ตอนที่ 289 เศร้าใจ
เจี่ยงหมัวมัวรีบถลาเข้าไปช่วยพยุงองค์หญิงใหญ่ให้ลุกขึ้น
“อาเป่ายังมาไม่ถึงอีกหรือ” องค์หญิงใหญ่ถามด้วยใบหน้าอ่อนโยน
เจี่ยงหมัวมัวเป็นคนละเอียด เหตุใดนางจะฟังไม่ออกว่าเสียงขององค์หญิงใหญ่สั่นไหวเล็กน้อย นางตอบยิ้มๆ “น่าจะใกล้ถึงแล้วเพคะ คราวที่แล้วบ่าวเรียนองค์หญิงใหญ่ว่ากลับมาจากหนานเจียงคราวนี้คุณหนูใหญ่แข็งแรงขึ้นไม่น้อย องค์หญิงใหญ่ไม่ยอมเชื่อบ่าว เดี๋ยวพอคุณหนูใหญ่มา องค์หญิงใหญ่จะทราบว่าบ่าวไม่ได้โกหกเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ยิ้มออกมาน้อยๆ แม้จะเต็มไปด้วยอำนาจที่สะสมมาหลายปี ทว่า ใบหน้ากลับดูอ่อนโยน น้ำเสียงแฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง “ไม่รู้ว่าอาเป่าต้องทรมานและลำบากอีกสักเพียงใด เด็กนั่นทนลำบากได้มากที่สุดในบรรดาพี่น้องแล้ว”
“บัดนี้คุณหนูใหญ่กลับมาจากหนานเจียงแล้ว ฝ่าบาททรงแต่งตั้งคุณหนูเป็นจวิ้นจู่ ต่อไปทุกอย่างย่อมดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนเพคะ!” เจี่ยงหมัวมัวพยุงองค์หญิงใหญ่ออกมาจากห้อง
เว่ยจงยังไม่ทันได้ทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ก็เห็นไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อเดินเข้ามาจากประตูที่เปิดอ้าต้อนรับไว้ท่ามกลางบรรดาบ่าวรับใช้
“องค์หญิงใหญ่ คุณหนูใหญ่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยจงกล่าว
องค์หญิงใหญ่บีบมือที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อเบาๆ จับลูกประคำที่ข้อมือแน่น หันไปมองทางประตู ดวงตาแดงก่ำในทันที นางสั่งเว่ยจง “ไปตามคุณหนูหลูมา”
เว่ยจงรับคำและจากไป
เมื่อไป๋ชิงเหยียนพาไป๋จิ่นจื้อเดินเข้ามาด้านในก็เห็นองค์หญิงใหญ่ยิ้มให้นางและไป๋จิ่นจื้อบางๆ อยู่ตรงระเบียงทางเดิน
ไม่เจอกันหลายเดือน ท่านย่าผอมซูบและโทรมลงกว่าเมื่อก่อนมากนัก แม้บารมียังคงอยู่ ทว่า เครื่องแต่งกายงดงามสีเรียบของนางปกปิดร่างกายที่ค่อยๆ โค้งงอและเหี่ยวย่นของนางไม่ได้
เดิมทีนางอยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิตอยู่แล้ว อีกทั้งต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียสามี บุตรชายและหลานชาย ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวอย่างท่านย่า เผชิญความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้ ย่อมส่อให้เห็นความอ่อนล้าและแก่ชราลงเป็นธรรมดา
ไป๋ชิงเหยียนพาไป๋จิ่นจื้อเดินเข้าไปทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ “ท่านย่า พวกเรากลับมาอย่างปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว…” น้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่เหมือนยามปกติ เหมือนมีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของนางเล็กน้อย นางกล่าวอย่างอ่อนโยน “เข้าไปในห้องเถิด ด้านนอกอากาศเย็น”
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่รีบเข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะ! บ่าวสั่งให้คนต้มชานมพุทราไว้แล้ว คุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่ดื่มอุ่นร่างกายหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ไป๋จิ่นจื้อเดินตามหลังไป๋ชิงเหยียนอย่างเป็นระเบียบ เงยหน้าขึ้นราวกับรอคำสั่งของพี่สาว
องค์หญิงใหญ่ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตนและหลานสาวที่ตนรักและทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ นางจับมือเจี่ยงหมัวมัวเข้าไปด้านในเป็นคนแรก นั่งลงบนเบาะรองนั่งลายดอกเสาวรสสีทองขมิ้น
เมื่อเข้ามาด้านใน ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อเตรียมคุกเข่าลง เจี่ยงหมัวมัวรีบสั่งให้คนไปหยิบเบาะรองเข่ามา
องค์หญิงใหญ่มองดูหลานสาวทั้งสองคนก้มศีรษะคำนับแนบพื้นสามครั้ง ดวงตาของนางแดงก่ำ สั่งให้เจี่ยงหมัวมัวรีบพยุงเด็กทั้งสองขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “อาเป่าดูแข็งแรงขึ้นมาก เหตุใดออกไปครั้งเดียวเสี่ยวซื่อจึงดำเหมือนถ่านเช่นนี้กัน”
ไป๋จิ่นจื้อมักสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ สาวน้อยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “นั่นสิเจ้าคะ ข้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ข้าขี่ม้าเหมือนกับพี่หญิงใหญ่ เหตุใดพี่หญิงใหญ่ยังขาวเนียน แต่ข้ากลับดำเช่นนี้กัน”
เจี่ยงหมัวมัวใช้ผ้าปิดปากพลางหัวเราะออกมา เมื่อเห็นแม่นางหลูเดินถือชานมพุทราเข้ามา จึงสั่งให้บ่าวทุกคนออกไป
แม้เจี่ยงหมัวมัวยังไม่ได้แนะนำ ไป๋ชิงเหยียนก็รู้ได้ทันทีว่าสตรีที่เดินก้มหน้าถือชานมพุทราเข้ามาคือแม่นางหลู หญิงสาวลอบสำรวจนางอย่างเงียบเชียบ
องค์หญิงใหญ่ถอดลูกประคำที่ข้อมือออกแล้ววางไว้บนโต๊ะสี่เหลียมสีดำ ยกถ้วยชานมพุทราขึ้นจิบเล็กน้อย “นางผู้นี้คือแม่นางหลู เมื่อย่ารับนางเป็นบุตรบุญธรรม พวกเจ้าต้องเรียกนางว่าท่านอา”
ไป๋ชิงเหยียนจึงมองไปทางแม่นางหลูอย่างเปิดเผย เห็นหญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่อย่างสงบข้างกายขององค์หญิงใหญ่ หญิงสาวถามขึ้น “เหมือนหรือเจ้าคะ”
ท่านอาไป๋ซู่ชิวจากไปเร็ว ไป๋ชิงเหยียนยังเด็กอยู่ ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับท่านอาสักเท่าใด ทว่า มารดาแท้ๆ ของท่านอาไม่เหมือนกัน ท่านย่าเป็นคนที่คุ้นเคยกับท่านอามากที่สุด
“รูปร่างหน้าตาเหมือนอยู่เจ็ดส่วน อีกสามส่วนที่เหลือใช้การแต่งกายและกิริยาท่าทางมาทดแทนได้” องค์หญิงใหญ่วางถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายครามลงบนโต๊ะ “ช่วงนี้เจี่ยงหมัวมัวกำลังสอนอยู่ แม้เวลาจะกระชั้นชิดแต่เราต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน”
ตระกูลไป๋เป็นตระกูลที่รุ่งเรืองมานับร้อยปี บัดนี้บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตทั้งหมด เหลือเพียงแค่สตรี ทว่า ฮ่องเต้ก็ยังคงหวาดระแวง เหลียงอ๋องยังคงคิดแผนการชั่วร้าย ดังนั้นองค์หญิงใหญ่ต้องทำอย่างรอบคอบ ระมัดระวังและก้าวเดินไปอย่างมั่นคง
ไป๋จิ่นจื้อยกถ้วยชานมพุทราขึ้น มองไปทางแม่นางหลูอย่างประหลาดใจ นางฟังบทสนทนาของท่านย่าและพี่หญิงใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจ
“รักษาคนเป็นหรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนถามแม่นางหลู
แม่นางหลูค่อนข้างนึกไม่ถึง หญิงสาวย่อกายทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “เรียนจวิ้นจู่ บรรพบุรุษของท่านแม่ข้าร่ำเรียนวิชาแพทย์มาเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าจึงพอรู้บ้าง”
มิน่าท่านย่าจึงเลือกแม่นางหลูผู้นี้
หากไม่ถึงคราวจำเป็น ท่านย่าคงไม่เลือกทำเช่นนี้
“หลานคิดว่าหากฝ่าบาททรงอนุญาตให้ท่านย่ารับแม่นางหลูเป็นบุตรธรรม ควรให้แม่นางหลูอยู่ดูแลท่านย่าที่นี่ น้องหญิงสาม…จะได้กลับไปซั่วหยางพร้อมกับพวกเราในวันที่หนึ่ง เดือนห้าเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
กล่าวกันว่าภรรยาเอกสู้อนุไม่ได้ อนุสู้แอบลอบคบชู้ไม่ได้ แอบลอบคบชู้สู้ไม่ได้ครอบครองไม่ได้…
มีไป๋ซู่ชิวกลับชาติมาเกิดที่ได้รับการอบรมจากท่านย่าและเจี่ยงหมัวมัวอยู่ ฮ่องเต้ย่อมคอยคะนึงหา ชิวกุ้ยเหรินในวังหลวงย่อมถูกสลัดทิ้งในสักวัน
แน่นอนว่าเมื่อไป๋จิ่นถงกลับไปยังซั่วหยาง จะต้องป่าวประกาศกับทุกคนว่านางป่วยหนัก
“คำนวณดูแล้ว ลูกสะใภ้ห้าก็ใกล้คลอดแล้ว..” องค์หญิงใหญ่นึกถึงเด็กในท้องของฉีซื่อ นางตั้งความหวังกับเด็กคนนี้ไว้มาก หวังว่าฮูหยินห้าจะคลอดบุตรชายออกมาสักคน อย่างน้อยก็มีทายาทไว้ให้ตระกูลไป๋ เช่นนี้…อาเป่าจะได้ไม่ต้องพยายามประคับประคองตระกูลไป๋อย่างเหนื่อยล้าเช่นนี้อีก
“ท่านแม่เตรียมห้องคลอดและหมอตำแยไว้แล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอหงก็อยู่ที่จวน ท่านอาสะใภ้ห้าเลือกแม่นมไว้สองคน จากนั้นปรึกษากับท่านแม่ว่าท่านอยากให้นมบุตรด้วยตัวเองเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนเข้าใจว่าเหตุใดท่านอาสะใภ้ห้าจึงอยากให้นมบุตรด้วยตัวเอง นั่นคือเลือดเนื้อเชื้อไขที่ท่านอาห้าทิ้งไว้ให้และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอาสะใภ้ห้าเอง
องค์หญิงใหญ่มีสีหน้าเศร้าใจ พยักหน้าเล็กน้อย “ตามใจท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้าเถิด!”
เดิมทีเจี่ยงหมัวมัวอยากรั้งไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อให้อยู่ทานอาหารกลางวัน ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับกล่าวว่า “ไม่แล้วเจ้าค่ะ ข้ายังต้องไปเยี่ยมจี้ถิงอวี๋ที่หมู่บ้าน หลังเยี่ยมจี้ถิงอวี๋เสร็จ เสี่ยวซื่ออยากไปทานเป็ดเป่าเซียงที่หอเป่าเซียงในงานวัดกู่ผิงเจ้าค่ะ…”
เมื่อเอ่ยถึงจี้ถิงอวี๋ ริมฝีปากขององค์หญิงใหญ่ขยับเล็กน้อย เรื่องที่ทำให้นางและหลานสาวต้องแตกกันอย่างจริงจังคือเรื่องของจี้ถิงอวี๋
องค์หญิงใหญ่เริ่มนับลูกประคำที่ข้อมือ พยักหน้าน้อยๆ เอ่ยสั่งเจี่ยงหมัวมัว “ไปหยิบเงินห้าร้อยตำลึงให้อาเป่า ให้อาเป่านำไปให้ครอบครัวของจี้ถิงอวี๋”