ตอนที่ 66 มีใจเหินห่าง
บัดนี้ตระกูลไป๋กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตหมดสิ้น หากข่าวเรื่องที่องค์หญิงใหญ่ป่วยหนักแพร่ออกไป เกรงว่าจะทำให้คนในตระกูลไป๋ตื่นตระหนก เจี่ยงหมัวมัวกำชับไม่ให้ไป๋จิ่นจื้อเอะอะโวยวาย ไป๋จิ่นจื้อรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรจึงไม่กล้าเอะอะ
ภาพเหตุการณ์ของชาติที่แล้วที่ท่านย่ารู้ข่าวแล้ว กระอักเลือดจนสิ้นใจแล่นเข้ามาในสมองของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวชาวาบไปทั้งร่าง ราวกับมีมือข้างหนึ่งจิกลงบนหัวใจที่เต้นรัวของนาง หญิงสาวเจ็บปวดใจจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“พี่หญิงใหญ่!” ไป๋จิ่นจื้อเห็นสีหน้าของไป๋ชิงเหยียนซีดเผือดจึงรีบเอ่ยเรียก
ไป๋ชิงเหยียนได้สติ เริ่มสงบลงหันไปย่อกายให้ต่งฉางหยวน
“ที่จวนมีเรื่องมากมาย น้องต่งฉางหยวนเป็นคนในครอบครัวต้องขออภัยด้วยที่พี่ดูแลไม่ทั่วถึง”
“ญาติผู้พี่รีบไปจัดการธุระเถิดขอรับ!” ต่งฉางหยวนรีบกล่าว
หญิงสาวพยักหน้าจูงมือไป๋จิ่นจื้อเดินไปยังเรือนหลังอย่างรวดเร็ว
ไป๋จิ่นจื้อเดินพลางกล่าวกับไป๋ชิงเหยียน “โชคดีที่เมื่อคืนท่านหมอหงและท่านหมอหลวงหวงอยู่เฝ้าดูอาการของท่านป้าสะใภ้ห้า เจี่ยงหมัวมัวให้คนไปตามท่านหมอหงและท่านหมอหลวงหวงแล้วเจ้าค่ะ นางให้ข้ามาบอกพี่หญิงใหญ่!”
“เหตุใดท่านย่าจึงกระอักเลือดกัน” ไป๋ชิงเหยียนกัดฟันถาม
“ก็เพราะสองแม่ลูกชั่วช้าที่เรือนชิงหมิงอย่างใดเล่าเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันกรอด ดวงตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความเคียดแค้น อยากจะฟาดแส้ใส่หญิงบ้าผู้นั้นอีกสักสองสามที
“หญิงบ้าคนนั้นได้ยินว่าท่านหมอหลวงหวงแห่งสำนักหมอหลวงอยู่ที่เรือนท่านป้าสะใภ้ห้า จึงโวยวายอยากให้ท่านหมอหลวงหวงไปดูบาดแผลลูกอนุของนางกล่าวว่า ตอนนี้ตระกูลไป๋เหลือแค่ลูกชายของนางเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว ลูกชายของนางคือท่านกั๋วกงในภายภาคหน้า ท่านย่ากำลังเศร้าโศกอยู่ เจี่ยงหมัวมัวจึงกำชับไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่สองแม่ลูกนั่นป่าวประกาศไปทั่ว พอท่านย่าได้ยินจึงโมโหจนหน้าเขียว กระอักเลือดอออกมาเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนกำเตาผิงแน่นด้วยความโมโห อยากจะฆ่าสองแม่ลูกทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ พวกเขาเป็นตัวสร้างปัญหาจริงๆ ดูเหมือนว่าจะเก็บไว้ไม่ได้แล้ว
ทั้งสองเร่งฝีเท้าเข้าไปยังเรือนฉางโซ่ว บ่าวรับใช้เห็นว่าคุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบจึงรีบแหวกม่านเปิดทางให้
ภายในห้ององค์หญิงใหญ่เอนกายพิงหมอนใบใหญ่ลายดอกโบตั๋นสีทองอยู่ริมหน้าต่าง บริเวณหน้าตักคลุมด้วยผ้าห่มขนแกะชั้นดี นางรับยาขมและน้ำมาจากเจี่ยงหมัวมัว เงยหน้ากลืนลงไป
ท่านหมอหลวงหวงเก็บหมอนตรวจชีพจรลงในกล่องยา เงยหน้าขึ้นก็เห็นคุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่เดินเข้ามาด้านในอย่างรีบร้อน เขารีบโค้งกายทำความเคารพ
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่มิต้องกังวลขอรับ องค์หญิงใหญ่ทรงมิได้เป็นอันใดมาก! ธาตุไฟตีขึ้นทำให้องค์หญิงใหญ่ทรงกระอักเลือดที่คั่งอยู่เพราะความเครียดออกมาถือเป็นเรื่องดีขอรับ เพราะเลือดคั่งมักจะตรวจไม่ค่อยพบ หากปล่อยไว้นานวันอาจทำลายปอดได้ ทีนี้ต่อให้เป็นเทวดาก็คงรักษามิได้ขอรับ ทว่าร่างกายขององค์หญิงใหญ่ต้องการการพักผ่อนให้มากๆ ต้องทำใจให้สงบขอรับ”
องค์หญิงใหญ่วางแก้วน้ำในมือลง เหลือบมองหลานสาวคนโตซึ่งยามปกติเป็นคนสุขุมดั่งภูเขาบัดนี้มีท่าทีร้อนรนใจจนใบหน้าขาวซีด ใจของนางอ่อนยวบในทันทีน้ำตาไหลพราก แม้ว่าสองย่าหลานจะขัดแย้งกัน แต่เลือดเนื้อเชื้อไขตัดกันไม่ขาด พอได้ยินว่านางกระอักเลือดหลานสาวก็รีบมาหาในทันที
องค์หญิงใหญ่กวักมือเรียกไป๋ชิงเหยียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “อาเป่ามานี่สิ!”
ได้ยินท่านหมอหลวงหวงกล่าวว่าท่านย่ามิเป็นอันใดมาก ไป๋ชิงเหยียนจึงโล่งใจ หญิงสาวถอดเสื้อคลุมออก ยื่นเตาผิงส่งให้สาวใช้เดินไปหยุดอยู่หน้าองค์หญิงใหญ่
“องค์หญิงใหญ่ คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่ ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ!” ท่านหมอหลวงหวงแบกกล่องยาพาดบ่าพลางทำความเคารพองค์หญิงใหญ่
“บ่าวไปส่งท่านหมอหลวงหวงเจ้าค่ะ!” เจี่ยงหมัวมัวยิ้มพลางนำทางไปด้านหน้า แหวกม่านให้ท่านหมอหลวงหวง
ไป๋จิ่นจื้อดูออกว่าองค์หญิงใหญ่มีเรื่องจะคุยกับพี่หญิงใหญ่จึงถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
องค์หญิงใหญ่กุมมือนุ่มลื่นของไป๋ชิงเหยียนเอาไว้ เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของหลานสาวเต็มไปด้วยเหงื่อ ดวงตายิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม
“เจ้าไม่ต้องห่วงย่าไม่มีทางเป็นอันใดไปหรอก ย่ายังต้องอยู่คุ้มครองพวกหลาน!”
ไป๋ชิงเหยียนเป็นห่วงองค์หญิงใหญ่จากใจจริง นอกจากเรื่องที่ตอนนี้จวนเจิ้นกั๋วกงต้องการการคุ้มครองจากองค์หญิงใหญ่แล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือไป๋ชิงเหยียนไม่อาจสละความรักนี้ทิ้งได้ หญิงสาวไม่อาจสูญเสียญาติคนใดไปได้อีกแล้ว
“เมื่อครู่ย่างีบหลับบนเก้าอี้ ย่าฝันเห็นผู้คนมากมายฝันเห็นท่านปู่ของเจ้า ฝันเห็นเสด็จพ่อของย่า!”
องค์หญิงใหญ่สะอึกสะอื้น ดวงตาแดงก่ำ เอื้อมมือรั้งไป๋ชิงเหยียนเข้ามากอด ค่อยๆ พรรณนาถึงเรื่องราวในอดีต
“ย่าแต่งงานกลายเป็นลูกสะใภ้ตระกูลไป๋เมื่ออายุสิบหก นอกจากเต็มใจแต่งงานมีทายาทให้ท่านปู่ของเจ้าแล้ว ย่ายังมีหน้าที่สำคัญในฐานะองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นต้าจิ้น! คืนก่อนที่เสด็จพ่อจะทรงพระราชทานสมรสให้ย่า…เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทรงกอดย่าไว้ในอ้อมกอดเช่นนี้ ตรัสกับย่าว่าตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกระดูกสันหลังเป็นเสาหลักของแคว้นต้าจิ้น ราชวงศ์พึ่งพาอาศัยตระกูลไป๋แต่ก็ต้องคอยป้องกันไว้เช่นเดียวกัน เสด็จพ่อทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ทรงหวังว่าย่าจะช่วยท่านปกป้องคุ้มครองราชวงศ์หลิน ป้องกันมิให้ตระกูลไป๋คิดกบฏ หากย่าไม่ให้สัตย์สาบานก็มิอาจแต่งกับท่านปู่ของเจ้าได้”
เรื่องพวกนี้เก็บกดอยู่ในใจขององค์หญิงใหญ่มาหลายปี บัดนี้เล่าให้หลานสาวฟัง แต่ความลำบากใจนี้ก็ยังทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี
ดังนั้นเมื่อนางตัดสินใจแต่งงานกับไป๋เวยถิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง นางย้ายออกจากจวนองค์หญิงใหญ่ด้วยความรู้สึกผิด เมื่อแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงนางปฏิบัติรับใช้พ่อแม่สามีอย่างดีเฉกเช่นสตรีทั่วๆ ไป หวังทำเรื่องเล็กน้อยพวกนี้เพื่อชดใช้ความผิด เพื่อปลอบใจตัวเอง
ท่านย่าลำบากใจ นางรู้ดี…
นางยังรู้อีกว่าการที่องค์หญิงใหญ่ผู้สูงส่งอย่างท่านย่ายอมลดตัวกล่าวเรื่องพวกให้นางฟัง เพราะอยากให้นางเข้าใจในความลำบากของท่านซึ่งเป็นท่านย่าของนาง อยากให้นางทำเพื่อท่าน อย่ามีใจคิดกบฏเด็ดขาด
แต่เมื่อสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจซึ่งเป็นเรื่องที่นางไม่อยากเชื่อ และไม่อยากคิดถึงมันถูกท่านย่ากล่าวออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ หญิงสาวกลับรู้สึกสงบลงกว่าเดิม
“อาเป่า ท่านปู่ของเจ้าจากไปแล้ว ท่านพ่อ ท่านลุง และบรรดาน้องชายของเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันจะมีใจเหินห่างกันมิได้นะ” น้ำตาขององค์หญิงใหญ่ไหลพราก
เหตุใดนางจะไม่เสียใจในคำกล่าวขององค์หญิงใหญ่ การแตกหักกับผู้ที่เป็นญาติคือความทุกข์ทรมานอย่างที่สุด เจ็บปวดราวกับโดนมีดเฉือนเนื้อออกเป็นชิ้นๆ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“ท่านย่า ข้าทราบดีว่าท่านย่าลำบากใจ! ท่านย่าเป็นท่านย่าของพวกเราแต่ก็เป็นองค์หญิงใหญ่แห่งต้าจิ้นด้วย ตระกูลไป๋คือครอบครัวของพวกเรา ราชวงศ์ก็คือครอบครัวของท่านย่าเช่นกัน!” หญิงสาวเงยหน้ามององค์หญิงใหญ่ทั้งน้ำตา กล่าวออกมาทีละคำ
“ข้าไม่กล้าหลอกท่านย่า ตอนที่ข้าทราบข่าวว่าบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงทั้งหมด ข้าอยากจะกบฏเสียตั้งแต่ตอนนั้น อยากจะให้ราชวงศ์ต้าจิ้นชดใช้ให้ข้าด้วยเลือด! อยากฉีกร่างของคนชั่วช้าที่ใส่ร้ายบุรุษตระกูลไป๋ออกเป็นชิ้นๆ”
องค์หญิงใหญ่เกร็งไปทั้งร่าง ดวงตาเกรี้ยวกราด มือที่เหี่ยวย่นจับบ่าของไป๋ชิงเหยียนแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี “เจ้า…”
“แต่ข้าทำไม่ได้ เหตุผลแรกคือข้าไม่มีอำนาจ ร่างกายไร้ซึ่งวิทยายุทธ์เป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ ในเรือนหลัง” หญิงสาวไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้องค์หญิงใหญ่จับบ่านางไว้เช่นนั้น
“เหตุผลที่สอง แคว้นต้าจิ้นคือสิ่งที่คนนับหมื่นของตระกูลไป๋แลกมาด้วยชีวิตที่จบลงที่หนานเจียง เต็มไปด้วยเลือดของบรรพบุรุษตระกูลไป๋ ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุง และบรรดาน้องชาย! ตระกูลไป๋ของข้าปกป้องแคว้นต้าจิ้นให้ปลอดภัย ชาวบ้านอยู่อย่างสงบสุข! ข้าจะทนเห็นชาวบ้านต้องมาเดือดร้อนเพราะความแค้นส่วนตัวของข้าได้อย่างใดกัน จะให้คนชราสูญเสียบุตรหลานเด็กน้อยสูญเสียพ่อแม่ได้อย่างใดกัน จะทนเห็นชาวบ้านที่บริสุทธิ์ต้องเจ็บปวดจากการสูญเสียเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองได้อย่างใดกัน จะให้ทหารนับหมื่นชีวิตต้องสละชีพได้อย่างใดกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือทหารก็ไม่ควรต้องจบชีวิตลงเพราะความแค้นส่วนตัวของตระกูลไป๋เจ้าค่ะ”