ตอนที่ 321 ตั้งตัวไม่ทัน
สีหน้าของนายอำเภอโจวซีดเผือดลงเล็กน้อย เรื่องวุ่นวายในครอบครัว? เรื่องใหญ่จนต้องการความช่วยเหลือ?
หมายความว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ต้องการแตกหักกับตระกูลบรรพบุรุษอย่างนั้นหรือ
ทว่า ไป๋ฉีอวิ๋นกล่าวว่าไม่ว่าจะเป็นเจิ้นกั๋วอ๋องหรือเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ล้วนเคารพและเชื่อฟังบิดาของเขาซึ่งเป็นประมุขของตระกูลไม่ใช่หรือ
เมื่อบ่าวรับใช้จูงม้าเข้ามาใกล้ ไป๋ชิงเหยียนจึงกล่าวขึ้น “ข้าต้องกลับไปที่ตระกูลบรรพบุรุษ ไม่รบกวนเวลาทำงานของท่านทั้งสองแล้ว ขอตัวก่อน…”
เจ้าเมืองรีบเบี่ยงกายหลบ ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อก้าวขึ้นไปบนหลังม้า ตวัดแส้ ม้าทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้า ตระกูลบรรพบุรุษไป๋กับเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่กำลังจะแตกหักกันอย่างนั้นหรือขอรับ” สีหน้าของนายอำเภอโจวย่ำแย่ “บุตรชายของท่านประมุขไป๋กล่าวว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่เชื่อฟังคำกล่าวของผู้ใหญ่ไม่ใช่หรือขอรับ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าจวิ้นจู่กำลังจะฉีกหน้าตระกูลบรรพบุรุษเล่าขอรับ”
เจ้าเมืองยืนเอามือไขว้หลัง หรี่ตาแคบลง นึกถึงข่าวที่ได้ยินเมื่อวาน
ได้ยินว่าน้องชายแท้ๆ ของประมุขไป๋ยึดครองจวนบรรพบุรุษที่เพิ่งซ่อมแซมและตกแต่งเสร็จไปกว่าครึ่ง
เจ้าเมืองแสยะยิ้ม “ไม่ว่าบรรพบุรุษตระกูลไป๋จะกล่าววาจาสละสลวยสักเพียงใด ครั้งนี้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มาเพื่อแตกหักกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋อย่างแน่นอน เกาอี้เซี่ยนจู่กล่าวชัดเจนถึงเพียงนั้น นายอำเภอดูทิศทางลมให้ดีเถิด ระวังเรือจะล่มเอาได้!”
นายอำเภอโจวสนิทสนมกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋มาโดยตลอด หลายปีมานี้ช่วยปกปิดเรื่องเลวร้ายของตระกูลไป๋มามากมาย หากครั้งนี้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ต้องการจัดการกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋ขึ้นมาจริงๆ เรื่องพวกนั้นคงถูกเปิดโปง ถึงเวลานั้น เขาที่เป็นคนช่วยปกปิดเรื่องเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะประจบเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไม่ได้ แต่ต้องจบเห่ลงเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน!
สีหน้าของนายอำเภอโจวแย่ขึ้นเรื่อยๆ เขาหันกลับไปทำความเคารพเจ้าเมืองอย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณท่านเจ้าเมืองที่ชี้แนะขอรับ”
ประมุขตระกูลไป๋กำลังรับประทานอาหารเช้า เมื่อได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อกลับมา เขาตกใจจนแทบลมจับ ยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่น้องชายของเขายึดครองจวนบรรพบุรุษไป๋เอาไว้ คนในตระกูลทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้อย่างใหญ่โต เขาก็เข้าใจในทันทีว่าไป๋ชิงเหยียนคงมาเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ประมุขตระกูลไป๋วางตะเกียบลง สั่งให้คนเข้ามาช่วยเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย
บริเวณลานหญ้าของเรือนประมุขไป๋ ชายหนุ่มอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปีคุกเข่าอยู่ตรงนั้นทั้งคืน ผมสีดำขลับมีหยาดน้ำค้างเกาะอยู่เล็กน้อย ร่างทั้งร่างสั่นเทา โอนเอนราวกับจะล้มลงบนพื้นอย่างทรงตัวไม่อยู่
เมื่อเห็นว่าประมุขไป๋เดินออกมา เด็กหนุ่มรีบคลานเข่าเข้าไปหา “ท่านปู่ หากบรรดาท่านพี่ยังทำตัวไม่เกรงกลัวฟ้าดินเช่นนี้ต่อไป วันหนึ่งต้องนำภัยมาสู่ตระกูลไป๋ของเราแน่นอนขอรับ ท่านปู่ได้โปรดช่วยออกหน้าห้ามปรามไม่ให้พวกเขาไปแย่งชิงกิจการของชาวบ้านด้วยเถิดขอรับ มิเช่นนั้นหากมีคนเดินทางไปฟ้องร้องฮ่องเต้ที่เมืองหลวง รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา ต่อให้เป็นจวิ้นจู่ก็คงปกป้องตระกูลไป๋ไม่ได้หรอกขอรับ!”
ประมุขมองดูหลานชายที่มีสีหน้าร้อนใจของตัวเอง รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที เขาตวาดลั่น “ลงโทษอย่างหนัก? จะให้ลงโทษอย่างไรกัน เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ทั้งคืนยังไม่เข้าใจอีกหรือ! พวกเขาคือพี่ชายของเจ้า ต่อให้พวกเขาทำผิดร้ายแรงเพียงใด แต่พวกเขาก็คือพี่ชายร่วมสายเลือดเดียวกันกับเจ้า! เหตุใดเจ้าจึงร่วมมือกับคนนอกทำลายพี่ชายของเจ้าเช่นนี้ ทั้งยังแอบส่งตัวคนไปให้เจ้าเมืองอีก หากข้าช้าไปเพียงก้าวเดียว บรรดาพี่ชายของเจ้าได้เข้าไปนอนในคุกแน่ๆ จ้างวานฆ่าคนเป็นโทษหนักเพียงใด เจ้ารู้ดีอยู่แก่เจ้า อาผิง…ปู่ยังไม่ตายนะ เจ้าจะบีบให้บรรดาพี่ชายของเจ้าต้องตายเลยหรืออย่างไรกัน!”
ไป๋ชิงผิงขบกรามแน่น ดวงตาทั้งสองข้างแดงฉาน กล่าวเสียงสะอื้น “โอรสของสวรรค์ทำผิดยังได้รับโทษเดียวกับชาวบ้านธรรมดา ขนาดโอรสที่เกิดจากฮองเฮาของฮ่องเต้อย่างซิ่นอ๋องยังถูกปลดเป็นสามัญชน โดนเนรเทศไปอยู่หย่งโจวเลยขอรับ ท่านปู่เป็นประมุขของตระกูลไม่ควรเสียสละความรู้สึกส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของทุกคนในตระกูลหรือขอรับ”
“ไม่เห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัวอย่างนั้นหรือ!” ประมุขไป๋ตวาดลั่น “ข้ายังไม่ตาย เจ้าก็ทะเลาะกันเองกับพี่น้องแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าให้เจ้าร่ำเรียน เจ้าดันกลายเป็นบัณฑิตผู้ทรงคุณธรรมขึ้นมาจริงๆ เสียนี่”
ไป๋ชิงผิงกำหมัดแน่น ท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อ
“หากยังคิดไม่ได้ก็จงคุกเข่าต่อไป อย่าได้ลุกขึ้นมาเป็นอันขาด!” ประมุขไป๋กล่าวจบก็เดินถือไม้เท้าออกไปด้านนอกทันที
ไป๋ชิงผิงมีสีหน้าแข็งกร้าว ได้ยินเสียงฝีเท้าของท่านปู่เดินจากไปไกล ทว่า เขายังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นตามเดิม เขานับถือคุณธรรมของตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงที่เมืองหลวงมาโดยตลอด ครั้งหนึ่งเขาเคยภูมิใจที่ได้เกิดเป็นทายาทของตระกูลไป๋
แต่ต่อมาเขากลับค้นพบว่าตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางแตกต่างจากตระกูลไป๋ที่เมืองหลวงโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะตระกูลของประมุขไป๋ที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก…ตระกูลประมุขไป๋รังแกสายเลือดห่างๆ ของตัวเอง อาศัยบารมีของจวนเจิ้นกั๋วกงวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองซั่วหยาง หลายปีมานี้ไม่เคยโดนควบคุม ทางการของเมืองซั่วหยางก็เกรงกลัวบารมีของตระกูลไป๋ที่เมืองหลวงจึงตีสนิทกับตระกูลไป๋แห่งซั่วหยาง ตระกูลบรรพบุรุษไป๋จึงไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเช่นนี้
เขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก เมื่อเทียบกับตระกูลไป๋ที่เมืองหลวงแล้ว พวกเขาไม่เหมือนครอบครัวเดียวกันเลยสักนิด
บัดนี้ตระกูลไป๋แห่งซั่วหยางและบรรดาพี่ชายของเขาก่อคดีร้ายแรงถึงขั้นฆ่าชีวิตคนแล้ว หากไม่รีบจัดการ…ตระกูลไป๋ได้จบสิ้นแน่
ไป๋ชิงผิงไม่เข้าใจว่าเรื่องที่แม้แต่เขายังคิดได้ เหตุใดท่านปู่ของเขาจึงไม่เข้าใจ
บ่าวรับใช้ชายของไป๋ชิงผิงชะโงกหน้าออกไปสำรวจนอกเรือน เมื่อเห็นว่าด้านนอกไม่มีคนแล้วจึงรีบวิ่งกลับไปหยุดอยู่ข้างกายไป๋ชิงผิง เอาเสื้อคลุมคลุมให้ชายหนุ่ม จากนั้นกล่าวเสียงเบาหวิว “คุณชายหก เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่และเกาอี้เซี่ยนจู่กลับมาแล้วขอรับ”
ไป๋ชิงผิงเงยหน้าขึ้น เบิกตาโพลง ใจเต้นรัวอย่างรุนแรง
ตั้งแต่ที่ไป๋ชิงเหยียนติดตามไป๋เวยถิงไปออกรบ หญิงสาวไม่เคยกลับมาที่ซั่วหยางอีกเลย ตอนแรกเป็นเพราะวุ่นวายอยู่กับสงคราม ต่อมาเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองหลวง
นอกเหนือจากความตื่นเต้นแล้ว ไป๋ชิงผิงรู้สึกละอายใจ น้องชายของท่านปู่ของเขายึดจวนบรรพบุรุษตระกูลไป๋ไว้ครอบครองเอง
ไป๋ชิงผิงอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี ตระกูลของเขาอาศัยอำนาจบารมีของตระกูลไป๋ที่เมืองหลวงวางอำนาจที่ซั่วหยาง ทั้งยังรังแกสตรีหม้ายของตระกูลไป๋จากเมืองหลวงอีกด้วย แสร้งทำเป็นไปไว้อาลัย แต่แท้จริงแล้วบีบคั้นให้ตระกูลไป๋ออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ของตระกูลบรรพบุรุษ! ต่อมาเมื่อพวกเขาตกแต่งจวนบรรพบุรุษไป๋เสร็จแล้ว กลับยึดเอามาเป็นของตัวเองอย่างหน้าไม่อาย จะให้บัณฑิตที่ร่ำเรียนวิชามาอย่างเขาเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน!
ข่าวการกลับมาซั่วหยางของไป๋ชิงเหยียนราวกับสายฟ้าฟาด ตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน
ผู้ที่กระวนกระวายที่สุดคงหนีไม่พ้นผู้เฒ่าห้าที่ยึดครองจวนบรรพบุรุษไป๋เอาไว้ เขาเดินวนไปวนมาในจวนอย่างกระสับกระส่าย ทว่า เขาก็ไม่กล้าไปเจอไป๋ชิงเหยียนที่จวนประมุขไป๋ด้วยตัวเอง เพราะไป๋ชิงเหยียนเป็นคนสังหารทหารยอมจำนนนับแสนของซีเหลียง!
ผู้ใดจะรู้ว่าหากไป๋ชิงเหยียนอาละวาดขึ้นมาจะเกิดอันใดขึ้น
ไป๋ชิงเหยียนมีฐานะเป็นจวิ้นจู่ผู้สูงส่ง เมื่อเห็นประมุขไป๋เดินมา หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มให้น้อยๆ แต่ไม่ได้ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ ประมุขก็ถือว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่จึงไม่ได้ทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงที่นั่ง กล่าวยิ้มๆ “ชิงเหยียนและจิ่นจื้อกลับมา เหตุใดไม่บอกกล่าวกันสักคำ ปู่จะได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเจ้าอย่างสมเกียรติ”
ไป๋ชิงเหยียนฟังออกว่าประมุขไป๋ต้องการใช้ความเป็นผู้อาวุโสกว่าข่มนาง หญิงสาววางถ้วยชาลงบนโต๊ะไม้ตัวเล็กด้านข้าง “ที่ข้ามาครั้งนี้เพราะอยากได้โฉนดจวนบรรพบุรุษตระกูลไป๋คืนเจ้าค่ะ”
ประมุขไป๋นึกไม่ถึงว่าไป๋ชิงเหยียนจะกล่าวไม่อ้อมค้อมเช่นนี้ เขาตั้งรับไม่ทันไปชั่วขณะ
“โฉนดจวนบรรพบุรุษไป๋อยู่ในการดูแลของประมุขไป๋มาโดยตลอด เกิดอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ เจ้าถึงรีบร้อนมาทวงโฉนดเช่นนี้”