ตอนที่ 170 ประกาศิต
“ขอ…ขอเวลาเราคิดสักหน่อย” รัชทายาทขมวดคิ้วแน่น ปวดศีรษะเป็นอย่างมาก
ที่จริงนางรู้ดีแก่ใจว่าแม้นางจะเป็นทายาทของตระกูลไป๋ เป็นหลานสาวคนโตของเจิ้นกั๋วกง ไป๋เวยถิง เป็นคนที่เคยตัดศีรษะของแม่ทัพใหญ่แคว้นศัตรู ทว่า รัชทายาทและแม่ทัพคนอื่นๆ ต้องคิดว่าต่อให้นางจะเก่งกาจสักเพียงใด เวลาออกรบก็คงได้แต่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ใหญ่เท่านั้น
ดังนั้นครั้งนี้รัชทายาทคงไม่เชื่อในสิ่งที่นางกล่าว
ที่นางเก็บงำความกังวลและความหวาดระแวงในตัวกองทัพซีเหลียงไว้ในใจจนถึงเมืองหวั่นผิงแล้วค่อยให้รัชทายาทเชิญเหล่าแม่ทัพมาร่วมปรึกษาหารือกัน เป้าหมายที่แท้จริงของนางคือ…
ประการแรก นางต้องการให้รัชทายาทและบรรดาแม่ทัพเห็นถึงความสามารถของนาง ภายภาคหน้าถ้อยคำของนางจึงจะเป็นประกาศิตในกองทัพนี้!
ประการที่สอง นางไม่ต้องการปล่อยให้รัชทายาทและบรรดาแม่ทัพมีเวลาเตรียมตัวรับมือล่วงหน้า เมื่อออกรบในวันพรุ่งนี้นางจะได้หาโอกาสไปพบกองทัพไป๋สักครั้ง
ประการที่สาม เพื่อค่ายหู่อิงของกองทัพไป๋ที่อาจอยู่ในเมืองหวั่นผิง
ค่ายหู่อิงแห่งกองทัพไป๋เป็นกองทัพทหารม้าที่ถนัดโจมตีบนภูเขา พวกเขาสามารถไต่ขึ้นลงหน้าผาด้วยเชือกราวกับเหยี่ยวที่บินโฉบไปมา พวกเขากล้าหาญและแข็งแกร่งจนได้สมญานามว่าค่ายหู่อิง[1]
ที่นางรู้ว่าค่ายหู่อิงยังอยู่เพราะชาติที่แล้วที่นางติดตามรับใช้เหลียงอ๋อง นางได้ยินหลิวฮ่วนจางกล่าวว่าเขามีกองทัพแกร่งสองกอง ได้รับสมญานามว่ากองทัพเทียนเจี้ยง แม้นางจะไม่เคยพบมาก่อน ทว่า สัญลักษณ์ของกองทัพสองกองนั้นคือสัญลักษณ์ของค่ายหู่อิง
ค่ายหู่อิงเป็นกองกำลังที่ไป๋ฉีจิ่ง ท่านอาห้าของไป๋ชิงเหยียนเป็นคนสร้างขึ้นมา เป็นกองกำลังที่ถนัดรบบนภูเขาและที่ราบสูง ในบันทึกสถานการณ์รบกล่าวว่าท่านปู่สั่งให้ท่านอาห้าไป๋ฉีจิ่งนำกำลังทหารสองหมื่นนายอ้อมอำเภอเฟิงไปลอบโจมตีค่ายทหารของซีเหลียง ด้วยนิสัยที่สุขุมรอบคอบของท่านอาห้า เขาไม่มีทางนำกองกำลังทั้งหมดของค่ายหู่อิงไปอย่างแน่นอน
หากค่ายหู่อิงยังอยู่ ไป๋ชิงเหยียนเดาว่าหากไม่ได้อยู่ที่เมืองเวิ่งก็ต้องอยู่ที่เมืองหวั่นผิงซึ่งนางอยู่ในขณะนี้
นางรู้ดีว่าการเดินทางมาหนานเจียงในครั้งนี้ รัชทายาทต้องใช้นางแต่ต้องคอยระวังนางด้วยเช่นเดียวกัน หากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ เขาไม่มีทางให้นางใช้กองทัพไป๋เด็ดขาด
ทว่า หากวันนี้รัชทายาทไม่ใช้แผนการของนาง พรุ่งนี้เมื่อข่าวการรบที่เมืองเวิ่งส่งกลับมา รัชทายาทรับรู้ว่ามีกำดักซุ่มอยู่ที่เส้นทางขึ้นยอดเขาจิ่วชวีจริงๆ…
เมื่อถึงเวลานั้น ฃสถานการณ์รบเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ รัชทายาทไม่มีเวลาใคร่ครวญ สถานการณ์รบที่เมืองเวิ่งบีบบังคับ รัชทายาทต้องใช้นาง หรือไม่ก็ต้องยอมสูญเสียเมืองเวิ่งไป
ทว่า รัชทายาทแพ้ไม่ได้!
หญิงสาวพยักหน้าอย่างสงบ แสร้งทำเป็นโน้มน้าว
“องค์ชาย เราจะรอช้าไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรีบตัดสินพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ทุกท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เราขอเวลาคิดสักหน่อย!” รัชทายาทกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากจวนว่าราชการ เห็นเมืองหวั่นผิงถูกปกคลุมไปด้วยพระจันทร์ในคืนหนาวเหน็บแล้ว นอกจากแสงจากโคมไฟดวงใหญ่สองดวงที่หน้าจวนว่าราชการแล้ว มีเพียงแสงไฟจากร้านค้าสองสามร้านเท่านั้นที่ยังส่องสว่างอยู่
“พี่หญิงใหญ่” ไป๋จิ่นจื้อถลาเข้าไปหา “หารือกันเรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ องค์รัชทายาทสั่งให้ออกรบหรือไม่เจ้าคะ!”
ไป๋ชิงเหยียนส่ายหน้า
“รัชทายาทให้พี่หญิงใหญ่มาช่วยวางแผนการรบไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจึงไม่เชื่อพี่หญิงใหญ่เล่าเจ้าคะ!” ไป๋จิ่นจื้อร้อนรน “เราจะปล่อยให้กองทัพไป๋ที่เหลืออยู่หนึ่งหมื่นนายสุดท้ายในเมืองเวิ่งเป็นอันใดไปไม่ได้นะเจ้าคะ! ในเมื่อพี่หญิงใหญ่คิดว่าค่ายหู่อิงอาจอยู่ในเมืองหวั่นผิง มิสู้…”
“คุณชายไป๋!” จางตวนรุ่ยรีบตามออกมา เขาทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นจื้อรีบหยุดคำกล่าวของตัวเองในทันทีแล้วถอยหลังไปยืนอยู่กับเซียวรั่วไห่
จางตวนรุ่ยกล่าว “คืนนี้องค์รัชทายาทคงไม่ใช้แผนการที่คุณชายไป๋เสนอมา ทว่า เดี๋ยวข้าจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมพระองค์อีกครั้ง แต่หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป คุณชายไป๋มีแผนรับมืออีกหรือไม่ขอรับ!”
ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพกลับ จากนั้นยืดกายตรงพลางกล่าว
“หากท่านแม่ทัพจางบอกเหยียนมาตามตรงว่าค่ายหู่อิงอยู่ที่ใด บางที่เหยียนอาจมีแผนรับมือขอรับ”
เมื่อไป๋จิ่นจื้อได้ยินคำว่า ‘ค่ายหู่อิง’ สามคำนี้ นางมองไปทางแม่ทัพจางตวนรุ่ยด้วยแววตาที่เป็นประกายในทันที ใจเต้นรัว
จางตวนรุ่ยขยับริมฝีปากเล็กน้อย
ก่อนเดินทางมาที่นี่ จางตวนรุ่ยและรัชทายาทถูกเรียกตัวไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงกำชับอย่างแน่นหนาว่าอนุญาตให้ไป๋ชิงเหยียนวางแผนการรบได้ แต่ห้ามไป๋ชิงเหยียนเจอกับกองทัพไป๋เด็ดขาด
บัดนี้ ค่ายหู่อิงสูญเสียกองกำลังไปเกินครึ่ง เหลืออยู่ไม่ถึงสองร้อยคนเท่านั้น
วิธีการฝึกฝนของค่ายหู่อิงแห่งกองทัพไป๋มีเพียงท่านชายห้าไป๋ฉีจิ่งเป็นผู้ดูแลเพียงคนเดียวตลอดมา ผู้อื่นไม่รู้วิธีฝึกนี้แต่อย่างใด พระประสงค์ของฮ่องเต้คือไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ต้องปกป้องค่ายหู่อิง และค้นหาวิธีการฝึกฝนของค่ายนี้มาให้ได้ ภายภาคหน้าคนเหล่านี้จะได้ช่วยฝึกฝนทหารกล้าที่มีฝีมือดังเช่นทหารของค่ายหู่อิงออกมาอีกมากมาย
มองสบกับดวงตานิ่งขรึมของไป๋ชิงเหยียน จางตวนรุ่ยลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเขาเลือกที่จะส่ายหน้า
“ไม่ทราบขอรับ”
จางตวนรุ่ยไม่บอก ไป๋ชิงเหยียนก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีค้นหา
ตระกูลไป๋เป็นผู้ก่อตั้งกองทัพไป๋ พวกนางมีวิธีติดต่อกันอย่างลับๆ โดยที่ผู้อื่นไม่มีทางล่วงรู้
ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพจางตวนรุ่ย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ทัพจางได้โปรดช่วยโน้มน้าวองค์รัชทายาทด้วยนะขอรับ”
ไป๋จิ่นจื้อข่มโทสะไว้ในใจ นางอดกลั้นจนกระทั่งเดินกลับไปถึงห้องพร้อมกับไป๋ชิงเหยียน และปิดประตูห้องลงจึงเริ่มเอ่ยขึ้น
“พี่หญิงใหญ่ ลองใช้วิธีส่งสัญญาณกู่เซ่า[2]ของกองทัพไป๋ดูเถิดเจ้าค่ะ บางทีเราอาจเจอค่ายหู่อิงก็ได้นะเจ้าคะ!”
ค่ายทหารของกองทัพไป๋ แต่ละค่ายจะมีสิบคนที่รู้เรื่องกู่เซ่าและทำหน้าที่ส่งข่าวลับ
วิธีนี้มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูรู้ว่าเราจะเปลี่ยนตำแหน่งทัพในขณะสู้รบในสนามรบ ผู้ที่ไม่ได้มีหน้าที่ส่งสัญญาณด้วยกู่เซ่าจะไม่มีทางเข้าใจความหมายเด็ดขาด เป็นวิธีที่เป็นความลับยิ่งกว่าการใช้ธงส่งสัญญาณ ทว่า หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ กองทัพไป๋จะไม่ใช้วิธีเป่ากู่เซ่าเด็ดขาด
“เจ้าไปติดต่อ ไม่ต้องพบหน้ากัน!” ไป๋ชิงเหยียนรอคอยให้ถึงวันพรุ่งนี้โดยเร็ว หญิงสาวเปิดหีบไม้ที่บรรจุโล่เงินออก “แค่ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าค่ายหู่อิงอยู่ที่เมืองหวั่นผิงหรือไม่เท่านั้น ระวังตัวให้ดีนะ!”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อเดินออกไปนอกห้องอย่างกระตือรือร้น
ไป๋จิ่นจื้อคาบกู่เซ่าไว้ในปาก ถือโคมไฟออกไปเดินเล่นในเมืองหวั่นผิงท่ามกลางแสงจันทร์ยามค่ำคืน สาวน้อยเป่ากู่เซ่าเล่นเป็นระยะๆ ราวกับเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสา
เถ้าแก่โรงเหล้าซึ่งตั้งอยู่มุมถนนกำลังจะปิดประตูร้าน เขามองเห็นเด็กสาวอย่างไป๋จิ่นจื้อเดินเล่นบนถนนอยู่ตามลำพังจึงตะโกนเตือน
“แม่หนู รีบกลับไปเถิด! เมืองหวั่นผิงไม่เหมือนยามปกติแล้ว อย่ามาเดินเล่นอยู่ตามลำพังเช่นนี้เลย ระวังโดนลักพาตัวไปนะ!”
ไป๋จิ่นจื้อหันไปมอง เข้าไปสืบข่าวจากเถ้าแก่เล็กน้อยจากนั้นทำความเคารพเขา
ผ่านไปไม่นาน ไป๋จิ่นจื้อซื้อเหล้ามาจากเถ้าแก่โรงเหล้าหนึ่งไห เมื่อเดินออกจากโรงเหล้าก็จิบไปหนึ่งอึก ร้อนคอจนต้องแลบลิ้นออกมา
ไป๋จิ่นจื้อพาดเชือกผูกไหเหล้าไว้ที่บ่า เป่ากู่เซิ่งพลางเดินกลับไปยังที่พักอย่างเอื่อยๆ
ขณะเดินอยู่ ไป๋จิ่นจื้อได้ยินเสียงกู่เซ่าดังขึ้นอย่างสั้นๆ หญิงสาวลำคอตีบตัน ก้าวเดินต่อไปโดยไม่ได้ชะงักฝีเท้า เป่ากู่เซ่าขึ้นอีกครั้ง
“ค่ายหู่อิงอยู่หรือไม่”
เสียงกู่เซ่าดังตอบ “อยู่!”
ไป๋จิ่นจื้อถามอีกครั้ง “เหลือกี่คน”
เสียงกู่เซ่าดังตอบ “หนึ่งร้อยหกสิบสามคน”
ดวงตาของไป๋จิ่นจื้อเป็นประกาย เป่าว่า “รอฟังคำสั่ง” จากนั้นเสียงกู่เซ่าก็กลายเป็นเสียงเพี้ยนๆ และหายไปพร้อมกับไป๋จิ่นจื้อ
ขณะที่ไป๋จิ่นจื้อเดินกลับถึงยังที่พักอย่างอารมณ์ดีก็บังเอิญพบกับเซียวหรงเหยี่ยนที่กลับมาจากการเล่นหมากล้อมกับรัชทายาทที่จวนจวิ้นโส่ว
เมื่อเห็นเซียวหรงเหยี่ยนที่ดูสุขุมและสง่างามกำลังมาจากรถม้า ไป๋จิ่นจื้ออารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ดึงกู่เซ่าออกจากปากพลางตะโกนเรียกเซียวหรงเหยี่ยน “เซียวเซียนเซิง!”
เซียวหรงเหยี่ยนหันไปมองก็เห็นไป๋จิ่นจื้อวิ่งตรงมาหาเขา ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ไป๋จิ่นจื้อเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวหรงเหยี่ยน เอ่ยถามยิ้มๆ
“เซียวเซียนเซิงกลับมาจากที่พักขององค์รัชทายาทหรือเจ้าคะ”
“ขอรับ!” เซียวหรงเหยี่ยนกล่าวจบก็หมุนตัวยื่นมือไปทางองครักษ์
องครักษ์รีบวางกล่องอาหารสีดำลงบนมือของเซียวหรงเหยี่ยน ชายหนุ่มรับกล่องอาหารแล้วยื่นให้ไป๋จิ่นจื้อด้วยตัวเอง
“นี่คือของว่างที่องค์รัชทายาททรงมอบให้ ค่อนข้างหวาน ท่านน่าจะชอบ!”
———————————————
[1] ค่ายหู่อิง แปลตามตัวอักษร หู่ หมายถึงเสือ อิง หมายถึงเหยี่ยว
[2] กู่เซ่า เป็นเครื่องส่งสัญญาณลับ มีลักษณะคล้ายขลุ่ย ส่วนใหญ่มักทำมาจากกระดูกสัตว์ สามารถนำมาเป่าบรรเลงเป็นเพลงง่ายๆ ได้