ตอนที่ 364 เหิมเกริม
ตอนที่หลูผิงลากหลี่หมิงถังมาถึง รถม้าของหลี่เม่าเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้แล้ว
“คุณหนูใหญ่ ลุงผิงมาแล้วเจ้าค่ะ!” เสิ่นชิงจู๋กล่าวจบจึงเดินไปยืนอยู่ด้านข้าง
หลูผิงพยักหน้าให้เสิ่นชิงจู๋ จากนั้นเดินเข้ามาใกล้พลางกล่าวเสียงเบา
“คุณหนูใหญ่ หลี่หมิงถังยังมีลมหายใจอยู่ขอรับ ชาวบ้านตามมาดูเรื่องสนุกมากมายเลยขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว” ไป๋ชิงเหยียนรับคำเสียงเย็น
“เมื่อรถม้าของหลี่เม่าหยุดลง ให้คนโยนตัวหลี่หมิงถังไปที่หน้ารถม้าของหลี่เม่า”
“ขอรับ!” หลูผิงกำหมัดรับคำ จากนั้นยืนอยู่ด้านข้างกับเสิ่นชิงจู๋ มือกำดาบ สายตาจ้องไปยังรถม้าของหลี่เม่านิ่ง
ภายในรถม้าของตระกูลหลี่ หลี่เม่านั่งหลับตาครุ่นคิดถึงเรื่องปัญหาที่เยี่ยนว่อที่ฮ่องเต้ทรงตรัสถขึ้นตอนออกว่าราชการเมื่อเช้า นึกถึงคำกล่าวที่รัชทายาทตรัสเข้าข้างเหลียงอ๋อง…รู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากล
รัชทายาททรงยกย่องเหลียงอ๋อง ตรัสว่าเหลียงอ๋องคือโอรสของฮ่องเต้ อีกทั้งยังมีบุตรชายคนโตของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีติดตามไปด้วย รวมถึงมีความร่วมมือจากแม่ทัพสือพานซาน ไม่มีการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยครั้งใดทุ่มทุนยิ่งใหญ่ไปกว่าครั้งนี้อีกแล้ว ตรัสว่าไม่ให้ฮ่องเต้ทรงดูถูกเหลียงอ๋องที่ไม่เคยแสดงความสามารถที่แท้จริงของตัวเองออกมา ขอเพียงเหลียงอ๋องตั้งใจ ย่อมแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
การแสดงออกว่าห่วงใยน้องชายของรัชทายาททำให้ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก
ทว่า สิ่งที่แฝงอยู่ในคำกล่าวนั้นสื่อว่าหากแก้ไขปัญหาความอดอยากในเยี่ยนว่อได้ไม่ดี…ล้วนเป็นความผิดของเหลียงอ๋อง
ขณะที่หลี่เม่ากำลังใช้ความคิดอยู่นั้น เขาได้ยินคนบังคับม้าเอ่ยขึ้น “นายท่านขอรับ ทางด้านหน้าถูกสกัดไว้ขอรับ ดูเหมือนว่าจะเป็นรถม้าของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ขอรับ”
ใจของหลี่เม่ากระตุกวูบ เบิกตาโพลง ไป๋ชิงเหยียนมาจริงๆ ด้วย!
ดังนั้นไป๋ชิงเหยียนมีจดหมายเหล่านั้นอยู่จริงๆ สินะ
ไม่ ตอนนี้ยังไม่อาจแน่ใจได้ ไม่แน่ว่าไป๋ชิงเหยียนอาจจะมาเพื่อข่มขวัญเขาเฉยๆ ก็ได้ วันนี้เขาต้องกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนอย่างตรงไปตรงมา หากไป๋ชิงเหยียนไม่เอาจดหมายมาให้เขาเห็น เขาจะไม่มีทางเชื่อว่านางมีจดหมายเหล่านั้นอยู่จริงๆ
หลี่เม่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จัดคอปกเสื้อของตัวเองให้เป็นระเบียบ วางมาดอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งราชสำนักอย่างเต็มที่
หากไป๋ชิงเหยียนไม่ยอมนำจดหมายออกมา เขาก็จะสั่งให้ฮูหยินของเขาเข้าวังไปทูลขอให้ฮองเฮาทรงพระราชทานสมรสให้บุตรชายคนเล็กของเขากับเกาอี้เซี่ยนจู่ให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม!
เช่นนี้ เมื่อจดหมายเหล่านี้ถูกเปิดโปงก็จะกลายเป็นโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร เกาอี้เซี่ยนจู่ไม่มีทางหนีพ้น!
หากจดหมายไม่ได้อยู่ในมือของไป๋ชิงเหยียน หากไป๋ชิงเหยียนต้องการให้น้องสาวมีชีวิตอยู่ต่อไป ย่อมต้องช่วยเขาตามหามันอย่างแน่นอน
หากจดหมายอยู่ในมือของไป๋ชิงเหยียน เช่นนั้นมันก็จะกลายเป็นเพียงกระดาษไร้ค่าแผ่นหนึ่งเท่านั้น นอกจากไป๋ชิงเหยียนจะยอมสละชีวิตของน้องสาวทิ้ง
“หยุดอยู่หน้ารถม้าของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่!” หลี่เม่ากล่าวเสียงเย็น
“ขอรับ!”
เมื่อรถม้าของหลี่เม่าค่อยๆ หยุดนิ่งลง หลูผิงยกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่อยู่ทางด้านหลัง
องครักษ์สองคนรีบลากตัวหลี่หมิงถังซึ่งโชกไปด้วยเลือดไปด้านหน้า จากนั้นโยนไปที่หน้ารถม้าของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่า
เมื่อคนบังคับม้าเห็นร่างๆ หนึ่งที่โชกไปด้วยเลือดนอนขวางอยู่หน้ารถม้า เขาตกใจจนแทบสิ้นสติ รีบราบงานหลี่เม่า
“นาย…นายท่าน คนของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่โยนร่างคนโชกเลือดมาที่หน้ารถม้าของเราขอรับ”
ไม่รอให้หลี่เม่าซึ่งอยู่ในรถม้าได้สติ หลี่หมิงถังซึ่งนอนหายใจอ่อนระทวยอยู่บนถนนยกมือขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “ท่านพ่อ…”
คนบังคับรถม้าตะลึง “คุณชายหก…คุณชายหก!”
คนบังคับม้ารีบกระโดดลงมาจากรถม้า พุ่งตัวเข้าไปประคองร่างของหลี่หมิงถัง เมื่อแน่ใจว่าคือคุณชายหก เขาจึงรีบตะโกนขึ้น
“นายท่านขอรับ คือคุณชายหกขอรับ! คือคุณชายหกขอรับ!”
เมื่อหลี่เม่าได้ยินว่าคือบุตรชายของตัวเอง เขาผุดลุกขึ้น หมวกขุนนางของเขาชนกับหลังคารถม้าจนเกือบหล่นลงพื้น เขาจัดหมวกให้เข้าที่จากนั้นชะโงกหน้าออกมาจากรถม้า เมื่อเห็นบุตรชายของตนสวมเพียงชุดซับใน ร่างโชกไปด้วยเลือด เขาตกใจจนแทบหล่นลงมาจากรถม้า
องครักษ์ข้างกายของหลี่เม่ารีบถลาเข้าไปด้านหน้า จับดาบที่เอวแน่น จ้องไปยังกลุ่มของหลูผิงอย่างดุดัน
เสิ่นชิงจู๋ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว หญิงสาวอยู่ในชุดสีดำทั้งร่าง กอดดาบไว้แนบอก กวาดสายตามองไปยังบรรดาองครักษ์ของหลี่เม่าด้วยแววตาเย็นชา ราวกับไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา นางเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการกับพวกเขาทั้งหมดได้
“ถังเอ๋อร์…ถังเอ๋อร์!” หลี่เม่าถลกชายชุดขุนนางกระโดดลงมาจากรถม้า ถลาเข้าไปหาบุตรชายอย่างทุลักทุเล หมวกขุนนางหล่นอยู่ด้านข้าง หากไม่ได้องครักษ์ช่วยประคอง เขาคงล้มลงเช่นเดียวกัน
“ท่านพ่อ…” เมื่อหลี่หมิงถังเห็นบิดาของตนจึงเอ่ยเรียกออกมาเสียงเบาหวิว จากนั้นหมดสติคอพับไปทันที
“ถังเอ๋อร์!” หลี่เม่าตกใจ คุกเข่าลงข้างๆ ร่างของบุตรชาย มองดูร่างของบุตรชายที่เต็มไปด้วยเลือด เขาเอื้อมมือออกไปแต่ไม่กล้าสัมผัสโดนตัวบุตรชาย มือสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาขบกรามมองไปทางรถม้าของไป๋ชิงเหยียน สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของเสิ่นชิงจู๋ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด ตะคอกออกมาอย่างโมโห “นี่มันเรื่องอันใดกัน! ไป๋ชิงเหยียน เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายลูกข้าด้วย!”
ชุนเถาลงมาจากรถม้า ช่วยแหวกม่านให้ไป๋ชิงเหยียนออกมา เสิ่นชิงจู๋จึงหลบไปยืนอยู่ข้างๆ
ไป๋ชิงเหยียนในชุดสีขาวเรียบโน้มกายออกมาจากตัวรถ จากนั้นยืนนิ่งอยู่บนรถม้า ก้มมองหลี่เม่าด้วยแววตาเยือกเย็นและนิ่งขรึม กล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน
“ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ได้สนใจคำเตือนของข้าเลยสักนิด”
ซือหม่าผิงฝ่ากลุ่มของชาวบ้านที่โดนองครักษ์ของตระกูลไป๋ขวางไว้มายืนอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มคน เขาเห็นเพียงเงาของไป๋ชิงเหยียนที่ยืนอยู่บนรถม้าเท่านั้น เขาเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ “พี่สาวไป๋!”
รอบกายของไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยรัศมีน่ากลัวที่ได้มาจากสนามรบ น้ำเสียงเยือกเย็น
“คราวที่แล้วข้าบอกท่านว่าต้องการให้ทั้งสองตระกูลอยู่กันอย่างสงบสุข ข้านึกว่าท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเข้าใจและไม่ช่วยเหลือเหลียงอ๋องสร้างปัญหาให้ข้าอีก ไม่คิดเลยว่าท่านจะมายุ่งกับน้องหญิงสี่ของข้า!”
ดวงตาแดงฉานของหลี่เม่าจ้องไปทางไป๋ชิงเหยียนอย่างเคียดแค้นราวกับอยากฉีกไป๋ชิงเหยียนออกเป็นชิ้นๆ สองสายตาประสานกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกหนาวเย็นถึงขั้วกระดูกเช่นนี้
ผู้ที่สังหารทหารยอมจำนนนับแสน เห็นได้ชัดว่าอำมหิตเพียงใด!
“ไป๋ชิงเหยียนเป็นคนที่ไม่ชอบถูกล่วงเกิน ผู้อื่นนับถือข้า ข้าจะนับถือกลับยิ่งกว่า ผู้อื่นรังแกข้า ข้าจะเอาคืนให้สาสมยิ่งกว่า ท่านต้องการมีปัญหากับข้า ข้าก็จะทำให้ท่านอยู่อย่างไม่เป็นสุข!”
แววตาของไป๋ชิงเหยียนเยือกเย็น คมกริบและดุดัน
“เรื่องในวันนี้เป็นเพราะท่านหาเรื่องใส่ตัวเอง จะอธิบายกับผู้อื่นอย่างไรไม่ให้เสื่อมเสียมาถึงชื่อเสียงของตระกูลไป๋เป็นเรื่องที่ท่านต้องคิดเอง หากภายในเย็นวันนี้ข้ายังไม่ได้คำอธิบายจากท่าน เช่นนั้นท่านและตระกูลหลี่ก็เตรียมล้างคอให้สะอาด รอไปอธิบายกับฮ่องเต้…และยมบาลในปรโลกเองเถิด!”
กล่าวจบไป๋ชิงเหยียนโน้มกายเข้าไปในตัวรถม้า จากนั้นจากไปทันที
หลี่เม่าขบกรามแน่น กำมือที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อแน่น หลังมือและหน้าผากปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด ทว่า เขาทำได้เพียงกัดฟันไม่ให้เสียงสบถเล็ดรอดออกมา
หลี่เม่านึกไม่ถึงว่าไป๋ชิงเหยียนจะลงมือเด็ดขาดถึงเพียงนี้ เขาหลับตาลง ตะโกนเสียงดังลั่น
“มัวตะลึงอันใดอยู่! แบกคุณชายขึ้นรถ! กลับจวน! ไปตามหมอหลวงมา!”
คราวนี้หลี่เม่ากลัวแล้วจริงๆ ความรู้สึกเยือกเย็นนั่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ทำให้ร่างสั่นเทาไปทั้งร่าง
หากไป๋ชิงเหยียนไม่มีจดหมายเหล่านั้นอยู่ในมือ นางจะกล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้ได้อย่างไร จะกล้าทำร้ายบุตรชายเขาจนดูไม่ได้เช่นนี้ได้อย่างไรกัน!