ตอนที่ 203 ความหวังสุดท้าย
ทหารซีเหลียงผู้นั้นข้ามแม่น้ำมาถึงฝั่งตรงข้ามอย่างยากลำบาก เขามองดูไป๋ชิงเหยียนซึ่งสวมเสื้อเกราะมันวาวนั่งอยู่บนหลังม้าศึก อดนึกถึงพี่น้องซีเหลียงที่ถูกไฟคลอกตายอยู่ในหุบเขาเวิ่งขึ้นมาไม่ได้ เขารู้สึกราวกับเห็นปีศาจผู้กระหายเลือดก็ไม่ปาน รีบก้มหน้าลงพลางกล่าวขึ้น “ท่านแม่ทัพใหญ่ของข้าต้องการพบแม่ทัพไป๋ แม่ทัพไป๋เลือกสถานที่นัดพบได้เลยขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ…” ไป๋ชิงเหยียนรับคำอย่างไม่ทุกข์ร้อน เงยหน้ามองไปทางอวิ๋นพั่วสิง “เจ้ากลับไปบอกแม่ทัพใหญ่ของเจ้าว่านัดพบกันบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำจิงนี่แหล่ะ! ข้ามีเรื่องต้องสะสางอีกมากมาย มีเวลาแค่ตอนนี้เท่านั้น หากแม่ทัพใหญ่ของเจ้ายังต้องการเวลาเตรียมตัว เช่นนั้นไว้ค่อยเจอกันในสนามรบก็คงไม่ต่างกันสักเท่าใด”
ไป๋ชิงเหยียนก็กลัวว่าอวิ๋นพั่วสิงจะวางกับดักเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากต้องการเจอก็ควรเจอให้เร็วที่สุด ไม่ปล่อยให้อวิ๋นพั่วสิงได้มีเวลาวางกับดักใดๆ ทั้งสิ้น
ทหารซีเหลียงล่องแพกลับไปยังฝั่งตรงข้าม นำถ้อยคำของไป๋ชิงเหยียนไปรายงานอวิ๋นพั่วสิง
อวิ๋นพั่วสิงใช้แส้ม้าชี้ไปยังบริเวณต้นน้ำ เริ่มขี่ม้าเคลื่อนขบวนไปก่อนล่วงหน้า
ไป๋ชิงเหยียนขยับกาย หันไปสั่งพลทหารม้าต้าจิ้นที่อยู่ทางด้านหลัง “สั่งให้คนกลับไปเอาขนมที่องค์รัชทายาททรงมอบให้ที่ค่ายมากล่องหนึ่ง”
“ขอรับ!”
ไม่นาน ไป๋ชิงเหยียนและอวิ๋นพั่วสิงก็ขี่ม้ามาพบกันตรงบริเวณปากแม่น้ำที่แคบและตื้นมากของแม่น้ำจิง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ อวิ๋นพั่วสิงขี่ม้าผ่านน้ำตื้นข้ามมาหาไป๋ชิงเหยียน
“แม่ทัพไป๋ ข้ามาเจรจาสงบศึก” อวิ๋นพั่วสิงแสดงเจตนารมณ์ของตัวเองอย่างเปิดเผย “ขอแค่แม่ทัพไป๋ยอมมอบศีรษะของลูกชายข้าคืนให้แก่ข้า ต่อจากนี้แคว้นซีเหลียงของข้าจะไม่รุกล้ำเกินเขตแม่น้ำจิงเข้าไปในแคว้นต้าจิ้นอีก พวกเราจะเปิดศึกกันอีกทีในอีกสามปีข้างหน้า”
เป็นดังคาดจริงๆ เมื่ออวิ๋นพั่วสิงมีเสบียงเขาก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น แพ้แล้วยังกล้าเจรจาขอให้แม่น้ำจิงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสองแคว้นอีก
ไป๋ชิงเหยียนไม่โมโหแต่กลับหัวเราะออกมาแทน “ข้าไม่กล้าตัดสินใจเรื่องเจรจาสงบศึก! ทว่า ข้ารู้สึกว่าเจ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก ซีเหลียงของเจ้าร่วมมือกับหนานเยี่ยนบุกโจมตีแคว้นต้าจิ้นของข้า เมื่อพ่ายแพ้กลับทำเป็นเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเช่นนี้ โลกนี้มีเรื่องที่ได้มาอย่างง่ายดายเช่นนี้ด้วยหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด” อวิ๋นพั่วสิงถาม
“ข้ามิได้ต้องการสิ่งใด ทว่า หากซีเหลียงต้องการสงบศึก มันมีวิธีเอาตัวรอดตั้งหลายวิธี…แบ่งดินแดน ชดใช้ความเสียหาย ส่งคนมาเป็นตัวประกัน” ไป๋ชิงเหยียนจ้องไปที่ดวงตาของอวิ๋นพั่วสิงด้วยแววตาเย็นชา “ส่วนศีรษะของลูกชายเจ้า ข้าห้ามไม่ให้ทหารต้าจิ้นนำศีรษะของลูกชายเจ้าไปทำเป็นโถรองฉี่ก็ขัดต่อความรู้สึกในใจข้ามากแล้ว หากอยากได้คืน ไม่มีปัญหา อีกสามปี”
อวิ๋นพั่วสิงโมโหจนสั่นไปทั้งร่าง ขบกรามแน่น “ดูเหมือนว่าแม่ทัพไป๋คงอยากรบต่ออย่างนั้นสินะ เจ้าอย่าลืมว่าทหารซีเหลียงของข้ามีมากกว่าทหารต้าจิ้นของเจ้าไม่รู้ตั้งกี่เท่า!”
“นั่นสินะ เจ้าก็อย่าลืมว่าผู้ใดเป็นคนปล่อยให้คนขี้ขลาดอย่างเจ้ารอดชีวิตไปจากหุบเขาเวิ่ง” สีหน้าของหญิงสาวราบเรียบดุจสายน้ำ ดวงตาส่อแววเย้ยหยันโดยไม่คิดปกปิด “แล้วก็อย่าลืมว่าข้าสังหารทหารซีเหลียงนับแสนของเจ้าจนราบเรียบ ไม่หลงเหลือแม้แต่ผู้เดียวอยู่ในหุบเขาเวิ่งอย่างไรบ้าง!”
“เจ้าช่างเหิมเกริมนัก!” อวิ๋นพั่วสิงเดือดดาลถึงขีดสุด “ข้าแค่ไม่ทันระวังตัว จึงแพ้ไปครั้งหนึ่งเท่านั้น เจ้าคิดว่าเจ้าจะชนะข้าไปเสียทุกครั้งหรืออย่างไร”
“เช่นนั้นเหตุใดสองสามวันมานี้เจ้าจึงไม่ยอมออกมารบเล่า” หญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆ “จริงสิ เจ้าคงไม่มีเสบียงแล้วกระมัง เจ้าคงรอทางซีเหลียงส่งเสบียงมาให้เจ้าอยู่ ข้าขอเดาว่าเสบียงของเจ้าคงลำเลียงผ่านทางหุบเขาหลิงชวนใช่หรือไม่ ที่นั่นมีภูเขาที่สูงชันและอันตรายอยู่ ที่นั่นคือที่ที่เจ้าเคยดักซุ่มโจมตีท่านปู่ของข้า!”
อวิ๋นพั่วสิงเข้าใจความหมายที่ไป๋ชิงเหยียนต้องการจะสื่อในทันที ร่างของเขาแข็งทื่อ ความร้อนใจของเขาส่งผลกระทบต่อม้าที่เขานั่งอยู่ ม้าย่ำเท้าไปมาอย่างอยู่ไม่สุข
“ที่เจ้ากล้ามาหาข้าในวันนี้ กล้าใช้น้ำเสียงโอหังเช่นนี้ขอเจรจาสงบศึกกับข้า เพราะเจ้าคิดว่าเสบียงของเจ้ากำลังจะมาถึงแล้ว เจ้ามีความมั่นใจแล้วจึงกล้ามาเจรจาต่อรองกับข้า ทว่า น่าเสียดายจริงๆ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เสบียงอาหารที่ซีเหลียงส่งมาไปถึงค่ายทหารของเจ้าอย่างแน่นอน” ไป๋ชิงเหยียนยกยิ้มมุมปากบางๆ
อวิ๋นพั่วสิงหันไปส่งสัญญาณให้ทหารของเขารีบไปรายงาน แววตาของเซียวรั่วเจียงขรึมลง ยกมือขึ้น
พลธนูง้างสายธนูสุดแรง เล็งไปยังคนของอวิ๋นพั่วสิง
พริบตานั้น ทั้งคนและม้าต่างตกใจ คนของอวิ๋นพั่งสิงต่างชักดาบออกมา บรรยากาศตึงเครียดขึ้นทันที พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ
ทหารซีเหลียงที่ขี่ม้าเตรียมข้ามแม่น้ำจิงไปส่งข่าวรายงานถูกลูกธนูของไป๋ชิงเหยียนแทงทะลุหัวใจ ตกลงไปในแม่น้ำ
“ไป๋ชิงเหยียน นี่มันหมายความว่าอย่างไร!” อวิ๋นพั่วสิงตวาดเสียงดัง
ไป๋ชิงเหยียนลดคันธนูลง กล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “หลายวันมานี้แม่ทัพใหญ่อวิ๋นคงกินไม่อิ่มท้องสักเท่าใดใช่หรือไม่ ข้ามีขนมที่องค์รัชทายาททรงมอบให้อยู่กล่องหนึ่ง แม่ทัพใหญ่อวิ๋นนั่งทานขนมอยู่ที่นี่อย่างสงบเถิด รอให้ข่าวเรื่องเสบียงของเจ้าถูกปล้นส่งกลับมาก่อนแล้วเจ้าค่อยกลับไปก็ยังไม่สาย”
อวิ๋นพั่วสิงมองดูไป๋ชิงเหยียนที่นั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทีคุกคาม ไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของนางทำให้คนไม่กล้าขัดขืน เขาข่มความกลัวที่มีอยู่ในใจเอาไว้
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวไม่ผิด เพราะเสบียงอาหารจะมาถึงในวันนี้ ดังนั้นอวิ๋นพั่วสิงจึงเดินทางมาขอศีรษะของบุตรชายคืนจากไป๋ชิงเหยียนอย่างทนไม่ไหว
ช่างเป็นเด็กสาวที่ร้ายกาจยิ่งนัก มองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้เลยหรือ!
เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นพั่วสิงรู้สึกหวาดกลัวใครสักคนนอกเหนือจากไป๋เวยถิงจนร่างกายชาวาบไปทั้งร่างเช่นนี้
อวิ๋นพั่วสิงกำบังเหียนในมือแน่น มองดูกล่องขนมที่ทหารต้าจิ้นเดินถือเข้ามา ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับกระดาษ มองไปยังไป๋ชิงเหยียนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง อยากจะสังหารนางเสียเดี๋ยวนี้!
“ยังมีอีกเรื่องเกี่ยวกับหนานเยี่ยน ไม่ทราบว่าแม่ทัพใหญ่อวิ๋นทราบเรื่องแล้วหรือไม่ เสบียงอาหารของหนานเยี่ยนถูกกองทัพไป๋ปล้นที่เหยากวนแล้ว! คำนวณดูแล้วกองทัพหนานเยี่ยนที่ถอยทัพกลับแคว้น
หนานเยี่ยนคงใกล้จะถึงเหยากวนแล้ว! เจ้าว่า…กองทัพไป๋จะกำจัดทหารยอดฝีมือของหนานเยี่ยนให้สิ้นซากอยู่ที่เหยากวนเพื่อตัดโอกาสที่ซีเหลียงจะเจรจาขอร้องให้หนานเยี่ยนช่วยออกรบอีกครั้งได้หรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถึงการตายของทหารนับหมื่นราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกำลังเอ่ยถึงสภาพอากาศทั่วไป
เสียงลมหนาวพัดผ่านใบหู อวิ๋นพั่วสิงตกตะลึงจนตาพร่ามัว เกือบพลัดตกลงมาจากหลังม้า
เขาข่มความโกรธแค้นและความหวาดกลัวที่มีอยู่ในใจ จ้องไปทางไป๋ชิงเหยียนอย่างอาฆาต สตรีผู้นั้นนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างไม่ทุกข์ร้อน แสงอรุณที่สาดส่องไปยังสายน้ำไหลในแม่น้ำจิงส่องสะท้อนความคมกริบและเยือกเย็นในดวงตาของหญิงสาว ทำให้เขารู้สึกเหมือนเสื้อผ้าที่โดนน้ำในแม่น้ำจิงสาดกระเซ็นจนเปียกปอนถูกความเยือกเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
ไอสังหารของคนทั้งสองแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง ทว่า เห็นได้ชัดว่าไอสังหารจากร่างสงบนิ่งของไป๋ชิงเหยียนมีมากกว่า
แพ้แล้ว!
สงครามครั้งนี้ เขาพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ
ทว่า เขาไม่เข้าใจว่าในเมื่อเด็กสาวผู้นี้ร้ายกาจถึงเพียงนี้ เหตุใดไป๋เวยถิงจึงไม่พานางมาออกรบด้วย
หรือว่าเด็กสาวผู้นี้จะเป็นความหวังสุดท้ายที่ไป๋เวยถิงเหลือไว้ให้แก่ตระกูลไป๋! ดังนั้นไป๋เวยถิงจึงกล้าพาบุรุษทั้งหมดของตระกูลไป๋มาออกรบเช่นนี้
ไม่เข้าใจ อวิ๋นพั่วสิงไม่เข้าใจในหลายๆ เรื่อง ทว่า เขารู้สึกหวาดกลัวมากจริงๆ
แม้กองทัพซีเหลียงจะมีจำนวนมากกว่ากองทัพต้าจิ้น ทว่า เขาไม่กล้าทำสงครามต่อไปแล้ว ตั้งแต่ที่เขาเริ่มรบกับไป๋ชิงเหยียน หญิงสาววางแผนไม่เคยผิดพลาด โจมตีจนเขาไม่อาจสู้กลับได้ ได้แต่ถอยทัพหนีมายังตอนใต้ของแม่น้ำจิงอย่างน่าอนาถเช่นนี้
อวิ๋นพั่วสิงที่เดือดดาลถึงขีดสุดค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้ คนที่ไป๋ชิงเหยียนนำมาส่วนใหญ่ล้วนเป็นพลธนู ที่สำคัญตัวไป๋ชิงเหยียนเองก็เป็นยอดฝีมือในการยิงธนู หากเขาดึงดันต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อกลับไปรายงานข่าว เกรงว่าคงไม่มีทางสำเร็จอย่างแน่นอน
ในเมื่อไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ต้องการสังหารเขาในตอนนี้ เมื่อนางได้รับข่าวเรื่องเสบียงอาหารของซีเหลียงถูกปล้นก็คงปล่อยเขากลับไป
เขาเอ่ยถามไป๋ชิงเหยียนด้วยเสียงแหบพร่าอย่างยอมจำนน “เจ้าจะให้เวลาข้าสามปีจริงๆ หรือ”