ตอนแรกที่ชุนเถาได้ยินเสียงกลั้นสะอื้นของไป๋ชิงเหยียนดังออกมาจากในห้องเป็นระยะๆ น้ำตาของนางไหลพรากแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปปลอบ ตอนนี้ได้ยินเสียงหัวเราะชวนขนลุกของไป๋ชิงเหยียนก็ยิ่งร้อนใจดั่งไฟรน ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
ชุนซิ่งได้ยินเสียงจึงรีบแต่งกาย เร่งติดกระดุมให้เรียบร้อยพลางเดินออกมาจากห้องอย่างร้อนรน เอ่ยถามชุนเถา
“คุณหนูใหญ่เป็นอันใดหรือ? เหตุใดท่านจึงยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกมิเข้าไปดูคุณหนูใหญ่ล่ะเจ้าคะ”
ชุนเถารีบปาดน้ำตาออก กุมมือของชุนซิ่งไว้ “เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ ห้ามผู้ใดเข้าไปด้านในทั้งสิ้น ข้าจะไปตามคุณหนูสาม!”
“เจ้าค่ะ” ชุนซิ่งหน้าซีดเผือด พยักหน้ารัว
ชุนเถาวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปที่เรือนของไป๋จิ่นถง เมื่อเข้าไปถึงด้านในชุนเถาคุกเข่าลงหน้าประตู กล่าวทั้งน้ำตา “คุณหนูสาม! คุณหนูสามรีบไปดูคุณหนูใหญ่ของบ่าวทีเจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นถงที่เพิ่งฝึกร่างกายตอนเช้าเสร็จได้ยินเสียงจึงแหวกม่านเดินออกมา “พี่หญิงใหญ่เป็นอันใด”
ดวงตาของชุนเถาบวมช้ำจนน่ากลัว ร้องไห้แทบเป็นสายเลือด “คุณหนูสามได้โปรดไปดูคุณหนูใหญ่หน่อยเถิดเจ้าค่ะ!”
สีหน้าของไป๋จิ่นถงซีดเผือด รีบเร่งฝีเท้าออกจากเรือนทั้งที่ยังไม่ได้สวมเสื้อคลุม
เรือนชิงจู๋ของไป๋จิ่นซิ่วอยู่ใกล้กับเรือนปี้ถงของไป๋จิ่นถง ไป๋จิ่นซิ่วที่ชินกับการตื่นเช้ากำลังนั่งอ่านตำราอยู่ริมหน้าต่างได้ยินเสียงเอะอะเช่นเดียวกัน นางรีบสั่งให้ชิงซูสาวใช้ที่ฮูหยินสองสั่งให้อยู่ดูแลนางออกไปดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เมื่อชิงซูออกมาจากเรือนก็เห็นชุนเถา และสาวใช้ข้างกายของไป๋จิ่นถงเดินตามหลังไป๋จิ่นถงไปยังเรือนชิงฮุยด้วยความรีบร้อน
ชิงซูรีบกลับไปรายงานไป๋จิ่นซิ่วที่เรือน “เรียนคุณหนูรอง บ่าวเห็นชุนเถาสาวใช้ของคุณหนูใหญ่เดินตามหลังคุณหนูสาม เหมือนว่าจะตรงไปยังเรือนของคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
มือที่ถือตำราอยู่ของไป๋จิ่นซิ่วกำแน่นนึกถึงอาการป่วยของไป๋ชิงเหยียน ช่วงหลายวันมานี้ที่ไป๋ชิงเหยียนยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ไป๋จิ่นซิ่วเสียวสันหลังวูบ สะบัดผ้าห่มออก
“ชิงซูแต่งตัวให้ข้า ข้าจะไปหาพี่หญิงใหญ่!”
“คุณหนูรอง ด้านนอกหิมะยังตกอยู่นะเจ้าคะ ศีรษะของคุณหนูยังมีแผลอยู่…”
“มิเป็นไร ข้าดีขึ้นมากแล้ว! นำหมวกใบหนาหน่อยมาให้ข้าก็แล้วกัน!” ไป๋จิ่นซิ่วเป็นห่วงคุณหนูใหญ่จนร้อนใจ ชิงซูไม่กล้าทักท้วงรีบสั่งให้คนเตรียมเสื้อคลุมและหมวกให้พร้อม ส่วนตนประคองไป๋จิ่นซิ่วเดินฝ่าหิมะไปยังเรือนชิงฮุย
ไป๋จิ่นซิ่วเดินไปถึงประตูเรือนชิงฮุยก็เห็นไป๋จิ่นถงยืนอยู่หน้าประตูห้อง นางเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา
“พี่หญิงใหญ่ ข้าจิ่นถงเองเจ้าค่ะ ข้าเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ…”
ไม่ได้รับการตอบรับจากไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นถงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่กล้าเข้าไป ได้แต่หันไปมองชุนเถา
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับพี่หญิงใหญ่กันแน่!”
ชุนเถารู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมากจึงได้แต่เม้มปากส่ายหน้าทั้งน้ำตา
“จิ่นถง พี่หญิงใหญ่เป็นอันใด!” มือของไป๋จิ่นซิ่วที่จับแขนชิงซูอยู่เต็มไปด้วยเหงื่อ รีบเดินไปที่หน้าห้อง “โรคไข้หนาวกำเริบอีกเช่นนั้นหรือ”
“พี่หญิงรอง ท่าน…ท่านมาได้อย่างใดเจ้าคะ” ไป๋จิ่นถงรีบถลาเข้าไปประคองไป๋จิ่นซิ่ว
ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากฉากกั้นในห้อง ชุนเถารีบแหวกม่านออกจึงเห็นไป๋ชิงเหยียนในชุดสีขาวที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือดเกือบทั้งตัวยืนอยู่ระหว่างฉากกั้นสองฉาก
ไป๋จิ่นซิ่วขาอ่อนจนเกือบล้มพับไปบนพื้น “พี่หญิงใหญ่!”
สีหน้าขาวซีดของไป๋ชิงเหยียนนิ่งสงบราวกับสายน้ำ ดวงตาแดงฉาน ผมที่ยุ่งเหยิงถูกจัดเป็นระเบียบแล้ว ทั้งร่างแผ่รัศมีความน่ากลัวออกมา ดุดันราวกับปีศาจจากขุมนรก
“ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นถงเข้ามา คนที่เหลือ…เฝ้าหน้าประตูเรือนชิงฮุยเอาไว้ ห้ามผู้ใดเข้ามาเป็นอันขาด!”
“พี่หญิงใหญ่ร่างของท่าน…”
หญิงสาวเดินนำเข้าไปด้านใน
“ไม่ใช่เลือดของพี่ เข้ามาเถิด”
ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นถงสั่งให้บ่าวถอยออกไปเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเรือน ทั้งสองเดินจับมือกันเข้าไปด้านใน เห็นไป๋ชิงเหยียนยืนหันหลังให้พวกนางอยู่ที่หน้าเตาผิง ไป๋จิ่นซิ่วเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่…”
ไป๋ชิงเหยียนหลับตาที่บวมช้ำลง นางกลับมาเกิดใหม่เพื่อปกป้องญาติของนาง ปกป้องผู้ใหญ่ และบรรดาน้องสาวของนาง ดังนั้น…นางห้ามทรุด ห้ามเสียสติ ห้ามเป็นอันใดไปเด็ดขาด ต่อให้โกรธเพียงใดก็ห้ามผลีผลาม ต้องแก้แค้นคนพวกนั้นให้จงได้
นางมีประสบการณ์จากชาติก่อนมาครั้งหนึ่งแล้ว นางเป็นบุตรสาวของตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกง นางต้องเข้มแข็ง ต้องเห็นคนชั่วพวกนั้นลงไปชดใช้กรรมที่ทำไว้กับบุรุษตระกูลไป๋ในปรโลกกับตาตัวเองให้จงได้!
ไม่นานไป๋ชิงเหยียนจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า
“จิ่นถงปิดประตูให้สนิท พี่มีเรื่องสำคัญจะกล่าว”
ไป๋จิ่นถงปิดประตู จากนั้นเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังไป๋ชิงเหยียนพร้อมกับไป๋จิ่นซิ่ว “พี่หญิงใหญ่”
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองดูม้วนไม้ไผ่ห้าท่อนที่เปื้อนไปด้วยเลือดบนโต๊ะหนังสือ ลมหายใจร้อนเริ่มติดขัด หลับตาลงพลางกล่าวขึ้น
“ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกกับพวกเจ้าเพราะยังไม่ได้รับข่าวที่แน่นอน…”
ไป๋ชิงเหยียนหมุนตัวกลับ มองไปยังไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถงที่สีหน้าเคร่งเครียดเป็นกังวล เอ่ยอย่างอยากลำบาก
“ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุงสอง ท่านลุงสาม ท่านลุงสี่ ท่านลุงห้า รวมทั้งคุณชายทั้งสิบเจ็ดคนของตระกูลไป๋เสียชีวิตลงที่หนานเจียงทั้งหมด”
ไป๋จิ่นซิ่วเบิกตาโพลงแทบเป็นลมหมดสติไปในทันที รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาปวดตุบที่ขมับ เลือดพุ่งพล่านไปทั่วร่างกายราวกับจะระเบิดออกมา
“เป็นไปมิได้ ทั้ง…ทั้งหมด…” ไป๋จิ่นถงน้ำตาไหลพรู กล่าวอย่างสะอึกสะอื้น
“ข่าวของพี่หญิงใหญ่ต้องผิดพลาดแน่เจ้าค่ะ!”
ชาติที่แล้วเมื่อได้รับรู้ข่าว คนตระกูลไป๋ก็ไม่เชื่อเช่นนี้เหมือนกัน
หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ มือวางทาบไปบนม้วนไม้ไผ่ทั้งห้า เส้นเลือดปูดขึ้นบริเวณหลังมือ ความรู้สึกปวดร้าวถาโถมออกมาแต่ถูกนางกล้ำกลืนเอาไว้ นางมีชีวิตมาสองชาติแล้วจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างใดกัน
“นี่คือบันทึกเหตุการณ์ในกองทัพ และสถานการณ์รบของกองทัพไป๋ที่ผู้จดบันทึกเขียนบันทึกเอาไว้”
หญิงสาวหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาสองท่อน
“ฟางเหยียนผู้นำค่ายเหมิงหู่ของกองทัพไป๋ เสิ่นชิงจู๋และองครักษ์อู๋เจ๋อของตระกูลไป๋รักษาม้วนไม้ไผ่ทั้งห้าท่อนนี้ไว้ด้วยชีวิต ตอนนี้เสิ่นชิงจู๋หายตัวไป ฟางเหยียน อู๋เจ๋อเสียชีวิตแล้ว คราบเลือดบนม้วนไม้ไผ่คือเลือดของอู๋เจ๋อ…ของฟางเหยียน รวมทั้งเลือดของกองทัพไป๋อีกนับแสนชีวิต!”
ไป๋ชิงเหยียนยื่นม้วนไม้ไผ่ท่อนหนึ่งใส่มือไป๋จิ่นซิ่ว อีกม้วนยื่นใส่มือไป๋จิ่นถง
มองดูน้องสาวทั้งสองที่สีหน้าเคร่งเครียด น้ำตาคลอ หญิงสาวเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้าจะได้รู้ไว้ว่าบุรุษตระกูลไป๋ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของศัตรูในสนามรบ แต่ตายเพราะความหวาดระแวงของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าจิ้น ตายด้วย…น้ำมือของคนในแคว้นเดียวกัน!”
ไป๋จิ่นซิ่วน้ำตาไหลพราก คลี่ม้วนไม้ไผ่ออกอ่านด้วยมือที่สั่นเทา
ไป๋จิ่นถงก็ไม่รอช้า คลี่ม้วนไม้ไผ่ออก ไล่อ่านทีละบรรทัดทั้งน้ำตา…
เมื่ออ่านจบไป๋จิ่นถงน้ำตาไหลพรูอย่างไม่ขาดสาย เซถลาไปหน้าโต๊ะหนังสือ คลี่ม้วนไม้ไผ่อีกท่อนออกอ่าน ร่างสั่นเทาจนแทบทำสิ่งใดไม่ถูก ร้องไห้อย่างน่าเวทนา
ไป๋ชิงเหยียนยืนแข็งทื่ออยู่หน้าเตาผิงที่ไฟลุกโชน แม้ว่านางจะร้องไห้ระบายออกมาอย่างบ้าคลั่งแล้ว แต่ดวงตาที่บวมช้ำยังคงมีน้ำตาคลออยู่ นางรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วกระดูก แม้ว่าจะอยู่ใกล้กองไฟเช่นนี้แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น ร่างทั้งร่างหนาวจนเย็นชาไปหมด
ไป๋จิ่นซิ่วซึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ถือม้วนไม้ไผ่ด้วยมือที่สั่นเทา ผิดหวังเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก กอดม้วนไม้ไผ่เอาไว้แน่นพลางทรุดกายลงบนพื้น
“เสี่ยวสือชี[1]…เขาเพิ่งจะสิบขวบ เขาเพิ่งสิบขวบเท่านั้นเอง!”
ไป๋จิ่นถงกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ความเศร้าโศกเสียใจแปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น ดวงตาวาวโรจน์ กำหมัดแน่นจนได้ยินเสียงกรอบ หมุนกายเดินออกไปด้านนอก
[1]เสี่ยวสือชี คำเรียกพี่น้องลำดับที่สิบเจ็ด หรืออาจใช้เรียกแทนตัวเอง