ตอนที่ 99 ขอบเขต
เมื่อคิดได้ว่าภายภาคหน้าบุตรชายของตนจะกลายเป็นเจิ้นกั๋วกง ไป๋ฉีอวิ๋นดีใจจนเลือดพลุ่งพล่าน ในสมองเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าบุตรชายของเขาจะได้เป็นเจิ้นกั๋วกงแล้ว! ไม่ใช่เพียงเกียรติยศที่จะได้มาหลังจากเป็นเจิ้นกั๋วกงเท่านั้น ทรัพย์สมบัติที่เจิ้นกั๋วกงได้มาจากการออกรบหลายปีมานี้ก็จะกลายเป็นของตระกูลเขาเช่นเดียวกัน ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้
ไป๋ฉีอวิ๋นดีใจเพราะเรื่องนี้จนนอนไม่หลับ
ทว่า ผู้ใดจะคิดว่าเขาเพิ่งออกเดินทางออกจากเมืองซั่วหยางได้ไม่นาน ก็ได้ยินผู้คนกล่าวขานกันว่าท่านชายรองของจวนเจิ้นกั๋วกงมีบุตรอนุอยู่ข้างนอกอีกหนึ่งคน บุตรอนุผู้นี้เพิ่งโดนรับตัวกลับจวนเจิ้นกั๋วกงก็โดนไป๋ชิงเหยียนบุตรสาวคนโตแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงโบยกลางถนนเนื่องจากดูถูกชาวบ้านว่าต่ำต้อย ผู้คนต่างกล่าวว่าตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงคงตกเป็นของบุตรอนุผู้นี้อย่างแน่นอน ต่างรู้สึกเสียดายไปตามๆ กัน
ไป๋ฉีอวิ๋นได้ยินเรื่องนี้ก็โมโหจนล้มป่วยกลางทาง รู้สึกอึดอัดคับแค้นใจเป็นอย่างมาก เหตุใดผู้ที่มาแจ้งข่าวเรื่องการเสียชีวิตของจวนเจิ้นกั๋วกงที่ซั่วหยางจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ท่านชายรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงมีบุตรอนุอยู่ด้านนอกอีกคนเลยสักนิด
เดิมทีไป๋ฉีอวิ๋นเตรียมเก็บสัมภาระเดินทางกลับซั่วหยาง แต่โดนผู้ดูแลอูห้ามไว้เสียก่อน ผู้ดูแลอูกล่าวว่าในเมื่อเดินทางมาแล้วอย่างน้อยก็ควรไปจุดธูปเคารพศพของเจิ้นกั๋วกงสักหน่อย ไม่แน่เรื่องอาจมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ ทว่าหากพวกเขาไม่ไปก็เท่ากับไม่มีโอกาสเลย
ไป๋ฉีอวิ๋นตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ ผู้ดูแลอูจึงสั่งให้คนล่วงหน้าไปสืบเรื่องราวของบุตรอนุผู้นี้ที่จวนเจิ้นกั๋วกงก่อน
บ่ายวันนี้ เมื่อไป๋ฉีอวิ๋นและผู้ดูแลอูเดินทางมาถึงเมืองหลวง เป็นเวลาเดียวกันกับที่องค์หญิงใหญ่นำบรรดาหลานสาวไปที่หน้าประตูอู่เต๋อเพื่อบีบบังคับให้ฮ่องเต้ประหารซิ่นอ๋อง
ไป๋ฉีอวิ๋นได้ยินข่าวนี้ เย็นวาบไปทั้งร่าง กลัวว่าตระกูลไป๋จะทำให้ฮ่องเต้พิโรธจนพลอยเดือดร้อนมาถึงพวกเขาด้วย จึงสั่งให้คนไปบอกกับญาติผู้น้องอีกสองคนให้รีบเดินทางกลับโดยเร็วที่สุด
ผู้ใดจะคิดว่าคนที่เขาสั่งให้ไปบอกข่าวกับญาติผู้น้องทั้งสองคนเพิ่งเดินจากไป คนที่ผู้ดูแลอูสั่งให้ไปสืบเรื่องในเมืองหลวงก็กลับมาพอดี เขารายงานว่าบุตรอนุของท่านชายรองเก็บของเสร็จเรียบร้อย พร้อมหลบหนีตลอดเวลา
ผู้ดูแลอูได้ยินดังนั้นสมองก็แล่นปลาบในทันที เขาเสนอความคิดใหม่ให้ไป๋ฉีอวิ๋น
ผู้ดูแลอูกล่าวว่าตระกูลไป๋บีบให้ฮ่องเต้ประหารโอรสที่เกิดจากฮองเฮาเช่นนี้ต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดีแน่ ทว่าบัดนี้ตระกูลไป๋มีชาวบ้านคอยปกป้องอยู่น่าจะยังปลอดภัยไปอีกระยะหนึ่ง บัดนี้บุตรอนุผู้นั้นรับรู้ถึงอันตรายจึงรีบหนีเอาตัวรอดไปก่อน ตระกูลบรรพบุรุษจากซั่วหยางก็คงไม่โง่กระโดดลงไปในกองไฟโดยการยกบุตรชายให้จวนเจิ้นกั๋วกงในตอนนี้หรอก
ทว่า เมื่อบุตรอนุผู้นี้จากไปตระกูลไป๋ก็ไม่มีบุรุษหลงเหลืออยู่อีกแล้ว หากตระกูลบรรพบุรุษไม่ยอมยกบุตรชายให้จวนเจิ้นกั๋วกง สตรีของตระกูลไป๋ต้องกลับไปบ้านเกิดที่ซั่วหยางเพื่อพึ่งพาตระกูลบรรพบุรุษแน่ๆ
ไม่ว่าภายภาคหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงจะย้ายกลับไปที่ซั่วหยาง หรือขอรับบุตรบุญธรรมจากตระกูลบรรพบุรุษ อย่างไรจวนเจิ้นกั๋วกงก็ต้องอ้อนวอนขอร้องตระกูลบรรพบุรุษอยู่ดี พวกเขาสามารถใช้โอกาสนี้อ้างว่าต้องการซื้อที่ดินแจกจ่ายคนในตระกูล ต้องการซ่อมแซมหอบรรพชน สุสานบรรพชน สร้างสำนักศึกษาและเชิญปรมาจารย์มาสอนเพื่อหลอกเอาเงินมาจากจวนเจิ้นกั๋วกง
ต่งซื่อซึ่งเป็นนายหญิงใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นคนฉลาด รู้ว่าภายภาคหน้าต้องพึ่งพาบารมีของตระกูลบรรพบุรุษเพื่อคุ้มครองตนเองย่อมต้องให้เงินมาอย่างแน่นอน
ก่อนไป๋ฉีอวิ๋นมาถึงจวนเจิ้นกั๋วกง ผู้ดูแลอูยังกำชับเขาอีกว่าขณะกล่าวต้องวางมาดเข้าไว้ อย่างไรเสียภายภาคหน้าสตรีตระกูลไป๋ก็ต้องพึ่งพาตระกูลบรรพบุรุษอยู่ดี เขาต้องอาศัยจังหวะที่สตรีหม้ายเหล่านี้ยังอยู่ในเมืองหลวงข่มขู่พวกนางเสียก่อน เมื่อพวกนางย้ายกลับไปซั่วหยางจึงจะแสวงหาผลประโยชน์จากต่งซื่อได้อย่างง่ายดาย
ไป๋ฉีอวิ๋นรู้สึกว่าคำกล่าวของผู้ดูแลอูมีเหตุผล อีกทั้งรู้สึกโกรธแค้นเป็นทุนเดิม วาจาที่กล่าวออกไปจึงฟังดูยโสโอหังมาก
ไป๋ชิงเหยียนซึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปกล่าวกับชุนเถา “ไปตามคุณหนูสามและคุณหนูสี่ที่เรือนหน้ามา! อย่าให้คุณหนูรองรู้ล่ะ…”
ชุนเถาพยักหน้าเตรียมเดินจากไปทว่าโดนไป๋ชิงเหยียนรั้งไว้เสียก่อน หญิงสาวกระซิบที่ข้างหูชุนเถาเสียงแผ่วเบา “เจ้าให้ญาติผู้พี่ของเจ้าขี่ม้าเร็วไปยังจวนเซียวเพื่อขอเข้าพบเซียวหรงเหยี่ยน บอกเซียวหรงเหยี่ยนว่าข้าขอยืมใช้ชื่อเสียงพ่อค้าอันดับหนึ่งในใต้หล้าของเขาสักหน่อย เขาจะไม่สูญเสียสิ่งใดเลย หากเขายินดีช่วยเหลือ ไป๋ชิงเหยียนจะรู้สึกซาบซึ้งใจมาก”
“เจ้าค่ะ” ชุนเถารับคำจากนั้นวิ่งไปทางห้องโถงทำพิธีบริเวณด้านหน้า
เหตุผลที่ให้เฉินชิ่งเซิงเป็นคนไปหาเซียวหรงเหยี่ยนก็เพราะเขาเป็นคนส่งจดหมายฉบับนั้นให้เซียวหรงเหยี่ยน ไป๋ชิงเหยียนหวังว่าเซียวหรงเหยี่ยนจะเห็นแก่ที่นางเคยส่งจดหมายเตือนเขาในตอนนั้นยอมให้นางยืมใช้ชื่อเสียงของเขาสักครั้ง
ถงหมัวมัวเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวว่าไม่ต้องตามคุณหนูรองมา นางก็รู้ได้ทันทีว่าคุณหนูมีแผนการบางอย่างที่อาจกระทบถึงชื่อเสียง นางขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล “คุณหนูใหญ่มีสิ่งใดจะสั่งหรือไม่เจ้าคะ ท่านสั่งให้บ่าวไปจัดการได้เลยนะเจ้าคะ คุณหนูใหญ่ คุณหนูสามและคุณหนูสี่ล้วนเป็นสตรีตระกูลสูงศักดิ์ เรื่องบางเรื่องอย่าลดตัวไปแปดเปื้อนเลยนะเจ้าคะ…”
“บีบให้ฮ่องเต้ประหารซิ่นอ๋องข้ายังทำมาแล้วเลย เหตุใดต้องกังวลเรื่องชื่อเสียงอีกเล่า” หญิงสาวกล่าวกับถงหมัวมัวยิ้มๆ “หมัวมัวมิต้องกังวลหรอก ข้ารู้ขอบเขตดี”
ในห้องโถงรับรอง ไป๋ฉีอวิ๋นตบโต๊ะยืนขึ้นอย่างโมโหพลางกล่าว “องค์หญิงใหญ่อาศัยอยู่ในเรือนหลังของจวนเจิ้นกั๋วกง เจ้า…เจ้าไม่ให้บ่าวรับใช้นำทาง ข้าจะไปพบองค์หญิงใหญ่ได้อย่างไรกัน!”
ต่งซื่อวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างแรง ดวงตาคมกริบมองไปยังไป๋ฉีอวิ๋น กล่าวเสียงเย็น “ที่แท้ท่านก็รู้นี่ว่าที่นี่คือจวนเจิ้นกั๋วกง! รู้ด้วยว่าข้าคือนายหญิงใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกง! วันนี้ข้าขอกล่าวไว้ตรงนี้ หากคนของตระกูลไป๋จากซั่วหยางอย่างพวกท่านมาที่นี่เพื่อเคารพศพ จวนเจิ้นกั๋วกงยินดีต้อนรับ ทว่า หากพวกท่านมาเพื่อขอเงินก็จงรอให้พิธีศพเสร็จสิ้นลงก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน! หากพวกท่านรอไม่ไหวก็เชิญกลับซั่วหยางไปเดี๋ยวนี้เลย หรือไม่ก็ให้ชาวบ้านที่อยู่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงช่วยกันตัดสิน! ให้พวกเขาได้รับรู้ว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่ซั่วหยางมีความคิดที่ชั่วช้าเพียงใด เห็นแก่ตัวเพียงใดในวันที่ตระกูลไป๋ของข้าเผชิญกับปัญหาใหญ่เช่นนี้”
“เจ้า!” ไป๋ฉีอวิ๋นโมโหจนหน้าแดง ผุดลุกขึ้นยืนชี้หน้าต่งซื่อ
พริบตาเดียว บรรยากาศภายในห้องโถงรับรองตึงเครียดขึ้นมาทันที
ฉินหมัวมัวซึ่งยืนอยู่ข้างกายของต่งซื่อเชิดหน้าขึ้น หรี่ตายิ้มหวานอย่างมีเมตตาพลางกล่าวขึ้น “ท่านชาย ข้าขอเตือนให้ท่านลดนิ้วลงดีกว่านะเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อของข้าเป็นถึงฮูหยินเก้ามิ่งขั้นที่หนึ่ง หากท่านเสียมารยาทกับฮูหยิน ท่านต้องติดคุกนะเจ้าคะ! อีกอย่างจวนเจิ้นกั๋วกงของเราเป็นตระกูลนักรบ บ่าวรับใช้ล้วนเลือดร้อน หากพวกเขาเห็นว่าท่านชี้นิ้วใส่นายหญิงใหญ่แล้วเกิดวู่วามขึ้นมา เกรงว่านิ้วมือของท่านคงจะรักษาไว้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
ไป๋ฉีอวิ๋นโดนฉินหมัวมัวข่มขู่เช่นนี้ นิ้วที่เดิมทีชี้ไปยังต่งซื่อค่อยๆ ลดลง จากนั้นสะบัดชายเสื้อแล้วไขว้มือไว้ทางด้านหลัง เชิดหน้ามองไปทางต่งซื่อ กล่าวขึ้นอย่างโอหัง “ต่งซื่อ เจ้าจงคิดให้ดี ลูกอนุของท่านชายรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเก็บสัมภาระหลบหนีเอาตัวรอดไปแล้ว! ตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงไร้ผู้สืบทอด สตรีอย่างพวกเจ้าต้องกลับไปที่ซั่วหยาง ต้องการการปกป้องคุ้มครองจากตระกูลบรรพบุรุษ หากเจ้าบ่ายเบี่ยงเรื่องของตระกูลบรรพบุรุษเช่นนี้เท่ากับเป็นการตัดหนทางการมีชีวิตรอดของตัวเอง!”
ไป๋จิ่นถงและไป๋จิ่นจื้อได้ยินชุนเถามารายงานจึงหาข้ออ้างแอบหลบออกมาจากพิธีศพ ทั้งสองคนยังไม่ทันได้เอ่ยคุยกับไป๋ชิงเหยียนก็ได้ยินเสียงตวาดแหลมของไป๋ฉีอวิ๋นดังมาจากด้านใน
ไป๋จิ่นจื้อเดือดดาลในทันที ก้าวเท้าเตรียมพุ่งเข้าไปด้านใน ทว่า เดินไปได้สองก้าวก็หยุดลง นางพยายามระงับความโกรธของตัวเอง กัดฟันหมุนตัวกลับ
เห็นพี่หญิงใหญ่และพี่หญิงสามมองมายังนาง ก็รู้ทันทีว่าตัวเองเกือบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนก่อเรื่องขึ้นอีกครั้ง ใบหูของหญิงสาวแดงเถือก เดินกลับมาพลางเอ่ยถาม “พี่หญิงใหญ่ต้องการให้จิ่นจื้อกับพี่หญิงสามทำสิ่งใดเจ้าคะ!”