ตอนที่ 456 สู่ขอ
ต่งถิงเจิน ต่งถิงอวี๋และต่งถิงฟางรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนจะเดินทางกลับซั่วหยางในวันพรุ่งนี้ พวกนางจึงขออนุญาตซ่งซื่อมาที่จวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว ทั้งสามคนจึงอำลาจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ไป๋ชิงเหยียนออกไปส่งทั้งสามคนที่หน้าประตูจวนด้วยตัวเอง ยังไม่ทันเดินไปถึงประตู เกาเต๋อเม่า ขันทีใหญ่ข้างกายของฮ่องเต้ก็นำบรรดาขันทีมาประกาศพระราชโองการ
กลุ่มของต่งถิงเจินคุกเข่าฟังราชโองการอยู่ด้านหลังไป๋ชิงเหยียน เมื่อทั้งสามคนได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นองค์หญิงจวิ้นจู่ ไป๋จิ่นจื้อได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นเกาอี้เซี่ยนจู่ ของพระราชทานมากมายถูกยกเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ บุตรอนุทั้งสองของตระกูลต่งรู้สึกอิจฉามาก
ไป๋จิ่นจื้อดีใจมาก เมื่อได้ยินรายการของกำนัลมากมายที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ก็หันไปหยักคิ้วหลิ่วตาให้ไป๋ชิงเหยียนสื่อว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนได้มาจากความสามารถของนางให้พี่หญิงใหญ่รีบกล่าวชม
ไป๋ชิงเหยียนคำนับขอบคุณแนบพื้น จากนั้นกล่าวขึ้น
“หม่อมฉันและน้องหญิงซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ ไป๋ชิงเหยียนจะนำของเงินและของกำนัลทั้งหมดที่ได้รับไปใช้ในการปราบโจรป่า ไม่เก็บไว้เองแม้แต่น้อยเพื่อตอบแทนพระคุณของฝ่าบาทเพคะ!”
ฮูหยินสองหลิวซื่อให้สาวใช้ข้างกายนำถุงเงินไปมอบให้ขันทีที่ติดตามมาประกาศราชโองการทุกคน ส่วนตนนำถุงเงินซึ่งเต็มไปด้วยตั๋วเงินไปมอบให้เกาเต๋อเม่า
“ลำบากเกากงกงแล้ว!”
“ฮูหยินสองกล่าวอันใดเช่นนี้ขอรับ องค์หญิงเจิ้นกั๋วและเกาอี้จวิ้นจู่มีความดีความชอบมากที่สุดในสงครามที่เป่ยเจียงจึงได้รับรางวัลพระราชทานเช่นนี้ บ่าวแค่มาทำตามหน้าที่เท่านั้นขอรับ”
เกาเต๋อเม่ากล่าวอย่างสวยหรู จากนั้นคาราวะอำลา
“พี่หญิง ฝ่าบาทพระราชทานของรางวัลมาให้มากมายเพียงนี้ พี่หญิงจะใช้ในการปราบโจรป่าทั้งหมดจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ต่งถิงฟางมองดูเครื่องประดับล้ำค่าที่ส่องแสงระยิบระยับด้วยความรู้สึกอิจฉา
แค่กวาดสายตามองก็เห็นกล่องฝังทองใบใหญ่สลักด้วยลายดอกไห่ถังแวววาวระยิบระยับ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเครื่องประดับทับทิมฝังทองครบชุดชุดนั้น เม็ดทับทิมใหญ่ราวกับไข่ห่าน ช่างหรูหราเลอค่ายิ่งนัก
ต่งถิงฟางกล่าวออกไปโดยไม่ทันคิด
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พี่หญิงและน้องจิ่นจื้อทำสงครามแลกมาด้วยชีวิต เหตุใดไม่เก็บไว้เป็นสินเดิม…”
ต่งถิงฟางยังกล่าวไม่ทันจบ ต่งถิงอวี๋ก็กระตุกแขนเสื้อของหญิงสาวไว้
เมื่อรู้ว่ากล่าวผิดไป ต่งถิงฟางรีบย่นคอถอยหลังไปสองสามก้าว ย่อกายอำลาไป๋ชิงเหยียน
ต่งถิงฟางหวังดี ทว่า นางลืมไปว่าไป๋ชิงเหยียนเคยสาบานต่อหน้าดวงวิญญาณของเจิ้นกั๋วอ๋องว่าจะไม่แต่งงานตลอดชีวิต
“พี่หญิง ถิงฟางไม่ได้มีเจตนาร้ายเจ้าค่ะ!” ต่งถิงอวี๋รีบอธิบายกับไป๋ชิงเหยียน
“มิเป็นอันใด พี่เข้าใจ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
เมื่อส่งสามพี่น้องกลับไป ฮูหยินสองก็รีบเขียนจดหมายไปรายงานองค์หญิงใหญ่ จากนั้นจัดเตรียมงานเลี้ยงภายในจวน กล่าวว่าแม้ไม่ใช่การฉลอง ทว่า คนในครอบครัวก็ควรรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุข
เมื่อก่อนต่งซื่อเป็นคนดูแลความเรียบร้อยของจวน หลิวซื่อไม่มีประสบการณ์มาก่อนจึงเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย ยังดีที่มีไป๋จิ่นซิ่วอยู่ หญิงสาวแค่สั่งการให้บ่าวรับใช้ทำตามนั้นก็พอแล้ว
หลัวหมัวมัวมองดูหลิวซื่อที่ดีใจจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่ได้จึงกล่าวออกมายิ้มๆ
“ฮูหยินสองดีใจจนลืมนกพิราบตุ๋นเม็ดบัวที่ต้มไว้แล้วกระมังเจ้าคะ!”
“จริงสิ!” หลิวซื่อตบศีรษะตัวเองเบาๆ มัวแต่ดีใจ “เร็วๆ รีบให้คนไปนำออกมา น่าจะเสร็จพอดี!”
หลิวซื่อลงมือทำนกพิราบตุ๋นเม็ดบัวให้ไป๋ชิงเหยียนด้วยตัวเอง ก่อนเดินทางไปยังวังหลวงใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนซีดจนหลิวซื่อตกใจ นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากอาหาร ต่งซื่อมักจะทำนกพิราบตุ๋นเม็ดบัวให้ไป๋ชิงเหยียนทาน วันนี้นางว่างจึงเข้าครัวทำให้
รถม้าสองคันของตระกูลต่งเลี้ยวออกมาจากมุมถนนช้าๆ ต่งถิงเจินเอนกายพิงหมอนอิง ก้มหน้ามองกำไลที่ข้อมือ ฟังเสียงรถม้าและเสียงโคมไฟซึ่งแขวนอยู่ที่สี่มุมของตัวรถกระทบกับกำแพงเบาๆ หญิงสาวเอ่ยถามด้านนอก “เพลาใดแล้ว”
สาวใช้ข้างกายของต่งถิงเจินซึ่งเดินอยู่ข้างรถม้าได้ยินเสียงจึงเอ่ยตอบ
“เรียนคุณหนู ปลายยามเซิน[1]แล้วเจ้าค่ะ”
ปลายยามเซินแล้วหรือ เขาคงไม่รออยู่แล้วกระมัง
เมื่อรถม้าเลี้ยวออกมาจากถนนสายยาว มือเรียวเล็กของต่งถิงเจินแหวกผ้าม่านของรถม้าออก กล่าวกับสาวใช้ข้างกาย
“เจ้าไปบอกน้องหญิงทั้งสองว่าข้าจะไปซื้อของว่างให้ท่านแม่ที่สือฟางไจ ให้พวกนางกลับจวนไปก่อน”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ข้างกายของต่งถิงเจินรับคำจากนั้นวิ่งไปยังรถม้าอีกคัน
เมื่อเลี้ยวออกมาจากถนน รถม้าสองคันแยกเป็นสองเส้นทาง คันหนึ่งกลับจวนต่ง คันหนึ่งมุ่งหน้าไปยังซอยฉางหมิง
รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูสือฟางไจ สาวใช้ของต่งถิงเจินวิ่งเข้าไปด้านใน ไม่นานก็วิ่งออกมา นางขยับไปใกล้รถม้าแล้วกระซิบเสียงแผ่วเบา “คุณหนู องค์ชายยังประทับรอคุณหนูอยู่เจ้าค่ะ!”
ต่งถิงเจินรู้สึกว่าใจของตัวเองเต้นรัวขึ้นกว่าเดิม เม้มปากแน่น
“คุณหนู องค์ชายทรงรอคุณหนูมาสองชั่วยามแล้วนะเจ้าคะ!” สาวใช้กล่าวเสียงเบาหวิว
ต่งถิงเจินตัดสินใจแน่วแน่ สวมหมวกคลุมหน้า ประคองมือของสาวใช้ลงมาจากรถม้า จากนั้นขึ้นไปยังชั้นสองของสือฟางไจโดยมีสาวใช้ช่วยประคอง
สาวใช้ของต่งถิงเจินเห็นบ่าวรับใช้ชายยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องรับรองจึงพยักหน้าให้เล็กน้อย บ่าวรับใช้ชายรีบเปิดประตูห้องรับรองให้ทันที
ต่งถิงเจินซึ่งสวมหมวกคลุมปิดหน้ายืนอยู่ด้านนอกห้อง เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง ขอบตาของหญิงสาวร้อนผ่าวทันที นางรีบก้าวเท้าเข้าไปด้านใน สาวใช้รีบปิดประตูลงทันที จากนั้นยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูกับบ่าวรับใช้ชาย
เหลียงอ๋องยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองเห็นต่งถิงเจินถอดหมวกคลุมหน้าออกแล้วยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“ข้าได้ยินว่าราชครูเฉินขอให้ถานเหล่าไท่จวินไปสู่ขอเจ้าให้เฉินเจาลู่ที่จวนต่งแล้วอย่างนั้นหรือ”
ต่งถิงเจินยืนอยู่หน้าประตู กำหมวกในมือแน่น
“ไม่ได้! ข้ารอต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะไปสู่ขอเจ้าที่จวนเดี๋ยวนี้! ต่อให้ขาโดนตีจนขาหักทั้งสองข้าง ข้าก็จะไปขอร้องให้ใต้เท้าต่งยกเจ้าให้ข้าให้ได้!”
เหลียงอ๋องเดินไปด้านหน้าสองก้าวอย่างร้อนรน ทว่า เท้าของเขากระแทกโดนขอบโต๊ะจนร่างเซไปด้านหน้าอย่างทรงตัวไม่อยู่
“องค์ชาย!” ต่งถิงเจินรีบเข้าไปประคองเหลียงอ๋อง
“ถิงเจิน…” เหลียงอ๋องมองดูต่งถิงเจินที่กำลังประคองตนอยู่ น้ำตาของบุรุษไหลออกมาทันที
“ข้ารู้ดีว่าข้าโง่ ข้าไม่เอาไหน! ข้าไม่คู่ควรกับเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าถูกเป่าหูจนเกือบทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งตระกูลเพราะต้องการช่วยเสด็จพี่ซิ่นอ๋อง! ข้าถูกผู้อื่นรังแกมาตั้งแต่เด็ก…มีเพียงเจ้า เจ้าไม่เหมือนผู้อื่น มีเพียงเจ้าที่ดีกับข้า หากข้าต้องสูญเสียเจ้าไป ข้าก็ไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว! ถิงเจิน ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้!”
ต่งถิงเจินรู้สึกสะเทือนใจ ขอบตาแดงก่ำเช่นเดียวกัน
นางถึงไม่ถึงเลยว่าตอนที่นางเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงตอนอายุหกขวบ นางแค่ช่วยเหลียงอ๋องซึ่งถูกซิ่นอ๋องรังแก ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขาทำความสะอาดใบหน้าเท่านั้น ทว่า เขากลับจดจำได้จนถึงทุกวันนี้ กล่าวว่าไม่เคยมีผู้ใดทำดีกับเขาเช่นนี้มาก่อน!
นางไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เหลียงอ๋องมีชีวิตเช่นไร เขาถึงได้จดจำความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นมาเป็นสิบปี กล่าวว่านางดีต่อเขา…
[1] ยามเซิน เวลาระหว่าง 15.00-17.00 นาฬิกา