ตอนที่ 98 ได้คืบจะเอาศอก
ชุนเถารีบกล่าวสำทับ “ถงหมัวมัวมิรู้อันใด ตอนนี้คุณหนูใหญ่สามารถยืนม้าได้ถึงหนึ่งชั่วยามเลยนะเจ้าค่ะ ผูกกระสอบทรายถ่วงมือเอาไว้ยามเขียนอักษร บัดนี้คุณหนูใหญ่มีแรงขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้บ่าวก็เป็นกังวลเช่นเดียวกับถงหมัวมัว แต่ต่อมาเห็นว่าคุณหนูใหญ่เริ่มแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งท่านหมอหงยังกล่าวว่าสีหน้าของคุณหนูใหญ่ดีขึ้นกว่าหน้าหนาวปีที่แล้วมากนัก ดังนั้นเรื่องพวกนี้ชุนเถาจึงเชื่อฟังคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
ถงหมัวมัวพยักหน้าแต่ก็อดถูมือของไป๋ชิงเหยียนเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่นางไม่ได้
ระหว่างเดินกลับเรือนถงหมัวมัวไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เล่าเรื่องที่ท่านชายบุตรอนุสองคนซึ่งมาจากซั่วหยางเพื่อเคารพศพไปพบต่งซื่อเพื่ออำลาขอเดินทางกลับให้ไป๋ชิงเหยียนฟัง
ไป๋ชิงเหยียนไม่แปลกใจกับการอำลาขอเดินทางกลับของตระกูลบรรพบุรุษจากซั่วหยางสักนิด เรื่องบีบให้ฮ่องเต้ประหารซิ่นอ๋องที่หน้าประตูอู่เต๋อในวันนี้ทำอย่างเอิกเกริก พวกเขาคงกลัวว่าหากฮ่องเต้ทรงพิโรธแล้วจะเดือดร้อนมาถึงพวกเขาด้วย
“ทว่า ท่านชายบุตรอนุทั้งสองยังมิทันจะจากไป ลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของประมุขผู้เฒ่าของตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางก็เดินทางมาถึงเสียก่อนเจ้าค่ะ เมื่อมาถึงท่านชายผู้นี่ก็กล่าวกับฮูหยินซื่อจื่อว่าก่อนที่ท่านกั๋วกงจะไปออกรบ ตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางเคยส่งคนมาที่จวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อปรึกษากับท่านกั๋วกงว่า…หลังผ่านปีใหม่ตั้งใจจะซื้อที่ดินให้คนในตระกูล อีกทั้งต้องการซ่อมแซมหอบรรพชน สุสานบรรพชน สำนักศึกษา รวมถึงเชิญปรมาจารย์มาสอนตำราที่สำนักศึกษาด้วยเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนประหลาดใจ แม้ว้าท่านปู่มักจะตอบรับคำขอร้องของคนจากตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางมาโดยตลอด ก่อนท่านปู่จะไปออกรบท่านไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
ถงหมัวมัวเห็นสีหน้าสงสัยของไป๋ชิงเหยียน รีบกล่าวต่อ “ท่านชายผู้นี้กล่าวว่าเดิมทีตกลงกันไว้ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจะจัดการเรื่องนี้ตอนกลับไปมอบของขวัญวันปีใหม่ที่ซั่วหยาง ทว่าจวนเจิ้นกั๋วกงดันเกิดเรื่องขึ้นก่อนเช่นนี้ ท่านประมุขผู้เฒ่าของตระกูลกล่าวว่าคนในตระกูลมิกล้ามารบกวนจวนเจิ้นกั๋วกงจึงให้ท่านชายผู้นี้นำบัญชีมามอบให้ฮูหยินซื่อจื่อดู รวมทั้งหมดแล้วเป็นเงินประมาณสี่แสนห้าหมื่นตำลึงเจ้าค่ะ! ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเงินหรือเงินสดทางเราต้องเตรียมให้พร้อมก่อนที่พวกเขาจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ แถมยังจงใจกล่าวอีกว่านี่คือความต้องการของท่านประมุขผู้เฒ่า”
ถงหมัวมัวจงใจเน้นย้ำคำว่า ‘ต้อง’ เพราะต้องการให้ไป๋ชิงเหยียนรับรู้ว่าคนจากตระกูลบรรพบุรุษไป๋เห็นว่าตระกูลไป๋ไม่มีบุรุษหลงเหลืออยู่แล้วจึงรังแกไถ่เงินกันเช่นนี้
ชุนเถาเบิกตาโพลง “นี่มันมาปล้นเงินหรือขอยืมเงินกันแน่เจ้าคะ! ตระกูลไป๋เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ส่งมาแค่ท่านชายซึ่งเป็นบุตรอนุเพียงสองคนมาเคารพศพ พิธีศพยังไม่ทันเสร็จก็จะจากไปเช่นนี้ แล้วยังมีท่านชายบุตรภรรยาเอกโผล่มาขอเงินถึงจวนเช่นนี้อีก!”
ชุนเถาที่ปกติเป็นคนใจเย็นอดโมโหขึ้นมามิได้
ไป๋ชิงเหยียนหลุบตาลงครุ่นคิดอย่างละเอียด
คนจากตระกูลบรรพบุรุษที่ซั่วหยางกล้าทำถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าตระกูลไป๋ไม่มีบุรุษหลงเหลืออยู่เท่านั้น แต่เป็นเพราะท่านปู่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเกรงใจเกินไป พวกเขาจึงเคยชินจนติดเป็นนิสัย
คำโบราณกล่าวไว้ว่าข้าวหนึ่งเซิงเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งโต่วคือความแค้น นางเคยเตือนท่านปู่กับท่านพ่อเรื่องนี้แล้ว
บางทีความคิดของบุรุษและสตรีอาจแตกต่างกัน…
ท่านปู่กล่าวว่าบนโลกนี้มีเพียงความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้นที่ไม่อาจวัดเป็นเงินทองได้ ที่สำคัญคนจากตระกูลบรรพบุรุษคอยดูแลหอบรรพชนของตระกูลไป๋ให้ อีกทั้งประมุขคนปัจจุบันยังเป็นท่านอาซึ่งเป็นญาติที่ห่างกันไม่เกินห้ารุ่นของท่านปู่
ท่านพ่อกล่าวว่าสิ่งที่ตระกูลแม่ทัพดังเช่นตระกูลไป๋ไม่เคยขาดแคลนก็คือของนอกกายเหล่านี้ หากใช้ของนอกกายเหล่านี้แลกความสงบสุขของตระกูลบรรพบุรุษทำให้ตระกูลไป๋ทั้งตระกูลเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่หนักหนาอันใด
ท่านปู่และท่านพ่อของนางใจดีเกินไป ทว่าคนของตระกูลบรรพบุรุษจากซั่วหยางมิได้สำนึกบุญคุณของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว พวกเขามองเห็นจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นเพียงถุงเงินถุงทองที่เอาไว้คอยแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น
วิญญูชนที่รู้จักตอบแทนบุญคุณคนดังเช่น ฉินซ่างจื้อมีอยู่มากมาย ทว่าคนเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่องดังเช่นตระกูลบรรพบุรุษไป๋ก็มีอยู่มากมายเช่นเดียวกัน
ไป๋ชิงเหยียนชะงักฝีเท้า เอ่ยถาม “ท่านแม่ตอบไปเช่นใด”
“ยังมิรู้เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านชายซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอกและท่านชายบุตรอนุอีกสองคนกำลังอธิบายบัญชีค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด พร้อมพร่ำพรรณนาว่าจะนำเงินไปใช้อย่างใดบ้างให้ฮูหยินซื่อจื่อฟัง เจ้าค่ะ…” ถงหมัวมัวกล่าว
หญิงสาวยืนอยู่กลางระเบียงทางเดิน ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้ากล่าวขึ้น “ไปดูสักหน่อย…”
ไป๋ชิงเหยียนเดินไปถึงทางเดินหน้าห้องโถงรับรองหลัก เห็นสาวใช้กำลังจะทำความเคารพ หญิงสาวรีบส่งสัญญาณให้สาวใช้เงียบเสียง หยุดยืนอยู่ตรงทางเดิน จ้องไปยังโคมไฟซึ่งแกว่งไปมาตามแรงลม ลอบฟังความเคลื่อนไหวในห้องโถง
ต่งซื่อปิดสมุดบัญชีลง เขวี้ยงไปไว้ด้านข้าง ยิ้มเย็นพลางกล่าวขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมหอบรรพชน สุสานบรรพชนหรือการก่อตั้งสำนักศึกษา ทุกครอบครัวช่วยกันออกค่าใช้จ่ายเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว! ทว่าก่อนออกรบท่านกั๋วกงและซื่อจื่อมิเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ญาติผู้พี่มาถึงจวนเจิ้นกั๋วกง ไม่ไปจุดธูปเคารพศพแต่กลับมาขอเงินจากข้าเช่นนี้! เมื่อจุดธูปเคารพศพเสร็จก็รีบบอกให้ข้าเตรียมเงินจำนวนสี่แสนห้าหมื่นตำลึงให้ครบภายในวันพรุ่งนี้ สี่แสนห้าหมื่นตำลึงมิใช่เงินจำนวนน้อยๆ ท่านคิดว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเปิดโรงเงินหรืออย่างใดกัน”
หลายปีมานี้พ่อสามีและสามีตามใจคนของตระกูลบรรพบุรุษจากซั่วหยางมากเกินไป ตามจนจนพวกเขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่เพียงมาขอเงินจากจวนเจิ้นกั๋วกง แต่กลับทำเหมือนว่าจวนเจิ้นกั๋วกงติดหนี้พวกเขาอยู่อย่างนั่นแหล่ะ
ไป๋ฉีอวิ๋นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกของประมุขผู้เฒ่าที่มาจากซั่วหยางโดนตอกกลับจนหน้าเสีย กัดฟันกรอดพลางกล่าวขึ้น “ข้าได้รับคำสั่งมาจากท่านประมุขผู้เฒ่า น้องสะใภ้ เจ้าเอาแต่กล่าวบ่ายเบี่ยงโดยอ้างว่าท่านกั๋วกงมิได้สั่งเสียเรื่องนี้ไว้ก่อนมันหมายความว่าอย่างใดกัน หาว่าคนจากตระกูลบรรพบุรุษแต่งเรื่องหลอกลวงจวนเจิ้นกั๋วกงของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เห็นท่าทีแข็งกร้าวของพี่ชายคนโต ท่านชายซึ่งเป็นบุตรอนุทั้งสองลอบปาดเหงื่อ รีบแก้ไขสถานการณ์
“น้องสะใภ้อย่าถือโทษเลยนะ ญาติผู้พี่ได้รับคำสั่งมาเช่นกันจึงได้ร้อนใจถึงเพียงนี้ เจ้าดูสิ…เพราะสถานการณ์สงครามที่หนานเจียงกำลังตึงเครียด หยกคุนซานขึ้นราคาเป็นเท่าตัว ทว่าเราไม่อาจลดวัสดุที่ใช้สำหรับซ่อมแซมป้ายสุสานบรรพชนได้ มิเช่นนั้นบรรพบุรุษของเราจะอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างใดกัน น้องสะใภ้ว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่ ก่อนมาพบน้องสะใภ้ ญาติผู้พี่บอกกับข้าว่าท่านประมุขผู้เฒ่ากำชับเขาอย่างแน่นหนาว่าด้วยสถานการณ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงในตอนนี้ ห้ามให้จวนเจิ้นกั๋วกงออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเด็ดขาด จวนเจิ้นกั๋วกงแค่ออกหน้าเป็นเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือพวกเราในตระกูลจะรวบรวมหามาเอง”
“บัดนี้ท่านกั๋วกงและซื่อจื่อเสียชีวิตแล้ว หากเจ้าในฐานะนายหญิงใหญ่ของตระกูลยังตัดสินใจมิได้ ข้าคงต้องนำบัญชีไปพบองค์หญิงใหญ่เสียแล้ว” ไป๋ฉีอวิ๋นกล่าวพลางสะบัดชายเสื้อ
“ได้เจ้าค่ะ!” ต่งซื่อยิ้มพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับริมฝีปาก ยกถ้วยชาขึ้น “เชิญญาติผู้พี่ตามสบาย เชิญเจ้าค่ะ…”
ต่งซื่อยกถ้วยชาขึ้นแสดงกิริยาส่งแขก ไป๋ฉีอวิ๋นหงุดหงิดใจ ไม่มีต่งซื่อคอยนำทาง เขาจะเข้าไปที่เรือนหลังได้เช่นใดกัน!
ต่งซื่อรู้ดีแก่ใจว่าหลังจากเสร็จพิธีศพของตระกูลไป๋ มีเพียงย้ายกลับไปอยู่ที่ซั่วหยางจึงจะรักษาชีวิตของสตรีที่เป็นหม้าย และเด็กที่กำพร้าบิดาอย่างพวกนางได้ ทว่ายิ่งเป็นเช่นนั้นต่งซื่อก็ยิ่งไม่อาจให้พวกเขาเหยียบย่ำพวกนางเช่นนี้ได้ มิเช่นนั้นหากกลับไปอยู่ที่ซั่วหยาง พวกเขาจะยิ่งรังแกข่มเหงพวกนางอย่างได้ใจ
หากวันนี้นางทำตามที่พวกเขาต้องการ ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณ แต่จะยิ่งได้คืบจะเอาศอก ก่อนหน้านี่ใจดีกับพวกเขามากเกินไป เมื่อไม่ตามใจพวกเขา พวกเขาจึงโกรธแค้นเช่นนี้เหตุการณ์ตรงหน้าคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
ก่อนมาที่นี่บิดาของไป๋ฉีอวิ๋นซึ่งก็คือประมุขผู้เฒ่าได้กล่าวกับไป๋ฉีอวิ๋นว่าบัดนี้บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงหมดแล้ว ตระกูลไป๋เหลือเพียงสตรี เด็กในท้องของฮูหยินห้าก็ยังไม่รู้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี จวนเจิ้นกั๋วกงไม่ขาดบุรุษคอยประคับประคอง มิเช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดสืบทอดต่อตำแหน่ง เขาสั่งให้ไป๋ฉีอวิ๋นมาปรึกษากับองค์หญิงใหญ่ว่าให้รับบุตรชายคนรองของไป๋ฉีอวิ๋นเป็นบุตรชายบุญธรรมเพื่อสืบทอดตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงแทน
———————————————
[1] ข้าวหนึ่งเซิงเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งโต่วคือความแค้น หมายถึง เมื่อยื่นมือให้ความช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายซาบซึ้งในบุญคุณ แต่หากช่วยมากครั้งจนในที่สุดช่วยไม่ไหวหรือหยุดช่วยอีกฝ่ายอาจรู้สึกโกรธเคืองหรือคับแค้นใจ (เซิง โต่ว คือหน่วยชั่งข้าว โดยเซิงเป็นหนึ่งในสิบของโต่ว)