ต่งซื่อกัดฟันแน่น ลูบไปที่มือของไป๋ชิงเหยียนซึ่งกอดนางอยู่เบาๆ สูดหายใจเข้า หลับตาลง น้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย
วันหิมะตกหนักในวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสอง รัชศกเซวียนเจียปีที่สิบห้า นายหญิงใหญ่ต่งซื่อ ฮูหยินซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง ฮูยินสองหลิวซื่อ ฮูหยินสามหลี่ซื่อ ฮูหยินสี่หวังซื่อ ฮูหยินห้าฉีซื่อ รับรู้ข่าวการตายของบุรุษตระกูลไป๋ที่หนานเจียงต่างโศกเศร้าเสียใจจนแทบทนไม่ไหว
บรรยากาศทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยความสุขในการเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่ แต่จวนเจิ้นกั๋วกงกลับจมอยู่ในความทุกข์ บรรดาอนุ สาวใช้ หญิงชราในเรือนในที่ไม่รู้เรื่องราวต่างสังเกตถึงความผิดปกตินี้ได้ ทุกคนล้วนทำตามหน้าที่ของตัวเองอย่างระมัดระวังไม่กล้าเอะอะอันใด
ภายในห้องในเรือนฉางโซ่วขององค์หญิงใหญ่ ต่งซื่อ ฮูหยินซื่อจื่อดูจะมีสติมากที่สุด นางกุมมือของไป๋จิ่นเซ่อซึ่งเป็นบุตรอนุไว้แน่น ปลอบไม่ให้นางกลัว
ฮูหยินสองปาดน้ำตาทิ้งพลางสะอึกสะอื้น ฮูหยินสามสีหน้าซีดเผือดนั่งอยู่ด้านในราวกับคนไร้วิญญาณ
ฮูหยินสี่ที่เดิมทีเป็นคนอ่อนแออยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะคุณหนูห้าและคุณหนูหกซึ่งเป็นบุตรอนุฝาแฝดคอยกุมมือของนางเอาไว้อย่างแน่นหนานางคงล้มพับไปนานแล้ว
มีเพียงฮูหยินห้าที่ยังดูเข้มแข็งพอๆ กับฮูหยินซื่อจื่อ นางนั่งยืดกายตรงอยู่ในห้อง ลูบประคองท้องด้วยดวงตาที่แดงก่ำ กัดฟันกรอดไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น
ไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นถง ไป๋จิ่นจื้อ ไป๋จิ่นเจา ไป๋จิ่นหวา ไป๋จิ่นเซ่อ ต่างนั่งอยู่ข้างกายมารดาของตนเอง
องค์หญิงใหญ่ลูบลูกประคำในมือ หลับตาลงน้ำตาที่ในที่สุดก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ไหลอาบใบหน้า
“ลูกสะใภ้ห้าตั้งครรภ์อยู่ ลูกสะใภ้สี่อ่อนแอเกินไปรับมือไม่ไหว ตระกูลไป๋ที่เจริญรุ่งเรื่องมานับร้อยปีมาจนถึงจุดนี้ ภายภาคหน้าคงต้องวานลูกสะใภ้ใหญ่ ลูกสะใภ้รอง และลูกสะใภ้สามช่วยกันประคับประคอง!” องค์หญิงใหญ่มีท่าทีอ่อนล้า “สิ่งที่ต้องเตรียมก็เริ่มเตรียมได้เลย ไม่ต้องรอ…ไม่ต้องรอให้ข่าวส่งกลับมา มิเช่นนั้นเราคงจัดเตรียมไม่ทันการ”
“รับทราบเจ้าค่ะ!” ต่งซื่อพยักหน้าทั้งน้ำตา
“ท่านกั๋วกง เจ้าใหญ่ เจ้ารอง เจ้าสาม เจ้าสี่ เจ้าห้า และ…เด็กๆ ทั้งสิบเจ็ดคน โรงศพที่ใช้แบกกลับมาคงหามาใช้เป็นการชั่วคราว!” องค์หญิงใหญ่หลับตาอยู่ตลอดเวลาแต่น้ำตาก็ยังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย
“โรงศพของท่านกั๋วกงเตรียมเอาไว้นานแล้ว! วันนี้วันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสอง ร้านโรงศพคงปิดหมด ลูกสะใภ้ใหญ่…”
ไม่รอให้องค์หญิงใหญ่กล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนรีบแทรกขึ้นก่อน
“เช่นนั้นก็รอให้ข่าวมาถึงเมืองหลวง พวกเราค่อยไปขอยืม ขอยืมจากทุกคน…”
องค์หญิงใหญ่เบิกตากว้างเล็กน้อย แสงไฟสว่างจ้าจนดวงตาที่บวมก่ำเริ่มรู้สึกแสบ
“ท่านย่าเจ้าคะ มีเพียงการทำให้วีรบุรุษผู้เสียสละดูน่าสังเวชที่สุดเท่านั้น พวกชาวบ้านจึงจะรับรู้ว่าตระกูลไป๋ทำเพื่อบ้านเมือง ทำเพื่อพวกเขาอย่างใดบ้าง ทำให้พวกที่ทำร้ายตระกูลไป๋ของเราเริ่มร้อนรน ให้ฮ่องเต้นึกถึงความดีความชอบของตระกูลไป๋ ดูแลสตรีตระกูลไป๋ที่เหลืออยู่มิให้โดนผู้ใดรังแก”
ไป๋ชิงเหยียนรู้ดีว่าหากนางไม่คิดกบฏต่อราชวงศ์หลิน ขอแค่เป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อตระกูลไป๋ ท่านย่าต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน
องค์หญิงใหญ่มองไป๋ชิงเหยียนแล้วพยักหน้า “ทำตามที่อาเป่าว่ามาก็แล้วกัน”
“เมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยดี หากพวกอนุอยากจะไปจากที่นี่ก็คืนสัญญาทาสให้แก่พวกนาง ให้เงินพวกนางคนละห้าร้อยตำลึงแล้วปล่อยพวกนางไปซะ! พวกเจ้าแต่ละคนจัดการเรื่องในเรือนของพวกเจ้าเอาเอง ไม่ต้องรบกวนพี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าล่ะ”
องค์หญิงใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวออกไปด้วยความเมตตาที่ยังพอมีเหลืออยู่
“หากพวกเจ้าคนใดไม่อยากอยู่ในตระกูลนี้ต่อ เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงก็จากไปได้เลย! พวกเจ้าไม่ต้องกลัว…ต่อให้พวกเจ้าจะไปจากจวนเจิ้นกั๋วกง แต่ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ จวนเจิ้นกั๋วกงจะเป็นบ้านของพวกเจ้าตลอดไป!”
ถ้อยคำขององค์หญิงใหญ่กระตุ้นอารมณ์อ่อนไหวในใจของฮูหยินสองหลิวซื่อ ฮูหยินสามหลี่ซื่อ ฮูหยินสี่หวังซื่อ ทั้งสามคนปิดปากร้องไห้ออกมาอีกครั้งให้กับสามีและบุตรชายของพวกนาง แม้ว่าจะร้องไห้ไปหลายครั้งแล้ว แต่เมื่อนึกถึงสามีและบุตรชายก็เจ็บปวดจนแทบขาดใจ
“ท่านแม่ ข้าเคยรับปากกับสามีไว้ว่าเขาปกป้องแคว้นต้าจิ้นเพื่อชาวบ้าน ข้าจะปกป้องตระกูลไป๋แทนเขา สุขทุกข์ไปด้วยกัน ฝากชีวิตให้แก่กันไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าค่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงสามีน้ำเสียงของต่งซื่ออ่อนโยนเป็นที่สุด “แม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว แต่คำสัญญายังอยู่ชีวิตนี้ข้าไม่มีวันทอดทิ้งตระกูลไป๋ ตอนมีชีวิตอยู่เป็นสะใภ้ของตระกูลไป๋ ตายไปก็จะเป็นวิญญาณของตระกูลไป๋เจ้าค่ะ”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้าพลางหลับตาลง น้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น
ไป๋ชิงเหยียนกุมมือของต่งซื่อที่เย็นยิ่งกว่ามือของนาง ลูบไปที่มือมารดาเบาๆ หวังจะเพิ่มความอบอุ่นให้ ชาติที่แล้ว…ต่งซื่อ มารดาของนางทำได้อย่างที่ท่านกล่าวไว้จริงๆ
ที่จริงมารดาและบรรดาป้าสะใภ้ของนาง มีแม่สามีที่มีเหตุผลอย่างท่านย่าของนางถือว่าโชคดีมากแล้ว
ชาตินี้นางไม่อยากเห็นภาพที่มารดาและท่านป้าสะใภ้ต้องปลิดชีพตัวเองเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลไป๋อีกแล้ว
บางทีนางอาจจะใจแคบเกินไปไม่ว่าชาตินี้หรือชาติที่แล้ว นางก็ไม่อาจปล่อยวางเรื่องการตายของท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุงและบรรดาน้องชายได้
กลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้…นางมีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้น และทวงคืนความยุติธรรม! ดังนั้นนางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านแม่และบรรดาท่านป้าสะใภ้จะหายจากความทุกข์โศกนี้ แม้กระทั่งได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง
ความแค้นทั้งหมดของตระกูลไป๋…นางขอแบกรับไว้เพียงผู้เดียว
กว่าจะผ่านวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสองจนมาถึงวันสิ้นปี ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานยิ่งนัก เหมือนกับนักโทษที่รู้ว่าต้องโดนประหารชีวิต แต่ไม่รู้ว่าดาบเล่มนั้นจะฟันมาที่ศีรษะของตนเมื่อใด
ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่ในศาลาบนภูเขาจำลองอย่างเหม่อลอย จนเมื่อหลูผิงเข้ามารายงานเรื่องการจัดการศพของอู๋เจ๋อ หญิงสาวจึงได้สติ
“ข้านำโฉนดที่ดินจำนวนสองร้อยแปลงไปให้พ่อแม่ของอู๋เจ๋อตามที่คุณหนูใหญ่สั่งแล้วขอรับ นอกจากนี้ยังเบิกเงินจำนวนห้าร้อยตำลึงจากคลังบัญชีมอบให้แก่ภรรยาและพ่อแม่ของอู๋เจ๋อแล้วขอรับ ข้าบอกกับพ่อแม่ของอู๋เจ๋อว่า อู๋เจ๋อเผชิญหน้ากับกองโจรขณะปฏิบัติหน้าที่ ทางจวนเจิ้นกั๋วกงจะรับผิดชอบค่าทำศพทั้งหมดของอู๋เจ๋อ ภรรยาของอู๋เจ๋อจะคลอดตอนเดือนสอง ถือว่าเขามีทายาทไว้สืบสกุลแล้ว คุณหนูใหญ่มิต้องเสียใจไปขอรับ!” หลูผิงกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า สีหน้าส่อแววเหนื่อยล้า “ลำบากลุงผิงแล้ว…”
หลูผิงรู้สาเหตุการตายของอู๋เจ๋อ จึงย่อมรู้เรื่องสถานการณ์การรบที่หนานเจียง ดวงตาของเขาร้อนผ่าว
เห็นไป๋ชิงเหยียนเป็นเช่นนี้ หลูผิงเป็นคนห้าวจึงไม่รู้จะปลอบใจหญิงสาวเช่นใดดีกล่าวเพียง
“คุณหนูใหญ่ ฉินซ่างจื้อกล่าวว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนมองการไกล เขามองเห็นสิบก้าวแต่คุณหนูใหญ่กลับมองเห็นก้าวที่เก้าสิบเก้าแล้ว เขายังกล่าวอีกว่าหากคุณหนูเป็นบุรุษตระกูลไป๋ของเราต้องรุ่งเรืองไปอย่างน้อยอีกสามรุ่นแน่นอนขอรับ! หลูผิงเชื่อคำกล่าวนี้แม้ว่าบรรดาท่านกั๋วกงจะ…จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่คุณหนูใหญ่ต้องเข้มแข็งนะขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนนึกไม่ถึงว่าตนเองจะได้รับคำชมจากฉินซ่างจื้อ คนผู้นี้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี ชาติที่แล้วนางแทบไม่เคยได้ยินฉินซ่างจื้อกล่าวชื่นชมผู้ใดเลย
“ข้าทราบดี ลุงผิงวางใจเถิด ข้ารับไหว!”
นางมีชีวิตมาสองชาติแล้วผ่านประสบการณ์มาถึงสองครั้ง หากรับไม่ไหวก็คงผิดต่อสวรรค์ที่หวังดีให้นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
หลูผิงเห็นชุนเถาเดินนำเฉินชิ่งเซิงขึ้นมาบนภูเขาจำลอง จึงโค้งกายล่ำราไป๋ชิงเหยียนแล้วเดินจากไป
เฉินชิ่งเซิงเดินสวนกับหลูผิงตรงบันไดทางขึ้นภูเขาจำลอง ชายหนุ่มโค้งกายพลางยิ้มให้หลูผิงน้อยๆ จากนั้นเดินเข้าไปในศาลาอย่างรีบร้อน
“คุณหนูใหญ่!” เฉินชิ่งเซิงทำความเคารพ
“วันนี้เป็นวันสิ้นปี เดิมทีควรให้เจ้าอยู่ฉลองกับครอบครัว แต่ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องการให้คนที่ไว้ใจได้ไปจัดการจึงต้องลำบากเจ้าแล้ว!” ไป๋ชิงเหยียนกำเตาผิงในมือแน่น คิ้วขมวด น้ำเสียงแหบพร่า