ตอนที่ 322 อัศจรรย์
สองมือของประมุขไป๋จับอยู่ที่ไม้เท้า มองไปทางไป๋ชิงเหยียนด้วยสีหน้าเมตตาเอ็นดูราวกับพระโพธิสัตว์ในภาพวาด
“ท่านประมุขไม่ได้รู้อยู่แล้วหรือเจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อแสยะยิ้มเย็น “พอพวกเราซ่อมแซมจวนเสร็จก็ถูกท่านผู้เฒ่าห้าของตระกูลบรรพบุรุษซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของท่านแย่งไปครอบครองเช่นนี้ พวกเราต้องการโฉนดจวนคืนเพราะต้องการทวงความยุติธรรมอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ!”
ใจของประมุขเต้นรัว รอยยิ้มในดวงตาจางหายไป
คำกล่าวของไป๋จิ่นจื้อไม่เห็นหัวผู้อาวุโสกว่าเลยสักนิด ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับไม่ห้ามปราม
ไป๋ชิงเหยียนไม่ปล่อยให้ประมุขไป๋ได้มีโอกาสสั่งสอนไป๋จิ่นจื้อ หญิงสาวยกถ้วยน้ำชาร้อนขึ้นมาเป่าไล่ควันเล็กน้อย “ได้ยินว่าท่านผู้เฒ่าห้ายึดครองจวนบรรพบุรุษไป๋เอาไว้ตามคำสั่งของท่านหรือเจ้าคะ ท่านประมุขเห็นว่าพวกเราเป็นเพียงสตรีหม้ายและเด็กกำพร้าจากเมืองหลวงที่จะรังแกอย่างไรก็ได้หรือเจ้าคะ”
ประมุขไป๋แสร้งยิ้มด้วยรอยยิ้มเมตตาไม่ไหวอีกต่อไป เขายืดกายนั่งหลังตรง มองไปยังด้านหน้า “หากเปรียบเรื่องอาวุโส ข้าอยู่รุ่นเดียวกับเจิ้นกั๋วอ๋องท่านปู่ของพวกเจ้า พวกเจ้าควรเรียกข้าว่าท่านปู่ หากเทียบเรื่องอายุ ข้าแก่กว่าพวกเจ้าหลายสิบปี อีกทั้งยังเป็นประมุขของตระกูล…”
“หากเทียบบรรดาศักดิ์ ข้ากับเสี่ยวซื่อ คนหนึ่งคือจวิ้นจู่ คนหนึ่งคือเซี่ยนจู่ แคว้นมาก่อนครอบครัว ท่านประมุขก็เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ท่านไม่รู้ตรรกะนี้หรือเจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนใช้ฝาถ้วยชากดทับใบชาในถ้วยเล็กน้อย ก้มหน้าลง “แท้จริงแล้วก็แค่เห็นว่าข้ากับเสี่ยวซื่ออายุน้อยจึงคิดจะข่มขู่พวกข้าก็เท่านั้น!”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง น้ำชาจากถ้วยหกออกมาด้านนอกเล็กน้อย
“ข้าไม่มีเวลามากล่าวอ้อมค้อมกับท่าน หลายปีมานี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋อ้างบารมีของท่านปู่ข้าทำสิ่งใดในซั่วหยางบ้าง ท่านรู้ดีแก่ใจ บัดนี้ท่านปู่ของข้าไม่อยู่แล้ว พวกท่านก็แอบอ้างบารมีของจวิ้นจู่อย่างข้าแทน! ทว่า บารมีนี้ หากข้าให้ท่านใช้ พวกท่านจะจึงสามารถเอาไปใช้ได้ หากข้าไม่อนุญาต…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตระกูลไป๋จะเหิมเกริมในซั่วหยางได้อีกนานสักเพียงใด”
ประมุขไป๋กำไม้เท้าในมือแน่น หันไปมองไป๋ชิงเหยียนที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมาด้วยดวงตาเกรี้ยวกราด
“ไป๋ชิงเหยียน ท่านปู่ของเจ้าเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่เท่าใดเจ้าก็ไร้มารยาทถึงเพียงนี้เชียวหรือ เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโส เจ้าไม่กลัวทำให้ท่านปู่และท่านพ่อของเจ้าต้องอับอาย ไม่กลัวว่าข้าจะโพนทะนาเรื่องนี้ออกไปจนซื่อเสียงของเจ้าแย่ลงกว่าเดิมหรืออย่างไร!”
“อับอายอย่างนั้นหรือ ตระกูลบรรพบุรุษไป๋กินบนเรือนขี้รดบนหลังคายังไม่ละอายใจ ท่านปู่และท่านพ่อของข้าต้องอับอายสิ่งใดกัน” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
มารยาท? ความเคารพ?
หากไป๋ชิงเหยียนให้ พวกเขาถึงจะมี…
หากไม่ให้ พวกเขาไม่มีทางได้…
ชื่อเสียงอย่างนั้นหรือ ไป๋ชิงเหยียนต้องการ ทว่า ต้องดูว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใด
ชื่อเสียงในสายตาชาวบ้าน ไป๋ชิงเหยียนต้องการ
ทว่า สำหรับในสายตาของคนถ่อยชั่วช้าเหล่านี้แล้ว ไป๋ชิงเหยียนไม่สนใจ
ในใต้หล้านี้ผู้ที่ตอบแทนบุญคุณของผู้อื่นด้วยการเนรคุณมีอยู่มากมาย บรรพบุรุษตระกูลไป๋คือหนึ่งในนั้น
ท่านปู่เห็นแก่ที่พวกเขาคือสายเลือดเดียวกัน ทว่า สำหรับไป๋ชิงเหยียนแล้ว นอกจากสายเลือดหลักของตระกูลไป๋แล้วอย่างพวกนางแล้ว บรรพบุรุษตระกูลไป๋ที่ทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามมากมายสำคัญน้อยกว่าชาวบ้านด้วยซ้ำ
“ตกลงท่านประมุขจะคืนโฉนดจวนบรรพบุรุษไป๋ที่เดิมทีเป็นของของสายเลือดหลักของพวกเรามาหรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนราบเรียบ ทว่า กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนกำลังถูกข่มขู่
ประมุขไป๋กำไม้เท้าแน่น “ตระกูลไป๋จากเมืองหลวงไม่มีบุรุษหลงเหลืออยู่แล้ว ตามหลัก จวนบรรพบุรุษไป๋ถือเป็นมรดกของตระกูลไป๋ ควรกลับคืนสู่ตระกูล…”
ไป๋ชิงเหยียนไม่ต้องการฟังประมุขไป๋อธิบายยาวเหยียดด้วยท่าทีข่มขู่เช่นนี้อีกต่อไป
หญิงสาวลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นตามเครื่องแต่งกายที่ความจริงไม่มีแม้แต่น้อย จากนั้นก้าวเท้าเดินจากไป
ประมุขไป๋เบิกตาโพลง ผุดลุกขึ้นยืนทันที “ไป๋ชิงเหยียน ผู้ใหญ่ยังกล่าวไม่จบ…”
“ผู้ใหญ่? หึ…” ไป๋จิ่นจื้อแสยะยิ้ม “ท่านทำเรื่องจนมาถึงขั้นนี้ ทั้งรังแกตระกูลไป๋เพราะเห็นว่าตระกูลไป๋ไร้ซึ่งบุรุษ ทั้งอาศัยบารมีจวิ้นจู่ของพี่หญิงใหญ่ข้า ตอนนี้ยังมีหน้าวางมาดอาวุโสของท่านต่อหน้าพี่หญิงใหญ่อีก ท่านคิดว่าพี่หญิงใหญ่ของข้าเป็นสตรีธรรมดาที่ต้องกลัวท่านหรืออย่างไรกัน”
ไป๋จิ่นจื้อมองดูถ้วยน้ำชาสองสามถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะไม้มะฮอกกานี สาวน้อยออกแรงปัดจนถ้วยชากระเบื้องเหล่านั้นหล่นแตกลงบนพื้น “เก็บแรงไว้เถิด!”
“เจ้า…” ประมุขไป๋ชี้หน้าไป๋จิ่นจื้อ
“ท่านประมุขรักษามาดของตัวเองเอาไว้ให้ดีนะเจ้าคะ ทางที่ดีอย่ามาขอร้องพี่หญิงใหญ่ของข้าก็แล้วกัน!” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวจบก็เดินเอามือสองข้างไขว้หลังออกไปด้านนอก
เมื่อสาวน้อยก้าวท้าวออกไปจากธรณีประตู นางกล่าวสำทับขึ้น “ท่านจะป่าวประกาศกับผู้อื่นก็ได้ว่าข้ากับพี่หญิงใหญ่ไม่เคารพท่าน เช่นนี้ผู้อื่นจะได้รับรู้ว่าพวกเราไม่ถูกกัน สถานการณ์ของตระกูลไป๋ในซั่วหยางคงอัศจรรย์ไม่น้อย”
กล่าวจบ ไป๋จิ่นจื้อเดินจากไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น
“บังอาจนัก! ตระกูลไป๋ที่เมืองหลวงสั่งสอนบุตรหลานอย่างไรกันนะ! ช่างไม่รู้จักมารยาท กาลเทศะและความละอายใจบ้างเลย!” ประมุขไป๋ยกถ้วยชาเขวี้ยงออกไปด้านนอกอย่างโมโห
ทว่า โมโหก็ส่วนโมโห ประมุขไป๋ต้องยอมรับว่าไป๋จิ่นจื้อกล่าวถูกต้อง เขาจึงทำได้เพียงข่มความโกรธเหล่านี้ไว้ในใจ
เขาไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อตระกูลไป๋จากเมืองหลวงกลับมาอยู่ที่ซั่วหยาง พวกนางจะอาศัยอยู่ที่นี่โดยไม่พึ่งพาบรรพบุรุษตระกูลไป๋ได้
ประมุขไป๋กำไม้เท้าในมือแน่น อดนึกไม่ได้ว่าบัดนี้ไป๋ชิงเหยียนเป็นจวิ้นจู่ นางมีบรรดาศักดิ์ติดตัว…
ตอนที่น้องชายของอยากยึดครองจวนบรรพบุรุษไป๋ ที่จริงเขาลังเลอยู่เหมือนกัน ทว่า น้องชายของเขากลับกล่าว่าแม้ไป๋ชิงเหยียนจะมียศเป็นจวิ้นจู่ ทว่า หลักจากสิ้นสุดสงครามที่หนานเจียง ชื่อเสียงของหญิงสาวไม่ค่อยดีสักเท่าใด ขอแค่นางมีชื่อเสียงที่ไม่ได้ในซั่วหยางด้วย ทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา!
ที่สำคัญไป๋ชิงเหยียนสาบานไว้ว่าจะไม่แต่งงานตลอดชีวิต ต่อไปนางต้องอาศัยบรรพบุรุษตระกูลไป๋คอยเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า นางต้องเอาใจตระกูลบรรพบุรุษไป๋อยู่แล้ว
อีกอย่าง ตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางและเมืองหลวงคือสายเลือดเดียวกัน มาจากรากเหง้าเดียวกัน รุ่งเรืองและเสียหายไปพร้อมกัน ตอนนี้ต่งซื่อมีสิทธิ์ขาดในตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวง ต่งซื่อย่อมไม่อาจทนเห็นชื่อเสียงของบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางต้องแปดเปื้อน ต่อไปไม่มีผู้ใดเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าอย่างแน่นอน นางย่อมต้องกล้ำกลืนฝืนทน ขอแค่ต่งซื่อยอม เขาในฐานะประมุขของตระกูลก็คงจัดการกับสตรีหม้ายเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
ทว่า บัดนี้เห็นท่าทีของไป๋ชิงเหยียน ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงจะยังคงเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขาเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือไม่นะ
ไป๋จิ่นจื้อขี่ม้าตามหลังไป๋ชิงเหยียน สาวน้อยกล่าวยิ้มๆ “พี่หญิงใหญ่ ข้าปัดถ้วยน้ำชาแตกหมดเลยเจ้าค่ะ คนของนายอำเภอที่มาสอดแนมคงรีบกลับไปรายงานเจ้านายของเขาแล้วเจ้าค่ะ”
“ลุงหลิวเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วหรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถามผู้ดูแลหลิว
“คุณหนูใหญ่วางใจได้ขอรับ เตรียมพร้อมแล้วขอรับ” ผู้ดูแลหลิวตอบยิ้มๆ “ทายาทตระกูลบรรพบุรุษไป๋เหล่านั้นล้วนเห็นแก่เงินและไม่มียางอายขอรับ เมื่อได้ยินว่าหลานชายของท่านประมุขต้องการยึดหอเทียนเซียงโดยไม่จ่ายเงินสักแดง ต่างก็อยากขอส่วนแบ่งด้วยขอรับ”
“เช่นนั้นกลางวันนี้เราไปทานอาหารที่หอเทียนเซียงกันเถิด!” ไป๋จิ่นจื้อยิ้มกว้าง
“คุณหนูสี่ความคิดดีขอรับ!” ผู้ดูแลหลิวยิ้มตาม
ตั้งแต่ที่ผู้ดูแลหลิวกลับมาดูแลเรื่องการตกแต่งซ่อมแซมจวนบรรพบุรุษ เขาก็รู้สึกโมโหจนแทบทนไม่ไหว ในที่สุดคราวนี้คุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่จะกลับมาเอาคืนคนพวกนี้แล้ว
หลายปีมานี้ตระกูลไป๋เกรงใจตระกูลบรรพบุรุษไป๋มากเกินไป ตามใจจนพวกเขาไม่รู้ที่ต่ำที่สูง คิดว่าตัวเองคือจักรพรรดิแห่งเมืองซั่วหยางไปเสียแล้ว
คุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่ควรทำให้พวกเขาได้รู้บ้างว่าที่พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมานานถึงเพียงนี้เป็นเพราะผู้ใดกันแน่