ในตอนนั้นเองมันรู้สึกได้ถึงพลังที่มีแรงกดดันขุมหนึ่ง ติดตามพวกมันเข้ามาในเขตทะเลทราย
ตลอดการเดินทางเจอะเจอตัวประหลาดมาไม่น้อย ภูติผีปีศาจที่ได้พบเจอยังมากกว่าที่งูอย่างมันเคยเจอมาชั่วชีวิตเสียอีก
แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกงูเขียวยักษ์ตัวหนึ่งหมายหัวเข้าแล้ว
มันสงสารตนเองจริงๆ มันไม่เคยทำสิ่งเลวร้ายใดๆ เลยแท้ๆ
บนพื้นที่ระหว่างทะเลทรายและป่าทึบของหนานเจียง ชือหลียังคงแขวนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ นางกวาดหางของตนเองช้าๆ ครุ่นคิดถึงก้อนกรวดก้อนหนึ่ง
สมองของนางจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน ถึงได้ยื่นมือไปช่วยเหลือเจ้าเด็กขนอ่อนอย่างตู๋กูเจวี๋ยขึ้นมา
นางเป็นเทพธิดาพิทักษ์แม่น้ำลี่เหอ นอกจากรักษาความสงบสุขตลอดริมฝั่งน้ำแล้ว เรื่องของพวกมนุษย์หากไม่ต้องยุ่งเกี่ยวได้ย่อมไม่ไปยุ่งเกี่ยว จะเป็นหรือตายล้วนแล้วแต่ชะตาชีวิต นางสมควรจะปล่อยวางอยู่ด้านข้าง [1]
คิดถึงตรงนี้ ชือหลีก็เขวี้ยงก้อนหินในมือทิ้งไป ในใจลอบสาบานกับตนเอง หากครั้งหน้าพบเห็นตู๋กูเจวี๋ยตกอยู่ในอันตราย จะไม่ยื่นมือช่วยเหลือเขาอีกแล้ว
จะทำตัวเป็นอากาศธาตุ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
แคว้นเซอปี่ซือรึ หลายปีก่อนนางเคยไปเยือนมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นแผ่นดินยังมิได้ถูกทำลาย ทั่วทั้งดินแดนมีภูเขารายล้อม ยามนี้กาลเวลาผันผ่าน ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนไปแล้ว [2] ภูเขาสูงกลายเป็นผืนทราย
ทุกที่เปี่ยมไปด้วยอันตราย อันตรายมากมายกว่าที่พวกเขาคาดคิดนัก
เพียงแต่ในเมื่อมีตู๋กูซิงหลันอยู่ ตู๋กูเจวี๋ยก็คงจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก
ที่นางช่วยคุ้มครองมาตลอดทางก็ถือว่ามากพอแล้ว
ภายในกระโจม ปลายนิ้วของตู๋กูเจวี๋ยยังคงลูบไล้หัวของเจ้างูเขียวน้อยอยู่ มีแววประหลาดใจ คอยมองออกไปข้างนอกอยู่ตลอด เขาก็เลยมองตามมันออกไป
สายลมในทะเลทรายหยุดลงแล้ว ทั่วทั้งทะเลทรายตกอยู่ในความเวิ้งว้าง แม้แต่ป่าทึบของหนานเจียงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็ดูจะสงบเงียบลงไปหลายส่วน
ยามที่กวาดตามองออกไป ก็คล้ายจะได้เห็นอะไรสีเขียวๆ ที่ดูคุ้นเคย
ภายใต้ประกายระยับวับวาวของแสงดาวที่ทอดลงมา ดูไปคล้ายดั่งจะเป็นสิ่งที่อยู่ในภาพวาด
ตู๋กูเจวี๋ยตกตะลึงไป เขานวดตาของตนเอง พอมองดูอีกครั้งก็ไม่เห็นอะไรแล้ว
เขาคงจะเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป ถึงกับเกิดอาการตาฝาด
ชือหลีย่อมต้องอยู่ที่ลี่โจวอย่างสุขสบาย จะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
เขาจะต้องนอนพักผ่อนเสียหน่อยแล้ว จะได้ไม่ก่อปัญหาให้น้องเล็ก
……………………….
ในกระโจมอีกหลังหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนยังคงนอนดูดาวเคียงข้างกัน
อาจเป็นเพราะการเดินทางไกลสร้างความเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป อีกทั้งตอนนี้มีตู๋กูซิงหลันอยู่ข้างกาย จีเฉวียนถึงได้สงบใจลงได้เป็นพิเศษ พอถึงครึ่งคืนหลังก็หลับสนิทไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันพลิกตัวกลับมา ก็พอดีมองเห็นสีหน้ายามหลับสนิทของเขา
ประกายจากแสงดาวทอทาบลงบนใบหน้าของเขา ดวงพักตร์ที่เกิดมาก็งดงามอย่างที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งคล้ายดั่งงานแกะสลักชั้นเลิศขึ้นไปอีก
บุรุษผู้นี้ ชาติก่อนทำบุญเอาไว้มากมายเพียงไรกัน ชาตินี้ถึงได้เกิดมามีรูปลักษณ์ที่ลำเลิศเช่นนี้
ตู๋กูซิงหลันอดที่จะถอนใจออกมาไม่ได้ นางซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม สองตาจดจ้องมองดูจีเฉวียนเนิ่นนาน
กระทั่งเมื่อด้านนอกกระโจมมีเงาหลายเงาไหววูบ ตู๋กูซิงหลันถึงได้ละสายตาออกจากเรือนร่างของจีเฉวียน
นางลุกขึ้นมานั่งเอนๆ หรี่ดวงตาดอกท้อมองออกไป ในขณะเดียวกันในมือก็เพิ่มยันต์สีเหลืองขึ้นมาใบหนึ่ง
“กี้ กี้ กี้…..” เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่น่าหวาดผวาลอยมาจากด้านนอก ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดของทะเลทรายฟังดูแล้วหลอกหลอนกว่าเดิม
เสียงหัวเราะแบบนี้นางจำได้ เป็นของพวกปีศาจไร้หน้าเหล่านั้น
พวกมันกลับมาแล้วหรือ?
“ยกให้เจ้า” ตู๋กูซิงหลันกวาดตาไปมองวิญญาณทมิฬที่ทำตัวเป็นแม่ไก่ฟักไข่อยู่ด้านข้าง
ทันทีที่วิญญาณทมิฬได้รับบัญชา เสียงลมเคลื่อนวูบหนึ่งมันก็พุ่งออกไปแล้ว
ดวงตาของมันเปล่งประกายท่ามกลางสายลม สำหรับมันแล้ว ปีศาจไร้หน้าพวกนี้ถือเป็นของบำรุงชั้นยอด หากว่าสามารถกลืนกินได้สักหลายตัว สำหรับมันนับว่าเป็นการดีที่สุด
พอวิญญาณทมิฬพุ่งออกไป เหล่าปีศาจไร้หน้าก็พากันกระเจิงเป็นไก่ตื่น ไม่มีตนใดกล้าเผชิญหน้ากับมันเสียด้วยซ้ำ
ในโลกโน้นก่อนตาย มันเคยกลืนกินปีศาจไร้หน้าไปหลายสิบตัวแล้ว ตอนนี้พอคิดย้อนกลับไปคล้ายว่าจะจำรสชาติไม่ได้เสียแล้ว
มันพุ่งออกไปด้วยความเร็วประหนึ่งสายลม
ปีศาจไร้หน้าเหล่านั้นมีฝีมือไม่เลว ส่งเสียงร้องกี้กี้ออกมาก็มุดลงไปในผืนทราย จากนั้นก็โผล่ขึ้นมาในพื้นที่ที่ไกลออกไป ล่อวิญญาณทมิฬให้ไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง
การเดินทางไปแคว้นเซอปี่ซือรอบนี้ มันจะต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดไปปกป้องตู๋กูซิงหลัน
ดังนั้นการแข็งแกร่งขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
เพียงครู่เดียว พวกมันก็ไกลออกไปจากจุดที่ตู๋กูซิงหลันอยู่
ในกระโจม ตู๋กูซิงหลันยังคงนั่งอยู่เช่นเดิม ทันทีที่ปีศาจไร้หน้าพวกนั้นหายไป ก็มีพลังไอหยินที่แข็งแกร่งขุมหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้
ที่ด้านนอกของกระโจม ปรากฏเงาของคนผู้หนึ่ง
เพียงครู่เดียวเงาของคนผู้นั้นก็ยื่นมือออกมา คิดจะแง้มกระโจมขึ้น
ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่สัมผัสถูกผ้ากระโจม ก็ร้อนลวกขึ้นมา จนต้องถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว
เขายืนอยู่นอกกระโจมครู่หนึ่งพลางส่งเสียงขุ่นเคืองออกมาเบาๆ ตู๋กูซิงหลันไม่อาจมองเห็นหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน แต่นางรู้สึกได้ว่าที่ด้านนอกมีสายตาคู่หนึ่งจดจ้องพวกนางอยู่
ใช้ปีศาจไร้หน้ามาหลอกล่อวิญญาณทมิฬออกไป จากนั้นก็มายังกระโจม คิดจะจัดการกับนางและจีเฉวียนพร้อมกัน?
ประเด็นสำคัญคือ ….คนผู้นี้รู้ว่าข้างกายนางมีวิญญาณสัตว์อสูรที่ ‘โหดเ**้ยม’ ตัวหนึ่ง ข้อนี้ทำให้ตู๋กูซิงหลันต้องคาดเดาไปต่างๆ นานา
นางมิได้เคลื่อนไหวโดยพละการ เพียงกำยันต์ในมือเอาไว้แน่น จากนั้นก็ซุกตัวเข้าหาจีเฉวียน
ที่ด้านนอกกระโจม คนผู้นั้นมองดูปลายนิ้วที่ถูกแผดเผาจนเกิดบาดแผล ก็หรี่ตาทั้งสองลงน้อยๆ
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ที่ด้านนอกกระโจมจะลงอาคมที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เอาไว้
เกรงว่าหากมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของกระโจม มิว่าจะเป็นภูติผีปีศาจหรือสัตว์ประหลาดใดๆ ก็คงไม่อาจเข้าไปข้างในได้
เขาหรี่ตาลง จ้องมองแสงจางๆ ที่คลุมอยู่ด้านนอกกระโจม ประกายตาก็เย็นยะเยือกกว่าเดิม
คนผู้นั้นถึงกับลงทุนพิทักษ์นางจนถึงขั้นนี้
ตลอดทางมานี้ แม้แต่โอกาสจะลงมือสักนิดก็ยังไม่มี
เขาขยับตัวเบาๆ ก็เกิดไอสีดำบางๆ ขึ้นมาขุมหนึ่ง คิดจะใช้มันรักษารอยแผลที่ถูกเผาเมื่อครู่
ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในกระโจม สามารถมองเห็นไอสีดำของร่างนั้นได้
ตอนที่พวกนางออกเกิดทางมาจากเมืองหลวง คนผู้นี้ก็ติดตามพวกนางมาแล้ว เพียงแต่เขารักษาความสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว จุดประสงค์ของเขาที่จริงแล้วคือจีเฉวียนหรือว่านาง?
ฉวยโอกาสที่เขาใช้ไอสีดำนั้นฟื้นฟูบาดแผลที่ถูกเผา ยันต์สีเหลืองในมือของตู๋กูซิงหลัน
ก็ถูกเขวี้ยงออกไป
ยันต์สีเหลืองลอดผ่านกระโจม พุ่งเข้าใส่คนผู้นั้นอย่างแม่นยำ
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงเนื้อไหม้ดัง ‘ซี่ซี่ซี่’ ออกมา
แต่เวลานั้นสั้นมาก เพียงแวบเดียวเสียงก็ขาดหายไป
เห็นเพียงคนผู้นั้นยกมือขึ้นมา โบกแขนเสื้อเบาๆ ก็ม้วนเอายันต์สีเหลืองแผ่นนั้นเข้าไปในร่างของตนเอง แล้วทำลายมันเป็นขี้เถ้าต่อหน้าต่อตาของตู๋กูซิงหลัน
“หากไม่มีจีเฉวียนคอยคุ้มครอง เจ้าก็คงจะตายไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเอาไว้อีก?”
เพียงครู่เดียวก็มีเสียงที่ไม่บ่งบอกว่าเป็นชายหรือหญิงลอยเข้ามา
“ก็แค่รู้จักยันต์คาถาอยู่ไม่กี่อย่าง ยังไม่ถึงขั้นใช้เพลิงพิสุทธิ์ได้ยังจะกล้าแสดงความทุเรศออกมาอีก?” เสียงของคนผู้นั้นยิ่งทียิ่งทวีความเหน็บหนาว “เมื่ออยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ ต่อให้ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ช้าเร็วเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี”
เขาหัวเราะเสียงเย็นชา แต่ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้กระโจม แต่กลับถอยหลังไปอีกสองก้าว “จีเฉวียนถูกลิขิตให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เขาอาจคุ้มครองเจ้าได้ชั่วคราว แต่ไม่อาจคุ้มครองเจ้าได้ตลอดชาติ ตู๋กูซิงหลัน จดจำไว้ ชาตินี้เจ้าไม่มีทางจะมีคุณสมบัติที่จะยืนเคียงข้างเขาได้แม้สักนิดเดียว”
——
[1] 袖手旁观 [xiù shǒu páng guān]
[2] 时过境迁 [shí guò jìng qiān]