ตอนที่ 368 จุดอ่อน
“องค์ชายเพคะ” ไม่รอให้รัชทายาทกล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนย่อกายอีกครั้งพลางเอ่ยขึ้น “ไม่นานเหยียนจะกลับไปอยู่ซั่วหยางแล้ว ต่อไปคงไม่ได้กลับมาเมืองหลวงบ่อยนัก ก่อนจากไป…เหยียนอยากทำสิ่งใดเพื่อองค์ชายให้มากที่สุดเท่าที่เหยียนจะทำได้ หากอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าแค้นก็มาลงกับเหยียนได้เลย ทว่า ขุนนางที่จะรับใช้องค์ชายในภายภาคหน้าจะทำตัวไม่เห็นหัวจักรพรรดิอย่างหลี่เม่าไม่ได้ จะตัดสินทุกอย่างโดยใช้กฎหมายส่วนตัวไม่ได้เพคะ”
รัชทายาทเม้มปาก ไป๋ชิงเหยียนเห็นเขาเป็นเจ้านายอย่างแท้จริง เอาคิดเพื่ออนาคตของเขา เขารู้สึกซาบซึ้งใจและอยากขอบคุณที่ไป๋เหยียนทำทุกอย่างเพื่อเขาเช่นนี้
“เจ้าร่างกายไม่แข็งแรง กลับไปเถิด ลมแรงแล้ว…” รัชทายาทกล่าวอย่างเป็นห่วง “ข้าส่งคนไปแจ้งทางการของซั่วหยางแล้วว่าเจ้าจะเดินทางกลับซั่วหยางในวันพรุ่งนี้ ให้พวกเขาดูแลเจ้าให้ดีและช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าจัดการกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้อย่างราบรื่น”
ไป๋ชิงเหยียนคำนับรัชทายาทอีกครั้ง “ขอบพระคุณองค์รัชทายาทมากเพคะ!”
มองส่งรถม้าของรัชทายาทเคลื่อนจากไป ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้น แววตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
เมื่อไป๋จิ่นจื้อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ไป๋ชิงเหยียนวางแผนไว้จึงดีใจมาก สาวน้อยวิ่งลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็ว “พี่หญิงใหญ่ เป็นดังที่คาดไว้จริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ!”
“กลับไปด้านในก่อน” ไป๋ชิงเหยียนจูงมือไป๋จิ่นจื้อหันกลับไปเผชิญหน้ากับต่งซื่อที่ยังคงโมโหอยู่
ก่อนรัชทายาทเสด็จมาที่นี่ ต่งซื่อกำลังตำหนิว่าไป๋ชิงเหยียนทำเกินไป
ไป๋ชิงเหยียนยังไม่ทันบอกกับต่งซื่อเรื่องที่นางกุมความลับของหลี่เม่าอยู่ ทว่า เมื่อรัชทายาทเสด็จมาที่จวนแล้วบอกว่าหลี่เม่าไปร้องไห้สำนึกผิดต่อหน้าฮ่องเต้ อีกทั้งไม่ได้ใส่ร้ายไป๋ชิงเหยียน ต่งซื่อก็รู้ได้ทันทีว่าบุตรสาวของนางรู้จุดอ่อนของหลี่เม่า
ไป๋ชิงเหยียนเข้าไปประคองแขนของต่งซื่อ เดินไปส่งมารดาที่เรือน ต่งซื่อบ่นบุตรสาวอย่างอดไม่ได้
“โบราณว่าไว้ว่ายอมล่วงเกินวิญญูชน แต่อย่าล่วงเกินคนถ่อย แต่เจ้ากลับล่วงเกินคนถ่อยที่มีอำนาจบารมีมากอย่างหลี่เม่า!”
“ท่านแม่ อาเป่าไม่สร้างปัญหาให้ตระกูลไป๋หรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่คอยดูนะเจ้าคะ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าจะมาผูกมิตรกับเราก่อนเราเดินทางกลับซั่วหยางแน่นอนเจ้าค่ะ ถึงเวลานั้นท่านแม่ไว้เกรงใจเขาสักหน่อยก็พอเจ้าค่ะ”
ต่งซื่อหันไปมองบุตรสาวที่ย้ำให้นางเกรงใจหลี่เม่าสักหน่อยนิ่ง “เจ้าต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่”
“อย่างไรซะก็ต้องมีทั้งคนท่าทีแข็งกร้าวและอ่อนโยน อาเป่าแสดงเป็นคนแข็งกร้าว ท่านแม่รับบทอ่อนโยนไปแล้วกันเจ้าค่ะ เช่นนี้หลี่เม่าจะได้คิดว่าตระกูลไป๋มีช่องโหว่ให้เข้าจัดการอยู่ ไม่ถึงขั้นพร้อมสู้ตายไปพร้อมตระกูลไป๋เจ้าค่ะ”
“ดังนั้นเจ้ากุมความลับของหลี่เม่าอยู่จริงๆ สินะ” ต่งซื่อถาม
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ท่านย่ามอบให้ข้าเป็นเครื่องปกป้องตระกูลไป๋เจ้าค่ะ อาเป่าจะใช้มันให้เหมาะสมที่สุดเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้ขอบเขตก็ดีแล้ว!” ต่งซื่อตบไปที่ฝ่ามือของบุตรสาวเบาๆ
ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง หมอกยังไม่ทันจางหาย
โคมไฟสีแดงตามทางเดินยังคงเปิดสว่าง ทั่วทั้งเมืองหลวงเงียบสงัด มีเพียงเสียงหมาหอนเป็นบางครา
สองสามีภรรยาที่ขายอาหารเช้าเดินฝ่าหมอกหนาวมาตั้งแผงลอยขายอาหารตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเดินไปถึงแผงลอยร้านของตัวเองก็เริ่มจัดเตรียมข้าวของกันอย่างวุ่นวาย
สตรีวัยกลางคนผูกผ้ากันเปื้อนอย่างเชี่ยวชาญ จุดไฟของโคมไฟที่แขวนสูงเหนือร้านและจุดไฟในเตาถ่าน เติมน้ำลงในหม้อ ชายกลางคนใช้เสาไม้ไผ่ค้ำยันผ้าทำเป็นหลังคามุงเพื่อตั้งร้าน จัดเตรียมโต๊ะและเก้าอี้ไม้ ขณะเตรียมทำความสะอาดโต๊ะก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมากจากถนนฝั่งตะวันตก
ไป๋จิ่นจื้อขี่ม้าเคียงข้างรถม้าไปอย่างช้าๆ
ด้านหลังรถม้ามีองครักษ์ของตระกูลไป๋ติดตามมากอีกสี่สิบนาย ทุกคนอยู่ในชุดสีดำสนิท แขวนดาบไว้ที่เอว
ไป๋ชิงเหยียนกลับไปซั่วหยางครั้งนี้ หญิงสาวใช้รถม้าประจำตำแหน่งจวิ้นจู่ ต่งซื่อเห็นว่าบุตรสาวกลับไปยังตระกูลบรรพบุรุษไป๋เพื่อจัดการเรื่องสำคัญ เดิมทีนางต้องการให้ไป๋ชิงเหยียนนำองครักษ์ครึ่งหนึ่งของตระกูลไป๋ติดตามไปด้วย ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกล่าวว่ารัชทายาทจะให้องครักษ์ของจวนรัชทายาทติดตามไปคุ้มครองนางด้วย นางนำองครักษ์ไปแค่สี่สิบนายก็พอ ยิ่งหญิงสาวนำองครักษ์ไปน้อยเท่าใด รัชทายาทก็จะยิ่งวางใจตระกูลไป๋
หากนำไปมากเกินควร…เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องอาจหวาดระแวงขึ้นได้
เมื่อออกมาจากเมืองหลวง ไป๋จิ่นจื้อก็มองเห็นองครักษ์ของรัชทายาทและรถม้าของรัชทายาทรออยู่ที่นอกเมือง
ไป๋จิ่นจื้อโน้มกายไปบอกไป๋ชิงเหยียนที่นั่งอยู่ในรถม้าด้วยเสียงแผ่วเบา
“พี่หญิงใหญ่ องค์รัชทายาททรงรออยู่ที่นอกเมืองเจ้าค่ะ”
ภายในรถม้า ไป๋ชิงเหยียนที่เอนกายพิงหมอนอ่านตำราโดยอาศัยแสงจากตะเกียงปิดตำราลง ลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ยถาม “องค์รัชทายาทนำองครักษ์มาจำนวนเท่าใด”
ไป๋จิ่นจื้อกวาสายตามองสำรวจคร่าวๆ “ประมาณร้อยนายเจ้าค่ะ”
เมื่อเฉวียนอวี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างรถม้าของรัชทายาทเห็นขบวนของไป๋ชิงเหยียนออกมาจากเมืองหลวงจึงรีบขึ้นไปบนรถม้า ยื่นชาร้อนให้รัชทายาทพลางรายงาน
“องค์ชาย! จวิ้นจู่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงจิบชาสักนิดจะได้สดชื่นพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทที่นั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ในรถม้าไม้คันหรูได้ยินก็ลืมตาขึ้นทันที เขารวบรวมสติ รับชามาจากเฉวียนอวี๋แล้วจิบเล็กน้อย “ไปเถิด…”
“ด้านนอกอากาศหนาว องค์ชายสวมเสื้อคลุมเถิดพะย่ะค่ะ” เฉวียนอวี๋หยิบเสื้อคลุมคลุมให้รัชทายาท จากนั้นประคองรัชทายาทลงจากรถม้า
ไป๋จิ่นจื้อสั่งให้รถม้าหยุดเคลื่อนตัวแล้ว นางรีบเดินเข้าไปทำความเคารพรัชทายาทก่อน
“ไป๋จิ่นจื้อคาราวะองค์รัชทายาทเพคะ”
รัชทายาทยิ้มพลางบอกให้ไป๋จิ่นจื้อลุกขึ้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นชุนเถาประคองไป๋ชิงเหยียนลงมาจากรถม้าแล้วเดินมาทางเขา
“เหยียนคาราวะองค์รัชทายาทเพคะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางทำความเคารพ
เสิ่นชิงจู๋ยืนอยู่ข้างม้าสีดำตัวหน้าสุดของขบวน กวาดสายตามองไปยังองครักษ์ที่รัชทายาทพามา ทุกคนล้วนขี่ม้า เช่นนี้คงไม่เสียเวลาการเดินทาง
“จวิ้นจู่ไม่ต้องมากพิธี” รัชทายาทยิ้มให้ไป๋ชิงเหยียน กวาดสายตามองดูองครักษ์ของหญิงสาวแล้วขมวดคิ้วแน่น
“จวิ้นจู่กลับไปจัดการเรื่องสำคัญที่ซั่วหยางแต่พาคนไปเพียงเท่านี้ จะข่มขวัญตระกูลบรรพบุรุษได้อย่างไรกัน”
“ช่วงนี้โจรป่าออกอาละวาดิย่างหนัก องครักษ์ของตระกูลไป๋มีเพียงเท่านี้ วันที่ยี่สิบหกต้องคุ้มกันข้าวของเครื่องใช้ที่จะส่งกลับซั่วหยางเป็นครั้งที่สองอีก เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าจะนำคนมาเพียงสิบคนก็พอเพคะ การจัดการกับตระกูลบรรพบุรุษไม่จำเป็นต้องใช้กำลังคนข่มขู่ หม่อมฉันยังมีฐานะจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้เป็นเครื่องรับประกันอยู่เพคะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างจนปัญญา
“ทว่า ท่านแม่ไม่วางใจ หม่อมฉันจึงต้องนำคนมามากหน่อยเพคะ สำหรับหม่อมฉันคิดว่ามากเกินไปเสียด้วยซ้ำเพคะ”
“เจ้าอายุยังน้อยเกินไปจริงๆ” รัชทายาทกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนด้วยน้ำเสียงสนิทสนมและเป็นธรรมชาติ ราวกับเป็นพี่ชายจริงๆ
“ขนาดอยู่ในเมืองหลวงแท้ๆ ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ยังกล้าทำให้ท่านย่าโมโหจนกระอักเลือด เจ้าเป็นเพียงจวิ้นจู่ นำองครักษ์สิบกว่านายกลับไปที่นั่น ตระกูลบรรพบุรุษเหล่านั้นจะเกรงกลัวได้อย่างไรกัน”
“เราผิดเอง…” รัชทายาทแสร้งทำท่าทีตำหนิตัวเอง
“ตอนนั้นเราทูลขอให้เสด็จพ่อแต่งตั้งเจ้าเป็นองค์หญิง ทว่า เสด็จพ่อกลับแต่งตั้งเจ้าเป็นเพียงจวิ้นจู่ ตอนนั้นเราควรสู้เพื่อเจ้าจนถึงที่สุด! ด้วยผลงานของเจ้า หากเป็นบุรุษคงได้ตำแหน่งเจิ้นกั๋วอ๋องไปแล้ว”
รัชทายาทกล่าวเช่นนี้เพราะต้องการให้ไป๋ชิงเหยียนซาบซึ้งในบุญคุณของเขา ไป๋ชิงเหยียนรู้ดี
“เหยียนไม่สนใจสิ่งนอกกายเหล่านี้หรอกเพคะ สำหรับเหยียนพระคุณขององค์ชายคือสิ่งล้ำค่ายิ่งกว่า เหยียนจะจดจำให้ขึ้นใจเพคะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวด้วยถ้อยคำสวยหรู
รัชทายาทหัวเราะออกมาเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้น “เอาเถิด เรารู้ว่าเจ้าไม่สนใจสิ่งนอกกายเหล่านี้ ทว่า เจ้าจะกลับไปซั่วหยางด้วยกำลังคนที่น้อยเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ดีที่เราเตรียมพร้อม…”