นางเหลือบตามองดูจีเฉวียนด้วยความระมัดระวัง เกรงว่าเขาจะหันมาตำหนินาง
“กระหม่อมก็ขออยู่กับไทเฮาด้วยพะยะค่ะ” ตู๋กูเจวี๋ยเองก็เข้ามายืนอยู่ข้างๆ น้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าด้านนอกกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งท่านปู่และพี่ใหญ่ก็ไม่อยู่ เขาย่อมต้องทุ่มเทความพยายามปกป้องน้องเล็กเอาไว้ให้ได้
หยวนเฟยและตู๋กูเจวี๋ยประกบอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ทั้งสองขนาบอยู่ด้านข้างราวกับเป็นเทพผู้พิทักษ์ประตู
จีเฉวียนทรงหรี่พระเนตรลง ดึงตัวตู๋กูซิงหลันออกมาจากระหว่างคนทั้งสอง คล้องเอวของนางเอาไว้ให้ยืนข้างพระองค์
“อย่าได้สร้างความยุ่งยากให้นาง” ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เรียกหลงเซียวเข้ามา
“ปกป้องหยวนเฟยและขุนนางอวี้ซื่อให้ดี อย่าได้ทำให้ไทเฮาเป็นกังวล”
หลงเซียวถวายคำนับครั้งหนึ่ง “กระหม่อมรับพระบัญชา”
พอสิ้นเสียง หลงเซียวก็เข้ามาข้างกายหยวนเฟยและตู๋กูเจวี๋ย จับพวกเขาข้างละคนลากถอยออกมาด้านหลัง “โลกของฝ่าบาทและไทเฮาทั้งสองพระองค์ ท่านทั้งสองก็อย่าได้เข้าไปรบกวนเลย”
หยวนเฟยกับตู๋กูเจวี๋ยถึงกับพูดไม่ออก
พอออกจากวังหลวงก็พากันโบยบินเป็นอิสระเลยหรือ? แม้แต่คำว่า โลกของคนทั้งสองก็ยังกล้ากล่าวออกมาได้?
คนที่อุปนิสัยเย็นชาเป็นแท่นน้ำแข็งอย่างหลงเซียว หากมิใช่เพราะว่ามีฝ่าบาทคอยหนุนหลังอยู่ เขาไหนเลยจะกล้าพูดออกมาเช่นนี้?
ตู๋กูเจวี๋ยยิ่งกังวลใจกว่าเดิม ยิ่งทียิ่งเห็นว่าฮ่องเต้ทรงเป็นบุรุษเสเพล น้องเล็กมีหวังต้องถูกเขาขุดหลุมดักทั้งเป็นแน่นอน
เขาสะบัดชายแขนเสื้อ จับตาดูอย่างจริงจังจนดวงตาเปล่งประกายงดงามราวแสงสว่างในฤดูใบไม้ร่วง
ก่อนที่จะออกมาจากเมืองหลวง ที่จริงเขาได้ส่งคนไปแจ้งแก่พี่ใหญ่ที่ชายแดนเป่ยเจียงแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถมาที่นี่ได้ทันหรือไม่
ว่ากันตามจริงแล้ว ตลอดทางมานี้เขารู้สึกจิตใจไม่สงบอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นได้ทุกเมื่อ
การเดินทางของน้องเล็กครั้งนี้ มิใช่ปกติธรรมดา
ตู๋กูเจวี๋ยไม่ทันได้ครุ่นคิดให้มากความ ที่ด้านนอกก็เกิดพายุทรายรุนแรงกว่าเดิม เมฆดำลอยต่ำคล้ายจะหล่นใส่ศีรษะ สร้างความกดดันอย่างรุนแรง
ลมพัดรุนแรงมากจนแทบจะกระชากเอากระโจมของพวกเขาขึ้นมา ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย แต่สายลมที่กรีดผ่านร่องอากาศคล้ายดั่งลมที่ถูกรีดออกมาจากช่องภูเขา ทั้งร้อนระอุทั้งรุนแรงจนทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายตัว
มือของจีเฉวียนที่โอบเอวตู๋กูซิงหลันเอาไว้หลวมๆ เปลี่ยนเป็นรวมแน่นกว่าเดิม ดวงเนตรหงส์กวาดมองออกไปด้านนอก เห็แต่พายุทรายที่หมุนวนขึ้นไปบนท้องฟ้า หลอมรวมกับหมู่เมฆดำ คล้ายกับว่ากำลังกลืนกินผืนฟ้าทั้งหมดเข้าไป
เพียงแค่ครู่เดียว ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มกว่าเดิม เห็นเงาสีดำกลุ่มหนึ่งคลืบคลานอยู่บนท้องฟ้า เริ่มบดบังแสงอาทิตย์ที่เดิมก็อ่อนแรงอยู่แล้วทีละน้อย
อุณหภูมิรอบข้างตกลงอย่างรวดเร็ว รอบด้านมีแต่ความอึมครึมและเหน็บหนาว สายลมโหมอย่างรุนแรง ในอากาศมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นมา จากนั้นผืนทรายพลันเกิดความเคลื่อนไหว สองมือที่แห้งกร้านคู่หนึ่งผุดขึ้นมาจากผืนทราย
มือที่มีแต่ผิวหนังหุ้มกระดูกทำให้คนดูแล้วต้องหวาดผวาเสียยิ่งกว่าโครงกระดูกจริงๆ เสียอีก
“กี้ กี้ กี้ …” เสียงกรีดร้องโหยหวนแหวกออกมาในอากาศ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าระยะทางยังห่างไกล แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนได้ยินอยู่ที่ริมหู
นอกกระโจมมีมือมากมายผุดขึ้นมาเต็มไปหมด มือเหล่านั้นพยายามดึงชายกระโจมเอาไว้ คิดจะยืมแรงเพื่อปีนขึ้นมาจากผืนทราย
ทางหนึ่งป่ายปีนทางหนึ่งก็ส่งเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าสยดสยอง ทั้งยังปนเปกับเสียงร่ำไห้
กระโจมถูกดึงทึ้งจนฉีกขาด หยวนเฟยกับตู๋กูเจวี๋ยที่อยู่ในกระโจมก็พากันหน้าถอดสี
ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนยังคงสงบนิ่ง ทั้งสองมองออกไปที่ด้านนอก ฝ่าบาททรงกุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้โดยไม่ยอมคลายแม้แต่น้อย เขาประทับยืนอยู่ที่เดิม ทอดพระเนตรมองดูสถานการณ์ภายนอก ไม่ได้ขยับพระบาทแม้แต่นิดเดียว
ที่ด้านนอกกระโจม เกิดทรายดูดเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะถูกบดบังมากขึ้นทุกที อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เป็นกลางฤดูร้อนแท้ๆ แต่กลับรู้สึกว่าตกอยู่ในกลางฤดูหนาวที่รุนแรง
ครู่ต่อมา ก็มีศพแห้งมากมายผุดขึ้นมาจากผืนทราย
ใบหน้าของศพแห้งเหล่านั้นมีแต่ความทุกข์ทรมาน ลูกตาที่แห้งผากติดหลังเบ้าตาจนกลายเป็นหลุมดำๆ
แมงป่องดำมากมายนับไม่ถ้วนคลานไปมาอยู่บนศพแห้งเหล่านั้น พวกมันพากันสั่นหางจนเกิดเป็นเสียงดัง ซี่ ซี่ ซี่ออกมา
“สุนัขสวรรค์กลืนกินดวงอาทิตย์ทั้งยังเจอกับศพกลุ้มรุม ตายแน่แล้ว!” ตู๋กูเจวี๋ยล้วงสมุดเล็กๆ ออกมาวาดภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าลงไปอย่างรวดเร็ว
หยวนเฟยถอยไปด้านข้างอีกก้าวหนึ่ง ถึงแม้ว่ายามปกตินางจะมีขวัญกล้า แต่พอได้มาเห็นภาพที่เบื้องหน้า ในใจก็อดที่จะหวาดผวาไม่ได้
นางยังจำได้ว่า ตอนที่ยังเป็นเด็กนั้น เคยได้เห็นสถานที่ที่มีศพคนตายเกลื่อนกลาดมากมาย นางตกใจเสียจนพูดไม่ได้ไปสามวัน พระบิดาของนางต้องเสาะหาหมอผีมาทำพิธีปัดรังควาญถึงสามวันสามคืน นางถึงได้คลายความวิตกลง
พอต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไปติดๆ กัน
เดิมทีคิดว่าฝ่าบาทเพียงพานางกลับมาถิ่นฐานเดิม ถือโอกาสจับแมลงทั้งหลาย คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเผชิญเหตุแบบนี้ ที่มันเท่ากับว่าอุตส่าห์ถ่อมาพันลี้เพื่อตายแท้ๆ
ศพแห้งเหล่านั้นพอผุดขึ้นมาจากผืนทรายได้ก็พากันคืบคลานมาทางพวกเขา
ทันทีที่พวกมันเริ่มเคลื่อนเข้ามา ก็เห็นผ้าคลุมกระโจมเรืองแสงสว่างวาบขึ้นมา แสงนั้นกระจายตัวออกไปทุกทิศทาง ผลักดันศพแห้งเหล่านั้นอยู่เพียงรอบนอก
ในมือของตู๋กูซิงหลันกำแผ่นยันต์เอาไว้ จับตาดูแสงสว่างเหล่านั้น
นี้คือวงแหวนเวทย์? นี่คือสิ่งสกัดกั้นบุรุษชุดม่วงเมื่อคืนนี้
ที่นางถนัดเป็นพิเศษคือคาถาอาคม ส่วนพวกวงแหวนเวทย์นี้ ท่านอาจารย์เชี่ยวชาญที่สุด นางเพียงแต่เรียนรู้มาบ้างบางส่วนเท่านั้น
วงแหวนเวทย์ของจีเฉวียน สามารถสกัดกั้นได้แม้กระทั่งบุรุษชุดม่วงผู้นั้น หากใช้มันสกัดพวกศพแห้งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไร
เช่นนี้ย่อมต้องเกิดคำถามแล้ว วงแหวนเวทย์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่?
ตลอดทางมานี้เห็นแต่เหล่าองครักษ์ลับ ไม่เคยเห็นจีเฉวียนพานักพรตมาด้วยสักคน แม้แต่นักพรตอู้เจินก็มิได้มา
ก่อนหน้านี้ยามอยู่ที่เมืองลี่โจว อย่างน้อยๆ ก็ยังมีพวกนักพรตหนุ่มน้อยหน้ามนอยู่กลุ่มหนึ่ง
นางหรี่ตามองดู เห็นหางคิ้วของจีเฉวียนยังคงเย็นชา ไม่มีทีท่าประหลาดใจใดๆ ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เขาทราบอยู่ก่อนแต่แรกแล้ว
“หากกลัวล่ะก็ มากอดเราเอาไว้” จีเฉวียนหรี่พระเนตรเหลือบมาทางนาง แววตาที่ฉายออกมานั้นอ่อนโยนกว่าเดิม “เราไม่ถือสาหากว่าเจ้าอยากกอด”
ตู๋กูซิงหลันมองดูฝ่ามือใหญ่โตที่โอบอยู่รอบเอวของนาง …คิดๆ ดูแล้วตนเองมีหนทางให้ปฎิเสธที่ไหนกัน?
ที่ถูกกอดอยู่นี่ก็ราวกับว่าทากาวติดกันอยู่แล้วมิใช่หรือ?
เห็นในมือของนางมีแผ่นยันต์อยู่ใบหนึ่ง จีเฉวียนก็ยื่นพระหัตถ์อีกข้างออกมาผลักมันให้นางเก็บกลับไป “ครั้งนี้ ปล่อยทุกสิ่งให้เราเป็นผู้จัดการ สิ่งที่เจ้าปรารถนาเราย่อมต้องนำมามอบให้เจ้า”
ก่อนที่จะออกมาจากเมืองหลวง เขาสั่งให้ซุนต้มยามาเข้าเฝ้าเป็นพิเศษ ทำความเข้าใจเรื่องความชื่นชอบของเด็กสาวทั้งหลาย
ภรรยาของซุนต้มยาคือแม่สื่อของทางการในเมืองหลวง นางเชี่ยวชาญวิธีการจีบสตรีอย่างถ่องแท้
การที่ฝ่าบาทจะซักถามความเข้าใจจากเขาย่อมเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว
คำแนะนำของซุนต้มยาก็คือ ให้พระองค์ทรงแสดงพลังด้านที่ยิ่งใหญ่และฮึกเหิมออกมา ทำให้ตนเองกลายเป็นที่พึ่ง ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความปลอดภัย ทางที่ดีที่สุดคือหาโอกาสแสดงบทบาทวีรบุรุษช่วยหญิงงามให้จงได้ นี่จะทำให้อีกฝ่ายหวั่นไหวได้อย่างแน่นอน
ฝ่าบาททรงครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อยู่ในพระทัย พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอยู่แล้ว การจะทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยนั้นช่างง่ายจนเกินไป
เพียงแต่อุปนิสัยของตู๋กูซิงหลันเองก็เข้มแข็งมากอยู่แล้ว จึงไม่ได้เปิดโอกาสให้พระองค์ได้แสดงฝีมือบ้างเลย
ครั้งนี้ การมาตามหาสมบัติก็ถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การไล่จีบว่าที่ภรรยาต่างหากที่สำคัญที่สุด
จีเฉวียนมองดูใบหน้าที่กลมเป็นซาลาเปาของตู๋กูซิงหลัน ยิ่งมองหัวใจก็ยิ่งหลอมละลาย “เราเป็นถึงประมุขแห่งต้าโจว ทรงศักดิ์สูงส่ง วาจามีค่าประดุจทองคำ สิ่งที่รับปากเจ้าไว้ ย่อมต้องส่งมอบให้เจ้ากับมือ”
——
คุยกันนิดนึง:
พี่เต้: มีความฮึกเหิม องอาจ มาดราชาอย่างที่สุด ตอนหน้าพี่จะแมนๆ ใจถึง พึ่งได้ หลันหลันเกาะเราให้แน่นๆ เข้าไว้ 555