วยแววตาคมกริบ สตรีกลางคนหน้าตาสละสวยซึ่งนั่งอยู่ในรถม้ายื่นมือแหวกม่านออก มองดูเมืองหลวงที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟระรานตาที่นอกหน้าต่าง นางหลงใหลในความเจริญตรงหน้าจนใจเต้นรัว
“ลูกชาย ในที่สุด…พวกเราก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว!” สตรีวัยกลางคนหันไปมองเด็กหนุ่มที่นอนเอามือข้างหนึ่งยันศีรษะ ในปากคาบฟางข้าวเส้นหนึ่งเอาไว้ “ขอแค่ได้เข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกง ชื่อของเจ้าถูกบันทึกในนามของฮูหยินสอง ต่อไปเจ้าก็คือคุณชายแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว! ว่ากันว่าคุณชายทั้งสิบเจ็ดคนของจวนเจิ้นกั๋วกงเก่งกาจมาก ต่อไปก็จะกลายเป็นคุณชายทั้งสิบแปดแล้ว!”
ไป๋ชิงเสวียนดึงฟางข้าวในปากออก มือหนึ่งยันกายลุกขึ้น หรี่ตาลงเล็กน้อย
“ข้าไม่อยากไปออกรบ เป็นคุณชายทั้งสิบแปดอันใดนั่นหรอก! ข้าชอบสาวงาม แม่ว่าสาวใช้ของจวนเจิ้นกั๋วกงจะงดงามทุกคนหรือไม่”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะพ่อทูนหัว!” สตรีวัยกลางคนรีบปิดม่านลง จ้องไปที่ไป๋ชิงเสวียน สีหน้าขาวซีดพลางกล่าว “เมื่อเข้าไปอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกง เจ้าจงเก็บนิสัยเสียพวกนี้ของเจ้าไปซะ! จวนเจิ้นกั๋วกงไม่เหมือนกับจวนที่พวกเราเคยอยู่ พวกลูกสาวชาวบ้านที่ถูกเจ้าทรมานจนตายพวกเรายังพอยัดเงินเพื่อจบเรื่องได้ แต่หากองค์หญิงใหญ่ซึ่งเป็นท่านย่าของเจ้าและท่านกั๋วกงรู้เข้า เจ้าโดนตีขาหักแน่!”
เมื่อไป๋ชิงเสวียนได้ยินจึงคาบฟางข้าว ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง สองมือรองอยู่ที่ศีรษะ สองขายกขึ้นไขว่ห้าง “เช่นนั้นจวนเจิ้นกั๋วกงมีอันใดกัน มิสู้กลับไปอยู่จวนตัวเองยังสบายเสียกว่า”
“เจ้าช่วยจริงจังหน่อยได้หรือไม่…”
สตรีวัยกลางคนยังไม่ทันกล่าวจบ จู่ๆ รถม้าก็หยุดลงกะทันหัน นางคนเซล้มลงในรถม้าจนศีรษะกระแทกไปหนึ่งที เจ็บจนร้องออกมา
ไป๋ชิงเสวียนที่ล้มกระแทกจนเจ็บบ้วนฟางข้าวออกมา ถีบไปที่รถม้าด้านในอย่างแรง ดวงตาอำมหิต เด็กหนุ่มไม่สนใจมารดาของตัวเอง ผลักประตูไม้แกะสลักของรถม้าออก กระชากผมของคนบังคับม้า จับศีรษะของเขากระแทกกับเสาอย่างแรง แววตาเคียดแค้น น้ำเสียงโหดร้ายตะคอกออกมาอย่างโมโห “สุนัขโง่ไม่มีตาอย่างแกบังคับม้าอย่างไรกัน จงใจจะฆ่าข้าให้ตายหรืออย่างไร!”
ศีรษะของคนบังคับรถม้ามีเลือดออกในทันที ยิ่งเห็นสีหน้ากินเลือดกินเนื้อของไป๋ชิงเสวียน คนบังคับรถม้าก็รีบถลาลงจากรถม้า คุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้นร้องขอชีวิต “คุณชายโปรดไว้ชีวิตด้วยขอรับ! โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วย! มิใช่บ่าวไม่ดูทางนะขอรับ แต่ว่า…จู่ๆ เด็กนั่นก็โผล่ออกมา บ่าวกลัวว่าจะชนคนขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่บนชั้นสอง กำเตาผิงที่ถืออยู่ในมือแน่นจนมือขาวซีด เดือดดาลอย่างที่สุด ท่านอารอง…เหตุใดถึงได้มีบุตรชายชั่วช้าเช่นนี้
ต่อให้สันดานจะเลวร้าย ต่อให้ชาติที่แล้วจะรู้การกระทำของไป๋ชิงเสวียนแล้ว แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าไป๋ชิงเสวียนจะอำมหิตโหดร้ายตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้
จู๋ๆ ไป๋ชิงเหยียนก็รู้สึกว่าการรับคนเช่นนี้กลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ วันที่นางเกิดใหม่กลับมา นางควรสั่งให้เสิ่นชิงจู๋ฆ่าเขาทิ้งเสียจะได้ไม่เกิดเรื่องวุ่นวายตามมา
รังสีสังหารของไป๋ชิงเหยียนแผ่ออกมาด้านนอก แม้แต่ชุนเถายังตกใจ “คุณหนูใหญ่?”
“ลงไปข้างล่างเถิด…” ไป๋ชิงเหยียนจ้องเขม็งไปที่ไป๋ชิงเสวียนครู่หนึ่ง จากนั้นหมุนกายเดินออกไป
ไป๋ชิงเสวียนที่ล้มคุกคลานอยู่บนรถม้ามองดูเด็กน้อยที่ตกใจจนร้องให้อยู่ในอ้อมกอดของหญิงชราอยู่ด้านหน้ารถม้า คนบังคับม้ากุมศีรษะที่เลือดยังไหลไม่หยุด รีบคลานหลีกทางให้ กลัวว่าจะโดนลูกหลงอีกรอบ
ไป๋ชิงเสวียนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงชราและเด็กน้อย ก้มมองดูพวกเขา มุมปากยกยิ้มอย่างโหดร้าย
“หลานข้า…แค่กๆ หลานข้าจะเก็บยาให้ข้า แค่กๆ กลัวว่าล้อรถจะทับห่อยาแตกละเอียดจนใช้ไม่ได้ จึงล่วงเกินคุณชายไป! คุณชายได้โปรดอภัยด้วยเถิดเจ้าค่ะ…”
หญิงชราที่ป่วยออดแอดกล่าวจบก็อุ้มหลานชายเตรียมจากไป ใครจะคิดว่าพอลุกขึ้นกลับโดนไป๋ชิงเสวียนถีบจนล้มพับไปอีกครั้ง เด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขนของหญิงชรากลิ้งกระเด็นออกมา หญิงชราหวาดกลัวจนร้องเรียกชื่อเล่นของเด็กชายออกมาอย่างลืมตัว ยังไม่ทันจะลุกขึ้นก็โดนไป๋ชิงเสวียนเหยียบไปบนแผ่นหลังกดให้แนบอยู่กับพื้น หญิงชราทนไม่ไหวจึงกระอักเลือดออกมา ไออย่างรุนแรง
เด็กน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นโคลนกอดห่อยาแน่น ร้องไห้ออกมาอย่างตกใจ “ย่า! ย่า!”
ไป๋ชิงเสวียนทุ่มแรงทั้งหมดไปที่เท้าข้างขวาซึ่งใช้เหยียบหญิงชรา โน้มกายลง กล่าวด้วยสีหน้าอำมหิต
“ข้าต้องเจ็บตัวเปล่าเพราะเก็บยาของเจ้าอย่างนั้นหรือ ผู้ใดมอบความกล้านี้ให้แก่เจ้ากัน ข้าเป็นคุณชายแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง หากข้าบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว ชีวิตชาวบ้านต่ำต้อยเช่นเจ้า…ต่อให้มีเก้าชีวิตรวมกันยังชดใช้มิได้เลย!”
ดวงตาของไป๋ชิงเสวียนแดงวาวโรจน์ ชาวบ้านที่ห้อมล้อมดูเรื่องสนุกตกใจจนถอยหลังไปคนละสองสามก้าว ไป๋ชิงเหยียนที่ลงมาด้านล่างได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ของไป๋ชิงเสวียนก็เดือดดาลทันที นางเสียสติไปแล้วจริงๆ ที่คิดจะช่วยชี้นำให้คนเช่นนี้เดินไปในทางที่ถูกต้อง
ไป๋ชิงเหยียนเดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เฉินชิ่งเซิง!”
เฉินชิ่งเซิงพอมีฝีมือในการต่อสู้อยู่บ้าง เมื่อเห็นสีหน้านิ่งสนิทราวสายน้ำของไป๋ชิงเหยียนก็เข้าใจในทันที ชายหนุ่มพุ่งตรงเข้าไป เพียงแค่สามกระบวนท่าก็จับไป๋ชิงเสวียนกดอยู่บนรถม้าได้แล้ว