ตอนที่ 228 ขอบพระคุณแม่ทัพไป๋
หลังจากฉินซ่างจื้อกล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนจึงพยักหน้าพลางหันไปกล่าวกับรัชทายาท
“เช่นนั้น องค์รัชทายาทได้โปรดสั่งคนไปนำศพของทหารยอดฝีมือแห่งค่ายหู่อิงกลับมาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ดูสิว่าซีเหลียงจะแก้ตัวอย่างไร!”
“ไม่ได้!” มือที่ลูบเคราอยู่ของฟางเหล่าชะงักทันที เขารีบหันไปมองรัชทายาท
“ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ซิวซานกวนก็ยังเป็นของซีเหลียงอยู่ ต้าจิ้นส่งคนไปสอดแนมก็ไม่เหมาะสมมากแล้ว สิ่งที่ต้าจิ้นต้องทำในตอนนี้คือปกปิดเรื่องนี้…จะส่งคนไปนำศพกลับมาได้อย่างไรกัน เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าเราส่งคนไปสอดแนมที่ชิวซานกวนนะสิ องค์รัชทายาทโปรดไตร่ตรองให้ดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อเฉินซ่างจื้อเห็นว่าฟางเหล่าเอ่ยขัดเขาอีกแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่กล่าวอันใดออกมาอีกทั้งสิ้น เพราะทุกครั้งที่ฟางเหล่าแย้งขึ้น รัชทายาทมักเชื่อฟางเหล่าอยู่เสมอ เขากล่าวมากไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด
ไป๋ชิงเหยียนเหลือบมองไปยังฟางเหล่าที่แสร้งทำท่าทีเคร่งขรึมแวบหนึ่ง จากนั้นก้มหน้ากล่าวตอบ
“ที่ฟางเหล่ากังวลก็ถูกพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีองค์รัชทายาทก็สั่งไว้แล้วว่าให้ปฏิบัติการอย่างเงียบเชียบ แต่พวกข้าไร้ความสามารถ…ทำให้องค์รัชทายาทต้องผิดหวัง”
รัชทายาทเห็นไป๋ชิงเหยียนคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นอย่างรู้สึกผิด เขาส่งสัญญาณให้เฉวียนอวี๋พยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น จากนั้นเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน
“แม่ทัพไป๋อย่าได้โทษตัวเองเลย! เป็นเพราะหลี่จือเจี๋ยเอาแต่บ่ายเบี่ยงเรื่องการเจรจาสงบศึกขณะอยู่ในกระโจมก่อน แถมยังใส่ร้ายว่าเราลอบส่งสาวใช้เข้าไปแอบแฝง…ยืนกรานจะเจรจาต่อในวันหลัง ต้าจิ้นส่งคนไปสอดแนมที่ชิวซานกวนเพื่อความไม่ประมาท อีกอย่างหากเราไม่ไปสอดแนมจะรู้ได้อย่างไรว่ามีกลุ่มคนยอดฝีมือที่แต่งกายด้วยชุดของต้าจิ้นซ่อนตัวอยู่ในชิวซานกวน อีกทั้งยังร่วมมือกับทหารซีเหลียงที่คุ้มกันเมืองชิวซานกวนอีก!”
ไป๋ชิงเหยียนถูกเฉวียนอวี๋ประคองให้ลุกขึ้น หญิงสาวมองไปทางฟางเหล่า ท่าทีนอบน้อมยิ่งนัก
“ไม่ทราบว่าฟางเหล่ามีแผนการอันใดหรือขอรับ”
ฟางเหล่าเห็นท่าทีนอบน้อมของไป๋ชิงเหยียน ในใจรู้สึกได้ใจยิ่งนัก เขาจึงวางมาดมากยิ่งขึ้น แสร้งทำเป็นลูบเคราเพื่อใช้ความคิด จากนั้นหันไปมองรัชทายาท
“กระหม่อมคิดว่าเราควรอยู่ในความสงบไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ! เพิ่มการป้องกันองค์รัชทายาทให้แน่นหนาขึ้น จากนั้นรอดูว่าเหยียนอ๋องหลี่จือเจี๋ยแห่งซีเหลียงคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
รัชทายาทคิดตามจากนั้นพยักหน้า “ทุกท่านคิดว่าอย่างไร”
“ตอนนี้เรายังไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดของซีเหลียง ทำแบบนี้ก็ดีเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ ทว่า…เราจะทิ้งศพของทหารยอดฝีมือแห่งค่ายหู่อิงไว้ที่นั่นโดยไม่นำกลับมาไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
จางตวนรุ่ยเป็นทหาร อย่างไรซะ ทหารยอดฝีมือแห่งค่ายหู่อิงก็เป็นสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา พวกเขาจะทิ้งศพเหล่านั้นไว้โดยไม่สนใจได้อย่างไรกัน เช่นนี้จะทำให้ทหารของแคว้นต้าจิ้นผิดหวังและหมดกำลังใจ
ฟางเหล่าเงยหน้ามองดูจางตวนรุ่ยราวกับคนที่มีบารมีมากกว่า เอ่ยถามเสียงดัง “ศพแค่ไม่กี่ศพสำคัญกว่าชื่อเสียงของแคว้นต้าจิ้นอีกหรือ!”
คำถามของฟางเหล่าทำให้บรรดาแม่ทัพทุกคนในกระโจมต่างหันไปมองเขา แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเยือกเย็น
“บัณฑิตอย่างพวกท่านจะไปเข้าใจอันใดกัน!” เจินเจ๋อผิงผุดลุกขึ้นยืนอย่างเดือดดาล “วีรบุรุษของแคว้นสละชีพเพื่อบ้านเมือง! ชีวิตของพวกเขาไม่มีค่าเลยหรืออย่างไร ศพของพวกเขาไม่มีค่าหรืออย่างไร พวกเขาไม่มีพ่อไม่มีแม่หรืออย่างไร…”
“ใช่สิ ทุกคนล้วนมีพ่อมีแม่กันทั้งนั้น ทว่า เพื่อชื่อเสียงของแคว้น ต่อให้กระดูกของข้าสลลายกลายเป็นผุยผงข้าก็ยินดี คนที่เป็นทหาร…ยังสู้คนแก่อย่างข้าไม่ได้เลยหรืออย่างไร มีชีวิตอยู่เพื่อบ้านเมือง สละชีพเพื่อชาวบ้าน แค่ศพแค่นี้มันจะเป็นอันใดไป!” ฟางเหล่านำศีลธรรมมาอ้าง เขากล่าวออกมาอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
เจินเจ๋อผิงตาลุกวาว “กล่าววาจาบ้าบออันใด”
“เจ้า! ทหารฆ่าได้หยามไม่ได้ ทหารหยาบอย่างเจ้ากล้าดูหมิ่นข้าถึงเพียงนี้…องค์รัชทายาท พระองค์จะปล่อยไปเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ฟางเหล่าโมโหจนแทบหมดสติ ใบหน้าแดงก่ำ
“เอาล่ะๆ เรื่องนี้เราขอเวลาคิดสักหน่อย”
รัชทายาทถูกปลุกขึ้นมาจากฝันดี สมองยังเบลออยู่ เสียงหยาบกร้านที่ตวาดออกมาของเจินเจ๋อผิงยิ่งทำให้รัชทายาทปวดศีรษะ
“แม่ทัพไป๋ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่! รีบกลับไปทำแผลและพักผ่อนก่อนเถิด“
“พ่ะย่ะค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพแล้วเดินออกไปจากกระโจมของรัชทายาท
ภายในกระโจมพักรักษาตัวของทหาร เมื่อไป๋ชิงเหยียนเห็นว่าทหารยอดฝีมือแห่งค่ายหู่อิงที่ติดตามนางไปช่วยเหลือคนออกมาล้วนทำแผลและพักผ่อนกันหมดแล้ว หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่หน้าเตียงของเซียวรั่วเจียงที่ทำแผลและผล็อยหลับไปแล้วครู่ใหญ่ มือที่แนบอยู่ข้างลำตัวกำแน่น หันไปกล่าวกับหมอทหาร
“ดูแลเขาให้ดีนะขอรับ”
หมอทหารมองดูบาดแผลตามลำตัวของไป๋ชิงเหยียน กล่าวขึ้น “ท่านแม่ทัพ! ท่านต้องทำแผลเช่นเดียวกัน นางผู้นี้คือหมอหญิงที่อาสาสมัครเข้ามา นางมีฝีมือพอตัว ให้นางทำแผลให้ท่านเถิดขอรับ!”
หมอหญิงซึ่งคาดผ้าคลุมปิดบังใบหน้าทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน จากนั้นเงยหน้าสบตาหญิงสาว
“ท่านแม่ทัพ!”
“ลำบากแล้ว” ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าให้หมอหญิงเล็กน้อย
หมอหญิงลากม่านปิด จากนั้นค่อยๆ ช่วยไป๋ชิงเหยียนถอดชุดเกราะและเสื้อผ้าออกอย่างระมัดระวัง ดวงตาทั้งสองของหมอหญิงไหววูบ…
นางไม่เคนเห็นสตรีนางใดที่มีบาดแผลตามลำตัวมากเท่าไป๋ชิงเหยียนมาก่อน ทุกที่ที่กวาดสายตามองล้วนเต็มไปด้วยรอยแผล…มีทั้งแผลเก่าและแผลใหม่ บางแผลเป็นแผลสดยังไม่สมานดี บางแผลเป็นแผลเมื่อสองสามวันก่อนที่ปริออกอีกครั้ง
หมอหญิงเงยหน้ามองไปยังไป๋ชิงเหยียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หวนนึกถึงแม่ทัพจี๋หย่งไป๋ชิงหมิงที่สละชีพเพื่อคุ้มครองชาวบ้านในอำเภอเฟิง ดวงตาของหญิงสาวแดงก่ำ
นางถูกทหารซีเหลียงย่ำยีจนใบหน้าเสียโฉม เดิมทีนางคิดจะฆ่าตัวตาย ทว่า แม่ทัพจี๋หย่งไป๋ชิงหมิงก้าวลงมาจากหลังม้าพลางนำเสื้อคลุมของเขามาคลุมร่างที่เปลือยเปล่ามีแต่ฟกรอยช้ำของนาง ดวงตาเป็นประกายราวกับไฟคู่นั้นมองมาที่นางพลางกล่าว
ทหารของกองทัพไป๋สละชีพปกป้องบ้านเมือง สังหารศัตรูอยู่ที่ด่านหน้า! พวกเราช่วยชีวิตชาวบ้านเพื่อให้พวกเจ้ามาฆ่าตัวตายเช่นนี้หรือ! จงมีชีวิตอยู่ต่อไป! การมีชีวิตอยู่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด เจ้าควรมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อตอบแทนทหารกองทัพไป๋นับแสนที่สละชีพเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า
ดังนั้น นางจึงกัดฟันมีอยู่ชีวิตอยู่ต่อไป
หมอหญิงใช้ผ้าสำลีชุบน้ำอุ่นทำความสะอาดบริเวณบาดแผลให้ไป๋ชิงเหยียนอย่างเบามือ กล่าวออกมาเสียงเบาหวิว
“ท่านแม่ทัพ ท่านพ่อของข้าเป็นหมอของโรงหมอเฉ่าอันในอำเภอเฟิง แม่ทัพไป๋ชิงหมิงแห่งกองทัพไป๋สละชีพช่วยเหลือและคุ้มครองชาวบ้านในอำเภอเฟิง พวกเราจึงมีชีวิตรอดมาได้! ข้าขอขอบพระคุณแม่ทัพแห่งกองทัพไป๋ ขอบพระคุณกองทัพไป๋แทนชาวบ้านอำเภอเฟิงทุกคนเจ้าค่ะ!”
คือเหตุผลว่าเหตุใดนางจึงเสี่ยงอันตรายเดินทางมายังโยวหวาเต้าเช่นนี้
แม่ทัพของกองทัพไป๋ทุกคนสละชีพเพื่อปกป้องชาวบ้านที่ไม่มีค่าอย่างพวกนาง เมื่อนางได้ยินว่าหลานสาวคนโตของตระกูลไป๋ เสี่ยวไป๋ไซว่แห่งกองทัพไป๋ที่ตอนนั้นได้รับบาดเจ็บหนักจากสงครามจนสูญเสียวิทยายุทธเดินทางมาที่หนานเจียงหลังจากที่บุรุษตระกูลไป๋ทุกคนเสียชีวิตลงหมดแล้วเพื่อสังหารศัตรู ปกป้องชาวบ้าน เลือดร้อนในกายของนางพุ่งพล่านในทันที
หมอหญิงคิดว่าเสี่ยวไป๋ไซว่เป็นสตรี หากหญิงสาวได้รับบาดเจ็บ หมอทหารคงไม่อาจตรวจอาการของหญิงสาวได้อย่างละเอียด นางเป็นสตรีและพอมีความรู้เรื่องการรักษาอยู่บ้าง ต้องช่วยเหลือแม่ทัพไป๋ได้แน่ ดังนั้นนางจึงทิ้งจดหมายไว้ให้บิดาแล้วแอบเดินทางมายังโยวหวาเต้า
ไป๋ชิงเหยียนมองดูหญิงสาวที่ดวงตาแดงก่ำ ก้มหน้าร้องไห้อยู่ตรงหน้า จู่ๆ นางก็นึกถึงท่านอาของนางขึ้นมาได้ ไป๋ซู่ชิวท่านอาของนางเป็นลูกศิษย์ของท่านหมอหง ท่านหมอหงเคยกล่าวชมว่าท่านอามีพรสวรรค์เหนือผู้ใด ฝีมือการรักษาอยู่เหนือเขา อีกทั้งเลือดร้อนในกายก็มีมากกว่าเขา
ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกดีกับหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมามาไม่น้อย เอ่ยถามเสียงเบา “อายุเท่าใด นามว่าอันใด”
“สิบหกเจ้าค่ะ แซ่จี้ นามว่า หลางหวาเจ้าค่ะ” จี้หลางหวาทำแผลอย่างคล่องแคล่วและอ่อนโยน พลางเบิกตากว้างไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“ชีวิตของข้า…แม่ทัพไป๋ชิงหมิงแห่งกองทัพไป๋เป็นคนมอบให้เจ้าค่ะ”